เมื่อวานนี้ (13 พฤษภาคม 2565) เวลา 20.00 น. ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT Thailand) พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งปัจจุบันลี้ภัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียกล่าวตอนหนึ่งผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในการเสวนาเรื่อง ‘โรฮีนจา การค้ามนุษย์ และตำรวจผู้ลี้ภัย’ (Rohingya, human trafficking and Thailand’s exiled cop) เกี่ยวกับเหตุผลของการลี้ภัยและคดีโรฮีนจา พร้อมกับเปิดเอกสารหลักฐานอัยการสั่งไม่ฟ้องกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวหาพลตำรวจตรีปวีณว่าสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ
ในช่วงแรก พลตำรวจตรีปวีณได้เล่าถึงการทำงานช่วงสุดท้ายก่อนที่จะตัดสินใจลี้ภัยว่า ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนคดีค้ามนุษย์ที่ผ่านมา เขาได้รับการขัดขวางการทำงานอยู่ตลอดทั้งการปิดบังข้อมูล หรือการร้องขอไปส่วนไหนก็จะไม่ได้รับข้อมูลหรือรายละเอียดกลับมา ไม่ว่าจะเป็นกรณีสลิปโอนเงินของ พลโท มนัส คงแป้น ที่พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา สั่งไม่ให้ส่งต่อ นอกจากนี้ยังมีนายทหารยศพลตรีโทรมาขอให้หยุดการสอบสวนอีกด้วย
“เขาโทรศัพท์มาบอกให้ผมหยุดการสอบสวนเพราะว่ามนัสเป็นลูกน้องของประยุทธ์ (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เป็นลูกน้องของอนุพงษ์ (พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) และเป็นลูกน้องของประวิตร (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) มันอันตราย และพี่ป้อม พี่ประยุทธ์ พี่ป๊อก เขาดูแลอยู่ อย่าเข้าไปยุ่งเลย ซึ่งตรงนี้ผมก็มีการบันทึกเทปเสียงสนทนาไว้ นี่เป็นเสียงส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีตำรวจระดับสูง ไม่ว่าจะเป็น พลตำรวจเอก ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ก็มาต่อว่า และบอกห้ามจับทหาร จะจับทหารทำไม ให้หยุดจับเสีย มีนายพลตำรวจที่เป็นรองผู้บัญชาการก็มาต่อว่าให้ไปเคลียร์กับทหาร เพราะทหารไม่พอใจมากที่ผมไปจับทหาร”
นอกจากจะถูกขัดขวาง ดุด่า ถูกเตือน พลตำรวจตรีปวีณยังเล่าต่อว่า ขณะนั้นพลเอกประวิตรในฐานะกรรมการข้าราชการตำรวจได้ร่วมกับคณะกรรมการที่มีพลตำรวจเอกจักรทิพย์ดำรงตำแหน่งอยู่ มีคำสั่งย้ายพลตำรวจตรีปวีณไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
“พอคำสั่งนี้ออกมา ผมตกใจมาก เขาไม่พอใจผมอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะกรณีที่ผมไม่ทำตามคำสั่งให้หยุดจับทหาร หรือการไม่ยอมให้ประกันตัวพลโทมนัส ซึ่งสร้างความไม่พอใจทั้งประวิตรและจักรทิพย์ จึงกลั่นแกล้งส่งผมไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีเครือข่ายค้ามนุษย์จำนวนมาก และเป็นพื้นที่ควบคุมของทหาร ซึ่งผมเห็นว่ามันร้ายแรงต่อผมมาก ไหนจะมีเงื่อนไขจากวังมาอีก”
