18 กุมภาพันธ์ 2565 

วันนั้นเป็นการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ของ รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในหัวข้อ ‘ตำรวจเลวได้ดี ตำรวจดีต้องลี้ภัย’ ทำให้สังคมในวงกว้างได้ทำความรู้จักกับ พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา เมื่อปี 2558 แต่ไม่ทันเสร็จสิ้นคดี เขากลับต้องลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลีย

19 กุมภาพันธ์ 2565 

วันนั้นเป็นวันที่พลตำตรวจตรีปวีณให้สัมภาษณ์ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่พรรคก้าวไกล บทสนทนาส่วนหนึ่งระบุว่า

“จนถึงวันนี้ 6 ปี 6 เดือน 3 วัน จากการที่ผมปฏิบัติหน้าที่แล้วถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก สตช. และรัฐบาล รวมถึงผู้มีอำนาจ… จากการอภิปรายเมื่อวานนี้ นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นจริง”

แล้วเหมือนเรื่องราวเหล่านั้นก็เลือนหายไปจากการรับรู้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ท่ามกลางกระแสข่าวสารพันที่ลามไหลเข้ามาในแต่ละวัน

21 เมษายน 2565 

วันนั้นเป็นอีกครั้งที่สังคมไทยและต่างประเทศ ได้กลับมาทบทวนถึงคดีดังกล่าวและชีวิตของนายตำรวจผู้นี้อีกครั้ง เป็นวันที่สำนักข่าวอัลจาซีรา ได้เผยแพร่สารคดีเรื่อง Thailand’s Fearless Cop ในรายการ 101 East ถ่ายทอดเรื่องราวของพลตำรวจตรีปวีณทั้งเบื้องหน้าในชีวิตประจำวัน และเบื้องลึกของคดีค้ามนุษย์ที่ยังไม่ถึงบทจบ

26 เมษายน 2565 

เป็นวันที่ The Momentum ได้สนทนาข้ามประเทศโดยตรงกับ พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ผ่านหน้าจอ เขาปรากฏตัวด้วยอัธยาศัยไมตรี และคำพูดที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา ทั้งยังคงมีรอยยิ้มและแววตาสุกสกาวเสมอ เมื่อเล่าย้อนอดีตถึงการทำงานในฐานะ ‘ตำรวจ’ ที่สามารถสืบสวนคดีและคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน

แน่นอนว่า ประเด็นสำคัญในการพูดคุยครั้งนี้ คือเบื้องลึกเบื้องหลังของคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ที่ส่งผลให้เขาต้องกลายสถานะสู่ผู้ลี้ภัยจนถึงทุกวันนี้ และการเปิดปากของเขาในแต่ละครั้ง แน่นอนเช่นกันว่า มันย่อมส่งผลถึงสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของเขา

“ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับผม เขาไม่ลงมือเองหรอก ไอ้กเฬวรากที่ไหนไม่รู้ มันจะเดินเข้ามาเล่นงานผมแทน อาจจะมาส่องยิงผม ขับรถชนผมก็ได้ สารพัดที่จะสร้างได้ เยอะแยะไปหมด ไม่มีอะไรที่พวกนี้เขาไม่ทำหรอก บางทีลูกน้องขี้ประจบอาจทำแทน แบบ เฮ้ย เจ้านายไม่พอใจโว้ย เดี๋ยวผมจัดการให้ครับนาย มีคนตายแบบฟรีๆ ตายแบบโง่ๆ เยอะแยะไป ทำไมเรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นได้ ผมก็ต้องระวังพื้นที่ตรงนั้น”

แต่อย่างไรก็ตาม พลตำรวจตรีปวีณบอกว่า เขาไม่เคยคิดและไม่มีวันที่จะเก็บเรื่องนี้ให้ตายไปกับตัว 

“ขอให้ทุกคนจดจำคำพูดของแต่ละคนและบันทึกไว้ว่า สิ่งที่คุณพูด ณ วันนี้คุณพูดว่าอะไร อะไรที่ตัวเองเคยกระทำไว้แล้วพูดตรงข้าม แน่นอนผมมีหลักฐานทั้งหมด เพียงแต่ผมจะมาเปิดเผยเมื่อไรเท่านั้น”

เขาเพียงแต่เฝ้าอดทนรอเวลาเพื่อจะหงาย ‘ไพ่ไม้ตาย’ ในการทำความจริงให้ปรากฏ

วันที่คุณปวีณได้รับมอบหมายให้สอบสวนคดีสุดท้ายในชีวิต ได้รับคำสั่งว่าอย่างไรบ้าง

ตอนนั้นน่าจะเป็นวันที่ 5 พฤษภาคม 2558 เวลาประมาณตี 5 เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาปลุกผม เมื่อรับสายปลายสายก็บอกว่า “เฮ้ย ปวีณมาทำคดีนี้หน่อยนะ ที่ปาดังเบซาร์มีคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา วันพรุ่งนี้นะเดินทาง มารายงานตัวเวลา 8 โมงเช้าวันที่ 6 พฤษภาคม 2558”

ผมไม่ได้เริ่มงานนี้ตั้งแต่ตอนแรก ถ้าถามความรู้สึกจริงๆ ตอนนั้นผมไม่อยากไป ผมก็บอกไปว่า เอาอีกแล้ว ทำไมต้องผมด้วย ผมไม่อยากไป เพราะคดีค้ามนุษย์มันไม่ได้เพิ่งมาเริ่มจากตรงนี้

