ภายหลังจาก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้สร้างสถิติใหม่ ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) โดยกวาดคะแนน ไปกว่า 1,386,215 คะแนน นอกจากความแข็งแกร่ง การทำงานที่ทุ่มเทลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่มาของสโลแกน ทำงาน ทำงาน ทำงาน ในแง่ความเป็นพ่อ ชัชชาติ ก็ได้รับการพูดถึงไม่น้อยเช่นเดียวกัน…
ในช่วงที่ผ่านมาคลิปวิดีโอของ แสนปิติ สิทธิพันธุ์ ลูกชายของชัชชาติ ซึ่งเป็นผู้พิการทางการได้ยินตั้งแต่กำเนิด ได้พูดถึงคุณพ่อ (ชัชชาติ สิทธิพันธุ์) ในการสัมภาษณ์ของ Cochlear Southeast Asia ตั้งแต่ปี 2019 ถูกนำมาเผยแพร่อีกครั้ง ซึ่ง Cochlear เป็นคลิปที่ทำการรักษาผ่าตัดและฝังอุปกรณ์ประสาทหูเทียมเพื่อช่วยเหลือในเรื่องการได้ยิน คลิปดังกล่าวได้พูดถึงความพยายาม ความทุ่มเทของชัชชาติ เพื่อหาวิธิช่วยให้ลูกกลับมาได้ยินจนกระทั่งประสบผลสำเร็จ
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2565 ภายหลังการนับคะแนนและประกาศผลผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ แสนปิติ ได้เขียนจดหมายลงเว็บไซต์ Thai Enquirer ถึงชัยชนะของพ่อครั้งนี้ว่า
ในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2557 เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ผมจำเรื่องราวทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
เช่นเดียวกับคนไทยอีกหลายล้านคน สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเราคล้ายหนังสยองขวัญ เมื่อหน้าจอโทรทัศน์ของพวกเราถูกเขายึดไป วันนั้นเป็นวันปกติเฉกเช่นกับวันทั่วไป ผู้คนจากทุกสารทิศต่างมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ทำธุระของของตัวเอง แต่ภายใต้ความปกติเหล่านี้ ผู้คนส่วนหนึ่งรับรู้ได้ถึงความสั่นคลอนของระบอบประชาธิปไตยจากการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เพื่อต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
รัฐบาลในฐานะตัวแทนของประชาชนค่อยๆ ร่วงโรยคล้ายกับกลีบดอกไม้ที่ค่อยๆ ร่วงหล่น เมื่อมาถึงกลีบสุดท้ายก็ถูกคนในกองทัพเด็ดทิ้ง นับแต่นั้นประชาธิปไตยก็ตกอยู่ภายใต้วงล้อมของกองทัพอย่างแท้จริง
อย่างที่เห็นจากหน้าจอโทรทัศน์ พวกเราทุกคนมองเห็นประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพลอยหายไปในอากาศ คล้ายกับว่ามีใครสักคนใช้เล่ห์กลอันโหดร้ายขับไล่ประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพออกไป และนักมายากลผู้ใช้เล่ห์กลอันโหดร้ายผู้นั้นมีชื่อว่า ‘พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ผู้บัญชาการทหารบกขี้โมโหอารมณ์ร้าย ผู้มีชื่อเสียงจากการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง โทรทัศน์ของเราที่ถูกยึด ได้ฉายภาพแถลงการณ์ของพลเอกประยุทธ์ที่ประกาศว่าเขาได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งนี้ถือเป็นลางสังหรณ์ว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับพวกเราในอนาคต
ในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2557 ผมยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมต้น ในวันที่ประเทศถูกรัฐประหารตอนนั้นผมยังเด็ก ผมยังดื้อรั้น แต่ยังคงดิ้นรนเพื่อทำความเข้าใจกับความวุ่นวายที่เกิด ณ ช่วงเวลาดังกล่าว สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำให้ผมหลงลืมที่จะมองทะลุหมอกอันมืดครึ้มของความ ‘อิกนอร์แรนซ์’ ได้ เช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป เรารับรู้ได้ว่าประเทศถูกแบ่งแยก แต่เราไร้อำนาจที่จะต่อกรกับมันได้
ตั้งแต่มีการยึดอำนาจเกิดขึ้น ประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศที่แตกต่าง ทว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้กำเนิดคลื่นลูกใหม่ในระบบการเมืองไทย เราได้เห็นกระแสธารของการเรียกร้องประชาธิปไตย การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ที่ขับเคลื่อนด้วยเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่ไม่พอใจกับการทำงานของรัฐบาล