ภายหลังการสั่งย้ายไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และการลาออก พลตำรวจตรีปวีณได้รับข้อเสนอจากผู้ใหญ่สองข้อคือ หนึ่ง มาทำงานในวัง สอง ทำคดีค้ามนุษย์ต่อ พลตำรวจตรีปวีณจึงตัดสินใจเลือกทำคดีค้ามนุษย์ต่อ และเดินทางไปถอนใบลาออก แต่ต่อมาพลตำรวจเอกจักรทิพย์กลับบอกว่า “พี่กับผมเราไม่มีอะไรกันนะ แต่พี่ต้องลาออกและอยู่เงียบๆ”
“ตอนที่นายกรัฐมนตรีพูดว่าขอให้ผมร้องเรียนความเป็นธรรมตามช่องทางมาจะให้ความเป็นธรรม นี่เป็นการพูดโกหกกับประชาชนหลายครั้งในคดีของผม เพราะที่ผ่านมาผมได้ร้องเรียนตามช่องทางทุกช่องทางแล้ว แม้กระทั่งการขอข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ให้รายงานการประชุมที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายผมว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ปรากฏว่าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจได้ส่งหนังสือตอบลงวันที่ 8 มกราคม 2559 และผมได้รับหนังสือฉบับนี้เมื่อวันอังคารที่ 12 มกราคม 2559 ว่า
“การที่ผมร้องขอรายงานการประชุมไม่สามารถจะให้ข้อมูลได้ เพราะอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือกระทบต่อความมั่นคงในประเทศ จึงไม่สามารถจะเปิดเผยได้ลงชื่อ พลตำรวจโท ปิยะ อุทาโย (ตำแหน่งในขณะนั้น) ผู้บัญชาการสำนักงานข้าราชการตำรวจ เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ทั้งหมดเขาพยายามสกัดผมทุกทาง ไม่ว่าจะการร้องเรียนหรืออะไรก็แล้วแต่”
พลตำรวจตรีปวีณยังเล่าต่อว่า สิ่งที่เขารู้สึกว่าหนักข้อมากที่สุดคือเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2559 สตช. ได้มอบอำนาจให้พลตำรวจเอก ศรีวราห์ รองผู้บังคับบัญชาการตำรวจแห่งชาติไปแจ้งความคดีอาญากับพลตำรวจตรีปวีณ เพื่อให้มีการดำเนินคดีกับเขาอย่างถึงที่สุด โดยระบุว่าการกระทำของพลตำรวจตรีปวีณก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและ สตช.
“ซึ่งขณะนั้นผมเชื่อว่าคนที่มอบอำนาจให้พลตำรวจเอกศรีวราห์ไปแจ้งความผม คือผู้บังคับบัญชาใน สตช. และน่าจะมีคนที่รับรู้คือรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นประยุทธ์และประวิตร ปรากฏว่าการสอบคดีดังกล่าวกินระยะเวลานานกว่า 4 ปี 5 เดือน รวมเอกสารทั้งหมดมี 185 แผ่น ซึ่งหากเทียบกับตอนที่ผมทำคดีค้ามนุษย์เพียง 5 เดือน เอกสารต่างๆ ผมมีหลายแสนแผ่น
“จนเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องผม และมีความเห็นว่าผมไม่มีความผิดตั้งแต่แรก ตรงนี้จึงมีความเห็นของผมว่า ทำไมข้าราชการยศระดับสูงหรือทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีความของผม แต่ปรากฏว่าผมไม่มีความผิดแล้วยศระดับนี้จะรับผิดชอบอย่างไร สตช. รับผิดชอบอย่างไร ในเมื่อผมไม่ได้ทำความผิด นี่คือสิ่งที่รัฐบาลและ สตช. ได้กระทำกับผมทุกทาง ผมไม่เคยเปิดเผยเอกสารเหล่านี้ที่ใดมาก่อน จึงอยากขอเรียกร้องความเป็นธรรมไปยังสื่อมวลชนทั่วโลกให้ความสำคัญในครั้งนี้ด้วย”
อ่านบทสัมภาษณ์ “อย่าร้องเป็นหมาแล้วกัน ถ้าวันหลังผมเอามาแฉ” พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ทาง https://themomentum.co/closeup-paween-pongsirin/
Tags: Report, ค้ามนุษย์, ปวีณ พงศ์สิรินทร์, โรฮีนจา