ที่จริงคดีค้ามนุษย์เริ่มตั้งแต่คดีที่อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีด่านตรวจค้น และเจอโรฮีนจาเสียชีวิตในรถเพราะขาดอากาศหายใจ จึงมีการจับกุมและตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา ปรากฏว่ามีการเสนอชื่อผมเป็นพนักงานสอบสวนในคดีครั้งนั้น แต่ผู้บังคับบัญชาระดับใหญ่ข้างบนซึ่งผมไม่อยากเอ่ยชื่อ บอกให้ตัดชื่อปวีณออกไป ปวีณมันคุมมันไม่ได้ คนในทีมเขามาเล่าให้ผมฟัง พอได้ยินแบบนั้นผมก็ดีใจมากเลยที่เขาตัดชื่อผมออก โอ้ ไม่ต้องทำคดี พอแล้ว ผมก็อายุมากพอสมควรแล้ว 

แต่สำหรับคดีนี้ที่เขาเรียกตัว แม้ว่าผมไม่อยากไป แต่ก็ไป เมื่อไปแล้วก็อยากทำงานให้มันดีที่สุด พอไปถึง มีการโต้เถียงกันใหญ่ มีหลายทีมเต็มไปหมด ก็คุยกันว่าจะวางรูปคดีอย่างไร ตอนฟังครั้งแรกความรู้สึกผมคือ โอ้ ตายๆๆๆ เละเทะไปหมด เละเทะที่สุดเลย คือตอนนั้นเขามอบอำนาจให้ผมนิดหน่อย ผมเลยเขียนแผนการสอบสวนเอง และการสอบสวนของผมนี่ละเอียดมาก หนาเป็นตั้ง คำสั่งก็หนาเป็นนิ้วเลย

ผมให้ความสำคัญกับการตรวจค้นบ้านผู้ต้องหาครั้งแรกมากที่สุด ซึ่งการตรวจค้นแต่ละครั้ง จะไม่ให้ตำรวจไปตามลำพัง ต้องมีหลายหน่วยงานเข้าไป และมีสื่อมวลชนเข้าไปด้วย ทำให้การค้นบ้านผู้ต้องหาที่จังหวัดระนอง เราเจอของดีที่เป็นสลิปโอนเงิน แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่พวกนี้เขาเม้มไว้ ไม่รายงาน ผมมารู้ทีหลังตอนถูกสื่อมวลชนถาม 

สื่อมวลชนถามว่าอะไร แล้วคุณรู้สึกอย่างไร

ตอนนั้นเขาถามผมว่า พบหลักฐานสลิปโอนเงินให้นายทหารหรือ ถึงขั้นระดับนายพลเลยใช่ไหม ผมก็ตอบไปว่าไม่รู้จริงๆ ตอนนั้นผมเป็นคนรับผิดชอบเอกสารทั้งหมด แต่ผมไม่เคยติดตามข่าวสาร ไม่เคยดูโซเชียลมีเดียเลย แค่เนื้องานที่ต้องทำต้องรับผิดชอบก็จะตายแล้ว

อีกวันหนึ่ง นักข่าวก็ถามอีก ผมก็งงว่า มีเหรอวะ ผมก็บอกไม่มีๆ ผมไม่เคยได้รับเลย จนกระทั่งนักข่าวหัวเราะ ผมก็เลยตกใจที่เขามองผมเป็นตัวตลก พอผมแถลงเสร็จ ปรากฏว่ามีโทรศัพท์มาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมจำได้ว่าเป็น พลตำรวจเอก ประวุฒิ ถาวรศิริ โทร.มาถามว่า เฮ้ย ปวีณ เขาบอกว่ามีนักข่าวที่กรุงเทพฯ พบสลิปโอนเงินให้กับนายทหาร ผมก็ตอบไปว่า ไม่มีครับพี่ ปรากฏว่าพอพูดเสร็จมีน้องมากระซิบว่า พี่ ในโซเชียลมีเดียเขานำเสนอกันเต็มไปหมดเลย ผมก็อะไรวะ พอเข้าไปดูก็หน้าแตกเลย

ผมเลยนัดประชุมพนักงาน และตรวจสอบว่าชุดไหนบ้างที่เป็นคนไปตรวจค้นเจอ และทำไมไม่ยอมส่งหลักฐานมาให้ผม พลตำรวจโท ด. พันตำรวจเอก อ. พันตำรวจเอก ฉ. ก็พูดไว้ว่า พลตำรวจเอก จ. สั่งไม่ให้ส่งสลิปโอนเงินมาให้ สิ่งนี้เลยทำให้ผมรู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร 

วันที่พันตำรวจเอก อ. มาหาผม เขาก็ด่าผมใหญ่เลย และบอกว่า พลตำรวจเอก จ. สั่งไว้ว่าไม่ให้เอาให้ผม ทุกคนได้ยินเหมือนกันหมดนี่ละ และนี่คือหลักฐานที่ชัดเจน ผมไม่ได้หลอกลวงโกหกอะไรทั้งนั้น

พอวันแรกที่จับรองนายกเทศมนตรีมาที่โรงพักปาดังเบซาร์ รองผู้บัญชาการฯ เขาสั่งมาว่า ไม่ต้องขังนายกเทศมนตรีในห้องขังนะ ผมก็ถามกลับไปว่า ถ้าไม่ขังแล้วใครเฝ้าล่ะ รองผู้การฯ เฝ้าไหม ก็ไม่ ผู้กำกับฯ เฝ้าไหม รองผู้กำกับฯ เฝ้าไหม สารวัตรเฝ้าไหม ก็ไม่เฝ้า แล้วใครเฝ้า สิบเอกเฝ้า เอ้า ถ้าเขาหนีไปใครรับผิดชอบ พวกนั้นตอบมาว่า สิบเวรรับผิดชอบ

ผมเลยบอกว่าทำอย่างนี้ได้อย่างไร มันถูกต้องตามกฎหมายไหม เขาก็ตอบกันไม่ถูก ผมเลยบอกว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าใครขังผู้ต้องหานอกห้องขังผมจะดำเนินคดี และต้องขังผู้ต้องหาทุกคนตั้งแต่คนแรก