ทั้งหมดทั้งมวล มีที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 อันเป็นเสียงที่ปลุกประเทศนี้ให้ตื่นขึ้น ประชาชนนำตัวเองไปเกี่ยวข้องกับการเมืองในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทย ที่เกือบเป็นช่วงเวลาร้าวฉานทางประวัติศาสตร์ แต่ ณ จุดต่ำสุดจุดหนึ่ง มักจะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นเสมอ หรือที่พวกเขาเรียกกันว่า ปีศาจตัวใหม่
เมื่อผมกลับมานั่งทบทวนและตั้งคำถามถึงประชาธิปไตยในประเทศไทย
ความรู้สึกของผมได้เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่าประชาธิปไตยจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเรากลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง และเป็นโอกาสที่เราจะทวงคืนทุกอย่างจากบรรดา ’นายพล ‘ ที่ปล้นมันไปจากเรา
ผมจึงมองว่าการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี 2565 เป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะที่สุด ที่การขับเคลื่อนประชาธิปไตยครั้งใหม่จะฝังรากลึกลงไป แน่นอนว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร เพราะตลอดหลายปีแห่งความอดทนอดกลั้นของประชาชน ในที่สุดคนไทยก็มีสิทธิ์ในการเปล่งเสียงออกมา ชัยชนะในครั้งนี้ จึงมีความหมายอย่างยิ่ง เพราะแสดงให้เห็นว่าคนไทย ยังมีความปรองดอง มีความรัก สามารถละทิ้งความแตกต่างของกันและกัน เพื่อให้ประเทศที่แตกแยก กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งได้
การเลือกตั้งครั้งนี้ได้สอนบทเรียนอันทรงคุณค่ากับพวกเราว่า พวกเราต้องรวมตัวกัน เพื่อเอาชนะความเกลียดชัง พวกเราต้องทำงานร่วมกันเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ และแน่นอนว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
สำหรับผมการเลือกตั้งครั้งนี้ มันเป็นความทุ่มเทส่วนตัว มันมีความหมายที่มากกว่านั้น
เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ ผมได้รับสิทธิพิเศษ ได้รับเกียรติในการเรียก
ผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ในฐานะเพื่อนที่มีคุณค่า ในฐานะอาจารย์ และในบางครั้งก็เป็นคู่แข่ง และแน่นอนว่าเขาเป็นพ่อของผม แต่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ ผมยังมองเขาในฐานะคนที่นึกถึงประโยชน์สูงสุดของชาวกรุงเทพฯ อย่างสุดหัวใจ จากสิ่งที่ผมเห็นมาตลอดว่าเขาเป็นคนที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนไทย ไม่ว่าจะผ่านชีวิตสาธารณะ หรือชีวิตส่วนตัวก็ตาม
ตลอดเวลาที่ผมโตขึ้น พ่อเป็นแบบอย่างของผม เป็นต้นแบบให้ผมได้เดินตาม เขาสอนผมหลายเรื่องถึงความมุ่งมั่น ความเอาใจใส่ การไม่ด่วนตัดสินอะไรรวดเร็ว และเน้นย้ำเสมอว่าการทำงานกับทุกคนเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันก็ตาม นับตั้งแต่วันที่ผมเห็นเขาเป็นรัฐมนตรี จนกระทั่งวันนี้ ผมยังไม่เห็นใครที่ทำงานหนัก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้เท่ากับเขาอีกเลย
ชัยชนะครั้งนี้ จึงหมายถึงความมุ่งหมายของคนไทยที่ร่วมมือกันเคารพประชาธิปไตย และความมุ่งหมายในการก้าวไปสู่ความทันสมัย เป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเลือกตั้งครั้งนี้ นี่คือข้อเท็จจริงที่ว่าคนกรุงเทพฯ เกินล้านคน ได้แสดงออกเจตจำนึงที่ชัดเจนว่าพวกเขาต้องการเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน เป็นเมืองที่ยินดีโอบรับคนทุกความแตกต่าง
ชัยชนะครั้งนี้อาจดูเหมือนชัยชนะเล็กน้อยในเส้นทางอันกว้างใหญ่ แต่ชัยชนะครั้งนี้คือจุดเริ่มต้น เป็นโอกาสที่เราจะซ่อมแซมสะพานเพื่อนำพวกเราทุกคนเดินหน้าและบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไทยไปพร้อมๆ กัน
ภาพ: Cochlear Southeast Asia
Tags: แสนปิติ สิทธิพันธุ์, Report, ชัชชาติ สิทธิพันธุ์