ดังนั้นผู้ต้องหาคนแรกก็ถูกขังมาโดยตลอด เห็นไหม ตรงนี้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการทำสำนวน บางคนชอบประนีประนอม ลูบหน้าปะจมูก เฮ้ย พรรคพวกเพื่อนฝูงกันเว้ย ของผมนี่ไม่มี พอเราเป็นแบบนี้ มันกลายเป็นขัดต่อประเพณีความเชื่อเรื่องพรรคพวกเพื่อนฝูงของเขา

จากคำแถลงของ พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่กล่าวว่า “อย่าเอาองค์กรมาขาย อย่าทำร้ายประเทศ… เรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว ผมถือว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย” คุณปวีณฟังแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

องค์กรราชการเป็นองค์กรที่มีเกียรติมากนะครับ แต่กรณีที่เอาคนไม่มีศักดิ์ศรีมาพูด ผมไม่ให้ราคาหรอก เขาก็จะอ้างว่าทำเพื่ออย่างโน้นอย่างนี้ แต่ตัวเองโกหกตอแหลตลอด หากไปถอดคำพูด เขาจะบอกว่า อย่าทำอย่างนี้ อย่าทำแบบนี้ มันทำให้ประเทศเสียหาย เดี๋ยวประเทศจะโดน…

โห… แล้วใครทำ ก็พวกคุณทั้งนั้นแหละทำ แต่ยังมาพูดแก้ตัวแบบนี้อีก ผมเห็นแล้วก็สังเวชประเทศไทย มันเป็นแบบนี้จริงๆ และก็คงจะเป็นกันแบบนี้ต่อไป 

ในความเห็นผม คือต้องเอาหลักฐานมาฟาดกัน และถ้าผมเจอต้นตอจริงๆ คุณพูดมาแบบนี้ คุณต้องรับผิดชอบ ต้องมีมาตรฐาน หากคุณพูดผิดเพี้ยนไปจากเดิมต้องลาออกนะ ไม่ใช่ว่าอยากจะแถลงอะไรก็แถลงได้ เพียงเพราะมีอำนาจ ไม่ได้ คุณต้องมีจริยธรรม และต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่าข้อกล่าวหานั้นจริงหรือเปล่า       

ครั้งแรกที่เห็นชื่อ พลโท มนัส คงแป้น ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นคนของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหนึ่งในผู้กระทำความผิดในคดีนี้ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง

โดยชีวิตจริงๆ ผมไม่ได้กลัวคนกระทำผิดเลย คุณจะเป็นใคร ใหญ่แค่ไหน ผมไม่สนใจ เพราะนี่คือกฎหมาย เราต้องมีความมั่นใจก่อนว่าเราทำถูกฎหมาย เมื่อใดก็ตามที่เราเข้มแข็ง กระบวนการทางกฎหมายก็เข้มแข็งตรงไปตรงมา สุดท้ายจะไม่มีใครทำอะไรเราได้ ตรงนี้ผมไม่กังวลอะไรทั้งสิ้น เพราะเขาไม่สามารถฟ้องอะไรได้ การรวบรวมพยานหลักฐานของผมสมบูรณ์มาก 

ดังนั้น ผมจึงไม่กลัวว่าคุณจะใหญ่ขนาดไหน เพราะคุณคือผู้กระทำความผิดและทำความเสียหายต่อประเทศอย่างร้ายแรง ประเทศเสียหายเป็นแสนๆ ล้านๆ บาท เพื่อแลกกับการที่คนจำนวนไม่กี่คนได้ประโยชน์ เมื่อถามว่ามันสิ้นสุดแค่พลโทมนัสคนเดียวหรือเปล่า ไม่ใช่หรอก ยังมีอีกหลายคน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะออกหมายจับ แต่ในตอนนี้ผมไม่อยากพูดถึงใครให้เกิดความเสียหาย

ถ้าตอนนั้นคุณปวีณยังเป็นพนักงานสอบสวนคดีนี้อยู่ และไม่ถูกสั่งย้าย คิดว่าจะเจอต้นตอของเรื่องเลยไหม

ก็อย่างที่คุณรังสิมันต์ โรมพูด ห้องขังไว้รอขังผู้ต้องหาอาจจะไม่พอ บางทีกองทัพเรืออาจละลายทั้งกองทัพก็ได้มั้ง (ยิ้ม)

เรียกว่าในช่วงนั้นคดีขบวนการค้ามนุษย์โรฮีนจา อย่างไรก็ไม่มีทางจบใช่ไหม

ไม่มี ไม่มีทางจบหรอกครับ และอย่างที่ผมบอกไปเบื้องต้น ถ้าผมจะมีความสุข คือได้ทำสำนวนคดีให้เสร็จสมบูรณ์ จับคนร้ายได้ทั้งหมด และทำหน้าที่ให้กับประเทศชาติ เพราะผมเชื่อว่าพลโทมนัสจะต้องส่งเงินต่อเป็นทอดๆ แน่

และหากไม่ใช่คุณปวีณทำคดีนั้นต่อ คิดว่าการสอบสวนสืบสวนจะพบอะไรเพิ่มไหม

ไม่มีอะไรสักอย่าง (หัวเราะ) เดี๋ยวเขาคงจับแค่พันตำรวจโท หรือร้อยตำรวจเอกอะไรสักคนแล้วก็บอกว่า จบแล้ว เฮ้ย พอๆๆ

แต่ พลตำรวจโท สุรเชษฐ์ หักพาล ก็เคยให้สัมภาษณ์ว่าคดีนี้จบแล้ว และจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องได้มากมาย

ผมถามจริงๆ นะว่า โรฮีนจาผุดขึ้นมาบนแผ่นดินไทยเองหรือเปล่า มันต้องผ่านที่ไหนบ้าง พวกนี้เขาเดินทางผ่านน่านน้ำ ขนมาทีเป็นหมื่นเป็นแสนคน ไม่ใช่ว่าทีละคนสองคน จำนวนมากขนาดนี้ แต่เข้ามาสะดวกได้อย่างไร จนกระทั่งประเทศเราถูกตราหน้าว่าเป็นพวกค้ามนุษย์ ซึ่งถ้าไม่แก้ปัญหา เขาจะบอยคอตประเทศเรา สินค้าจะเสียหายเป็นแสนๆ ล้านบาท ประเทศไทยถูกกดเป็น Tier 3 นี่คือความเสียหาย

แต่นี่ใครทำ? แค่คนไม่กี่คนทำ แต่คนทั้งประเทศต้องมารับผิดชอบ หน่วยงานต่างๆ ไม่ทำหน้าที่เลย การที่จับแค่พลโทมนัส มันใช่คนเดียวที่ไหนเล่า เขาจะรับผิดชอบทั้งหมดได้อย่างไร ไม่มีทางที่ทหารเรืออย่างนาวาเอกกัมปนาท (นาวาเอก กัมปนาท สังข์ทองจีน หนึ่งในผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา) คนเดียวสามารถทำได้ ยังมีอีกเยอะแยะเต็มไปหมดจริงๆ

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็ต้องตรวจสอบหลักฐาน แต่คุณตรวจสอบกันถึงไหน ตรวจจริงหรือเปล่า เงินจากการค้ามนุษย์เป็นจำนวนเงินที่สูงมาก ปีหนึ่งเป็นพันพันล้านบาทนั้น กระจายในหมู่ของใครเป็นล่ำเป็นสัน ทหารพวกนี้ไม่มีใครมาตรวจสอบหรอก พวกเขาเลยเหิมเกริม โอนเงินกันทางบัญชีธนาคารไง เพราะรู้ว่าไม่มีใครมาตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็น ปปง. หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

เพราะฉะนั้น คดีนี้มันยังไม่จบ ยังมีอีกเยอะ และพอหลังจากผมไป คดีมันก็จบเลย คุณเห็นไหม ไม่ทำต่อ โอ้โห คดีสมบูรณ์มาก ตราเด็กสมบูรณ์เลย ไม่มีทาง คดีนี้ยังมีอีกเยอะเลยที่ทำได้

ผมบอกไว้ตรงนี้เลยว่า หลักฐานในคดีนี้ได้ฝากไว้กับธนาคารหมดแหละครับ และอยู่ในธนาคารเต็มไปหมด ถ้าสมาคมธนาคาร ธนาคารทุกธนาคารออกมาเปิดเผยแหล่งซุกซ่อนเงินเหล่านี้ แค่นี้ก็รู้หมดแล้วว่าเงินโอนไปที่ไหนอย่างไร นี่เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาระดับใหญ่ๆ ถึงบอกว่า เฮ้ย พวกเราไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินหรอก เพราะตรงนี้ละครับ

  ตามจริงแล้วสื่อจะต้องช่วยเจาะต้องขุดคุ้ยและเรียกร้องไป เอาไปวิเคราะห์กันเองว่า โรฮีนจามาจากไหน เข้ามาประเทศไทยได้อย่างไร ผ่านใครมาบ้าง หน่วยงานไหนรับผิดชอบ ลองไล่มาสิ จริงๆ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน) ต้องรับผิดชอบไหม กอ.รมน. คือใคร ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คือใคร แล้วถ้าพลโทมนัสต้องส่งเงินให้ ผบ.ทบ. ใครเป็น ผบ.ทบ. ทำไมถึงบอกว่าตรวจสอบเงินไม่ได้ พวกสมาคมธนาคารที่ให้พวกนี้ซุกเงินก็ออกมาเปิดเผยสิ

ตอนที่คุณถูกสั่งให้เลิกทำคดีขบวนการค้ามนุษย์โรฮีนจา ‘ผู้หลักผู้ใหญ่’ ให้เหตุผลว่าอะไรบ้าง

เขาบอกว่า เฮ้ย คุณอย่าจับทหาร ผมบอกว่า ที่ผมจับทหารก็จับตามพยานหลักฐาน ไม่ใช่ว่านึกสนุกอยากจับก็จับ ถ้าไม่มีหลักฐานผมก็ไม่จับหรอก ตอนแรกผมก็สงสัยอยู่แล้วว่า ทำไมพวกทหารเรือไม่มีหมายจับ เป็นไปได้อย่างไร ทำไมเราเจาะไม่เจอสักที จนกระทั่งไปตรวจสอบบัญชีธนาคาร เริ่มจะเจาะและขยายผล  เพราะเขามีการโอนเงินกัน ตรงนี้ผมก็บันทึกไว้ทั้งหมดนะว่า ใคร เมื่อไร วันไหน เวลาเท่าไร พูดว่าอะไร

นอกจากผมจะบันทึกเองแล้ว ผมยังบอกลูกน้องที่ติดตามว่า มึงต้องบันทึกด้วยนะว่าวันนี้ไปเจอใครที่ไหนอย่างไร เมื่อไร แล้วมีสาระอะไรบ้าง อีกอย่างนะ ผมลืมนึกเลยว่า ‘เขตทหาร ห้ามเข้า’ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา บางครั้ง ในคดีมือปืนนี่ พอยิงเสร็จ เขาก็วิ่งเข้าค่ายทหาร บ่อยเลย เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย แล้วผมมีประสบการณ์หลายครั้งที่ทะเลาะกับทหาร ทหารก็จะมาล้อมโรงพัก

ครั้งหนึ่งที่ผมเป็นร้อยตำรวจตรี ทหารจ่าคนหนึ่งเมาแล้วขับย้อนศรชนรถบัสของบริษัทท่องเที่ยว ปรากฏว่าทหารนี่ปิดถนนเลย บอกว่าถ้าบริษัทนี้ไม่จ่ายเงิน ไม่ต้องวิ่งผ่าน ค่ายทหารทั้งค่ายปิดถนนเลย ทั้งที่เป็นความผิดของทหารคนนี้แท้ๆ แต่ผู้กำกับฯ สั่งว่า มึงต้องทำช่วยไอ้ทหารคนที่ว่า ต้องทำผิดเป็นถูกให้ได้ นี่คือเรื่องเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว 

อีกครั้งหนึ่ง ทหารยิงคนตายที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่ง แม่ทัพต้องหิ้วเงินมาแจกเพื่อปิดคดี สุดท้าย ประชาชนต้องมาร้องเรียนว่าให้ดำเนินคดีทหาร ถ้าให้เขียนเป็นเรื่องเป็นราวได้เลยนี่คือของจริง เป็นอย่างนี้จริงๆ 

เพราะอะไรถึงไม่ให้จับทหาร ไม่ให้ยุ่ง ไม่ให้ดำเนินคดีใดๆ

มันไม่มีเหตุผล เขาก็แค่บอกว่าอย่าจับ เพราะว่าเสียหน้าเขา เขาเป็น คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) เฮ้ย ภาพลักษณ์ทหารต้องดีเว้ย (หัวเราะ) ตอนนั้นผมก็รู้เลยว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร

แน่นอนว่าตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมาของคุณปวีณ คดีค้ามนุษย์คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำให้คุณโดนขู่ โดนเตือน หรือโดนคำสั่งจากผู้ใหญ่ แต่มันมีสัญญาณอะไรที่ทำให้รู้สึกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา

ที่ผ่านมาผมถูกฟ้องบ่อยมาก ครั้งหนึ่ง ผมเคยโดนผู้พิพากษาฟ้อง อัยการฟ้อง เพราะผมไปจับหลานเขาข้อหาฉ้อโกง ผมก็รู้ว่าฟ้องผมอย่างไรก็เอาผิดผมไม่ได้หรอก ผมก็สู้คดี ผมตกเป็นจำเลยในชั้นศาลและผมฟ้องกลับ ถ้าเกิดผมแพ้คดี คงไม่ได้มาเป็นตำรวจใช่ไหม ดังนั้นเวลาเกิดเรื่องแบบนี้ผมชนะตลอด

คนบ้านนอกแบบผม แม้แต่รัฐมนตรีก็เคยได้พบนะ เขามาบอกว่า เฮ้ย ท่านรองฯ ช่วยหน่อยนะ ผมก็บอกว่า ครับ แต่ผมไม่ทำให้หรอก (หัวเราะ) พอผมไม่ทำตาม ก็สั่งย้ายผมด้วย เจอทั้งผ่านโทรศัพท์ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ด่าผมสารพัด แต่อย่างไรผมก็ไม่ทำ ผมยึดหลักกฎหมายของผม 

แต่ครั้งนี้ผมกลับถูกส่งไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมรู้ละ โอ้โห เขาต้องการเล่นผมแน่นอน เพราะมีสิ่งบอกเหตุมาตั้งหลายเดือนแล้ว มีคนเยอะมากมาพูดมาคอยเตือนตลอด

โอเค ถ้าผมไปอยู่ 5-6 เดือนแรกผมอาจจะรอด แต่ผมอาจจะพลาดเดือนที่ 7 ก็ได้ ใครจะรู้ ผมไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงหรอก ยิ่งเราทำคดีมาเยอะ ศัตรูก็เยอะตาม เพราะทุกครั้งที่คุณปฏิเสธ คุณก็มีศัตรูเพิ่มแล้ว และยิ่งบอกว่าผู้ใหญ่ขอมา ความแค้นก็มากขึ้นเท่านั้น 

อย่างที่ผมได้ยินพลเอกประวิตรพูดว่า “เฮ้ย ผมจะมีอำนาจอะไร ไม่เกี่ยวกับเรื่องประกันตัว นั่นมันเป็นเรื่องของชั้นศาล” คุณพูดผิดแล้ว มันไม่ใช่ชั้นศาล มันชั้นพนักงานสอบสวนที่คุณจะบีบให้ขอประกันตัว คุณสามารถบีบได้ ถ้าเป็นคนอื่นก็ยอมทำตามหมดแล้ว แต่ผมดันไม่ทำให้ เพราะมันผิดเงื่อนไข 

ผมมีหลักฐานทั้งหมดนะครับ คุณพูดไปเถอะ คุณโกหก ก็ขอให้จำคำพูดของคนเหล่านี้เอาไว้ จำไว้ให้ดีนะครับว่าพูดอะไรไว้ อย่าร้องเป็นหมาแล้วกัน ถ้าวันหลังผมเอามาแฉ เพราะผมเป็นพนักงานสืบสวนสอบสวน ผมไม่ได้ทำอาชีพเกาะโต๊ะ

แสดงว่าตำรวจมีประวัติการ ‘เก็บ’ คนแบบนี้เยอะมาก

โอ๊ย… ทำไมผมจะไม่รู้ คุณเป็นตำรวจถ้าโง่นักก็อย่ามาเป็นเลย คนในวงการนี้มันตายมาเท่าไรแล้ว อย่างพันตำรวจโท จันทร์ ชัยสวัสดิ์ (พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ [หัวหน้าสอบสวน] สน.เทียนทะเล หนึ่งในนายตำรวจที่ขับเคลื่อนการปฏิรูปงานสืบสวนสอบสวน) อยู่ๆ ก็ตายขึ้นมาเฉยๆ ตอนนั้นถูกจับแขวนคอ หรือร้อยตำรวจเอกที่สงขลาก็ถูกยิงตาย และจับใครไม่ได้ด้วย 

นอกจากคำสั่งย้ายไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังมีคำเสนอให้ไปสังกัด สนง.นรป.904 (สำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ 904) และท้ายสุดคือขอให้ลาออกจากราชการ ตอนนั้นเป็นมาอย่างไร

ผมรู้ว่าถ้าไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมตายแน่ หลายคนก็บอกมาแบบนี้ ผมเลยยื่นใบลาออกเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 ที่จังหวัดยะลา แต่ถ้าไม่มีปัญหา ผมไปอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นี่แฮปปี้เลยนะ บ้านพักอย่างดี มีทีวีจอ 42 นิ้ว มีนายตำรวจติดตาม มีรถ 3 คันให้ผม รถหุ้มเกราะ รถตู้ รถกระบะ มีปืนเอ็ม16 และอีกเยอะแยะ

ผมก็ถามพันตำรวจโทที่พาไปดูบ้านพักว่า เอางบประมาณมาจากไหน เขาบอกว่าที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สตง. ไม่มาตรวจสอบการใช้เงินหรอก เพราะเป็นพื้นที่ความมั่นคง ผมก็คิดในใจ โอ้โห มิน่าถึงเบิกกันบานเบอะสนุกสนาน สวาปามกันมันเลย แต่พอเราต้องย้ายไปแบบมีเรื่องและมีปัญหา มันก็รู้สึกว่า โอ้ ตายละ ทุกจุดมีป้อมทหารเต็มไปหมดเลย ผมจะอยู่รอดได้อย่างไร แค่เห็นก็ไม่รอดแล้ว เลยมองว่าตัวเองคิดถูกที่ลาออก

ระหว่างนั้นเรื่องค้ามนุษย์ก็ยังไม่จบ สิ่งที่พิสดารและทำให้ผมรู้สึกแปลก คืออัยการ ศาลจังหวัดที่รับผิดชอบคดีก็ย้ายสำนวนมากรุงเทพฯ คนที่เกี่ยวกับคดีก็ย้ายมากรุงเทพฯ หมด แต่พอเป็นผมกลับไม่ถูกย้ายเหมือนคนอื่นเขา พอย้ายสำนวนมากรุงเทพฯ ระหว่างนั้นก็มีการสอบสวนกันต่อ เขาก็เรียกทีมพนักงานสอบสวนขึ้นไปชี้แจ้งว่าคดีมีอะไรบ้าง ผมก็ตามขึ้นไปด้วย

พอตอนไปช่วยงานที่กรุงเทพฯ ผมได้รับโทรศัพท์จาก พลตำรวจโท ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ตอนนั้นเป็นผู้บัญชาการสอบสวนกลาง โทรมาหาผมตั้งสิบกว่าครั้ง พอรับสาย เขาก็พูดสาธยายชื่นชมผมเสียยาวเหยียดเลย

ผมได้ข้อเสนอจากผู้ใหญ่สองข้อ หนึ่ง มาทำงานในวัง สอง ทำคดีค้ามนุษย์ต่อ ให้ผมกลับไปคิดและมาบอกคำตอบวันพรุ่งนี้

ในเมื่อผมมีสิทธิเลือก ผมก็เลือกที่จะทำคดีต่อใช่ไหม ผมเลยไปหา ผบ.ตร. พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา และทำการถอนใบลาออก พอถอนเสร็จคืนนั้น พลตำรวจเอก รุ่งโรจน์ แสงคร้าม ก็โทร.มาบอกว่า “ปวีณ พรุ่งนี้ให้มาพบ ผบ.ตร. นะ” ผมก็บอก เอ้า วันนี้เพิ่งพบไป ทำไมต้องพบอีก เขาก็บอกว่ามีเรื่องสำคัญ พอผมไปพบ จักรทิพย์ก็บอกว่า “พี่กับผมเราไม่มีอะไรกันนะ แต่พี่ต้องลาออกและอยู่เงียบๆ”

แต่ก่อนที่จักรทิพย์จะมาเจอผมนั้น ในห้อง ผบ.ตร. เขาก็ทำพิธีร่ายรำ มีพราหมณ์ทำพิธี โอ้โหปลุกเสกเยอะแยะไปหมด ผมเห็นในกล้องวงจรปิด ก็ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นก็ต่อสายหาพลตำรวจเอกอีกท่าน เขาก็พูดเหมือนกันเป๊ะว่าให้ผมลาออกและอยู่เงียบๆ ผมก็บอกว่า เอ้า ไหนบอกจะให้ผมเลือกแบบนี้ไง แต่พอโทร.ไปถึงผู้ใหญ่ เขาก็ไม่รับสาย 

ทั้งหมดที่พูดมาผมมีหลักฐานการติดต่อทุกอย่าง พอมาเจอแบบนี้ก็ทำไงดีล่ะ คงโดนเล่นแล้วเรา แบบนี้เสร็จแน่ๆ ไม่มีตัวเลือกแล้ว หลายคนบอกอย่าอยู่เลย อยู่ก็เสร็จ รับราชการก็ตายห่า และจักรทิพย์ก็คงล่อทุกทางแน่ เพราะถือว่าไม่ใช่พวกเขา

จากกรณีนี้ การที่คุณเลือกข้อเสนอข้อที่สอง คือทำคดีค้ามนุษย์ต่อ คุณปวีณคิดว่าสามารถทำให้ตัวเองถึงกับจะต้องโดนข้อหาจากมาตรา 112 จริงหรือ

ตอนนั้นสายบอกว่าเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท หากไม่ถวายงานพระองค์ท่าน ไม่สนองพระบรมราชโองการ

ยากไหมกว่าจะตัดสินใจลี้ภัยไปต่างประเทศ

ยากสิ… แต่เรารู้ว่าเราจะตายแล้ว เราจะไม่มีชีวิต ก็อย่าให้เขาฆ่าเลย ผมก็คิดนะว่าถ้าเราอยู่ประเทศไทยต่อ ก็คงมีแค่ร่าง แต่ไม่มีจิตวิญญาณ พูดอะไรก็ไม่ได้ แต่ถามว่าเสียใจไหม ความรู้สึกตรงนั้นคือเราเสียโอกาสทุกอย่างแล้ว ทำลายทุกอย่างจนถึงที่สุด เราทำงานแทบตายแต่ได้ผลลัพธ์แบบนี้ ด้วยกลไกของคนชั่วที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ ไม่มีความเป็นธรรม และที่สำคัญ พวกนี้เป็นนักสร้างภาพ สังคมส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต้องรอให้หลักฐานมันปรากฏชัดก่อนถึงจะได้บทเรียน ส่วนใหญ่พอพวกนี้มีอำนาจ เขาจะกดคนที่ต่ำกว่า ส่วนคนที่เกษียณไปแล้วมันจะมีปากเสียงที่ไหนล่ะ ใช่ไหม 

หากผมอยู่ในประเทศไทยใครจะกล้าพูดแบบนี้ ไม่มีทาง และถ้าผมยังอยู่ในประเทศไทย ผมจะมาพูดกับน้องๆ หลานๆ แบบนี้ได้อย่างไร

เพราะมีสถานะตรงนี้ไง ผมถึงรอโอกาส ผมรอได้ เพราะการเป็นพนักงานสืบสวนสอบสวนต้องรอจังหวะ รอโอกาส รู้ท่วงทำนองว่าเป็นอย่างไร ปล่อยให้พวกเขาพูดไป ถ้าเกิดถึงเวลาเอาคืนเมื่อไร อย่าร้องแล้วกัน อย่าร้องเป็นหมานะ

ถ้าวันใดที่ ‘คนเหล่านั้น’ หมดอำนาจ คุณปวีณจะเดินทางกลับประเทศไทยไหม

เรื่องเดินทางกลับ แน่นอนผมต้องกลับอยู่แล้ว แต่ถ้ากลับแบบไม่มั่นใจ เราจะกลับไปทำไมใช่ไหม ก็ต้องให้มั่นใจก่อน ในตอนนี้ยังไม่อยู่ในสารบบว่าผมจะกลับไป คุณไม่ต้องมาเรียกหาผมหรอก ที่บอกว่ากลับมาสิ ผมการันตีให้ ผมไม่เชื่อคุณหรอก อย่ามาพูดเลย เอาตัวเองให้รอดเสียก่อน

ถ้ามีโอกาสกลับเมื่อไร ผมกลับแน่ เพราะนั่นคือบ้านของผม แต่จะกลับตอนไหนค่อยว่ากัน ตอนนี้ลมกำลังแรง พายุกำลังมา ถ้าผมกลับตอนนี้มันก็พัดผมปลิวไปหมดใช่ไหม มันต้องสงบราบเรียบเสียก่อน

จากกรณีที่เกิดขึ้นกับคุณปวีณ ทั้งข่าวด้านลบต่างๆ ของตำรวจ ทหาร และระบบความยุติธรรมของไทย คิดว่าประชาชนยังสามารถพึ่งพาสถาบันเหล่านี้ได้อยู่ไหม

สิ่งเหล่านี้มันสะท้อนให้เห็นถึงระบบการคัดกรองคน เขาไม่ได้คัดกรองตามความรู้ ความสามารถ แต่คัดกรองผ่านระบบพรรคพวก พวกนี้เขาคำนึงถึงหลักกฎหมายที่ไหน เขาไม่ได้คำนึงถึงมาตรฐานวิชาชีพหรอก มันเป็นซ่องโจรดีๆ นี่เอง และเราจะเชื่อโจรได้อย่างไร เห็นแล้วก็สังเวชใจ

เกือบ 7 ปีที่ลี้ภัย ชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ปรับตัวได้มากน้อยแค่ไหนแล้ว

ชีวิตตอนนี้ถือว่าไปได้พอสมควร แต่ยังไม่ถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังมีอะไรหลายอย่างที่ไม่ดีเท่าที่ควร เช่น ภาษาก็ยังไม่ได้เรื่องเท่าไรนัก

ชีวิตประจำวันตอนนี้ผมก็ทำงาน ทำงาน ทำงาน และทำงานครับ แต่ไม่ใช่งานที่ปรากฏในสารคดีของสำนักข่าวอัลจาซีรา เพราะผมเปลี่ยนงานใหม่แล้ว ยังไม่อยากบอกว่าตอนนี้เปลี่ยนมาทำอะไร เพราะไม่อยากเป็นเป้าให้เขามอง (หัวเราะ) 

ถ้าเทียบกับคนไทยทั่วไป อายุ 64 ปี ก็หมายถึงการเกษียณ แต่ตอนนี้คุณยังคงทำงานอยู่ 

ที่ประเทศออสเตรเลีย คนอายุมากกว่าผมก็ยังทำงานกันอยู่ครับ เขาไม่จำกัด เปิดกว้างมาก คุณจะอายุเท่าไรก็ตาม แต่ถ้าคุณยังทำงานไหว เขาก็ให้ทำ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดของประเทศนี้ มันเลยทำให้ผมรู้สึกไม่แปลกประหลาดเท่าไรนัก

การที่ผมมาอยู่ต่างประเทศ ผมไม่อยากใช้สิทธิพิเศษของทางรัฐบาลเพื่อให้เขามาดูแลผมเพียงอย่างเดียว ผมอยากอยู่บนพื้นฐานของตัวเองมากกว่า และเมื่อไรที่ได้ทำงาน ก็จะภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ โดยสภาพร่างกายขณะนี้ที่ยังทำงานไหวอยู่ และผมอาจจะมีงานดีๆ ทำขึ้นไปเรื่อยๆ พิเศษขึ้นไปเรื่อยๆ

ขณะเดียวกัน ผมก็วางแผนไว้ล่วงหน้า เพราะตอนนี้มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งติดต่อให้ไปช่วยทำงานวิจัย ผมอาจจะเรียนต่อในบางสาขาวิชา อาจจะต้องทำงานทำการบ้านหนักหน่อย แต่ผมอาจได้ไปช่วยเหลืองานในระดับนานาชาติ ทำงานที่เราถนัดได้ เมื่อภาษาอังกฤษดีขึ้น แต่หากเป็นประเทศไทย วัฒนธรรมมันรุนแรงมาก คงไม่มีข้าราชการคนไหนหรอกที่เกษียณอายุราชการและออกมาวิพากษ์วิจารณ์ออกสื่อแบบนี้ ผมอาจจะเป็นตัวประหลาดในสังคมไทยสักหน่อย

เคยคิดถึงภาพตัวเองในวัยนี้ที่ไม่ได้ขอลี้ภัยและอยู่ในประเทศไทยบ้างไหม ว่าคุณจะเป็นอย่างไร ชีวิตน่าจะเป็นแบบไหน 

ผมคงจะมีแค่ร่างกาย แต่ไร้จิตวิญญาณ และคงไม่สามารถที่จะเปิดปากพูดอะไรแบบนี้ได้ และคนในประเทศไทยก็จะไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้ต่อไป ก็จะอยู่กันแบบเดิมๆ และเข้าใจแบบไม่ถูกต้องกันต่อไป

กรณีของคุณปวีณ นอกจากการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ เล่าเรื่องราวผ่านสารคดี และมีเอกสารบางชิ้นที่เผยแพร่ออกมา บางคนอาจจะบอกว่า คุณมีแต่คำพูดอย่างเดียว แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน

คุณอย่าลืมว่า พื้นฐานในชีวิตของผมเป็นพนักงานสอบสวนมาทั้งชีวิต และใช้วิชาการสืบสวนสอบสวนมาตลอด การสืบสวนสอบสวนของผมคือการพิสูจน์ความผิดในชั้นศาล เพราะฉะนั้นทุกถ้อยคำพูดของผม ทุกตัวอักษรที่ผมเขียนลงไป มันต้องยืนหยัดบนพื้นฐานความถูกต้อง 

ในการทำงานจะมีทั้งก้อนอิฐและดอกไม้ แต่ส่วนใหญ่ก้อนอิฐมาแรง เราต้องทนนะ ต้องทน แล้วเราก็ต้องสะอาดพอสมควรด้วย ถ้าเราไม่สะอาดเราตาย ตรงนี้มันทำให้เราเข้มแข็งเวลาไปเจอเรื่องใหญ่ๆ เราจะนิ่ง ทำให้เราสามารถจะทำการใหญ่ได้ จะทำการใหญ่ได้เราก็ต้องบริสุทธิ์ อย่ามีช่องโหว่ 

เพราะฉะนั้น บางครั้งบางจังหวะ ผมพูดออกไปแต่ไม่ได้แสดงหลักฐานอะไรให้เห็น แต่ผมขอยืนยันว่าทุกอย่างนั้นเป็นความจริงทุกประการ เพียงแต่ว่าหลักฐานตรงนั้นผมยังไม่จำเป็นต้องมาโชว์ ณ เวลานี้… แต่ในเวลาที่มันจำเป็นต่างหากที่ผมจะนำมาแสดงให้เห็น

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครจะมาโต้แย้งใดๆ ผมไม่เคยหวั่นไหวทั้งสิ้น ขอให้ทุกคนจดจำคำพูดของแต่ละคน และบันทึกเอาไว้ว่า สิ่งที่คุณพูด ณ วันนี้ คุณพูดว่าอย่างไร ในฐานะของหน่วยราชการที่ทรงเกียรติ คุณไม่ควรพูดแบบเพ้อเจ้อเลื่อนลอย คุณจะพูดอะไรก็พูดได้… แต่สิ่งที่ตัวเองเคยกระทำไว้มันตรงข้ามกับคำพูด

แน่นอน ผมมีหลักฐานทั้งหมด เพียงแต่ว่าผมจะมาเปิดเผยเมื่อไรเท่านั้น ผมไม่จำเป็นต้องมาเปิดเผยให้คุณดูวันนี้หรอกครับ และหลักฐานของผมไม่ได้อยู่ที่ผมเพียงคนเดียว ผมคงไม่เสียสติเก็บเอาไว้ที่ผมคนเดียวอย่างแน่นอน ทั่วทุกมุมโลก ที่ไหนก็ได้ และสามารถนำมาแสดงให้เห็นได้ครับ

แปลว่าเมื่อใดก็ตามที่เวลาอันเหมาะสมมาถึง คุณปวีณพร้อมตีแผ่หลักฐานที่รวบรวมไว้ทั้งหมด

มันคือจังหวะเวลาของเราครับ จริงๆ สื่อมวลชนต่างเข้ามาสนใจ และผมเห็นว่าก็สมควรแล้ว เพราะมีสถานะมั่นคง ผมเองก็คงไม่มานั่งโกหกเหมือนอย่างที่พูดไว้ข้างต้น เพราะการเป็นพนักงานสอบสวนมาตลอดทั้งชีวิต การนำเรื่องโกหกไปพูดในชั้นศาล มันเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเอง และผมเชื่อว่ามันเป็นบาปกรรม ผมจะไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร จะต้องเอาความจริงมาพูดเท่านั้น

อีกอย่าง ผมได้บันทึกเอกสารชีวิตประจำวันไว้ทุกอย่าง เช่นวันนี้ที่คุณมาคุยกับผม ผมก็เขียนเอาไว้ เพราะฉะนั้น มันจึงไม่กระเด็นไปแม้แต่เม็ดเดียว ใครมาหาผมเมื่อไร วันที่ผมไปพบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผมก็ถ่ายรูปห้องทำงานไว้ทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร ผมต้องรวบรวมไว้ แม้แต่กระดาษชิ้นเดียวผมก็เก็บไว้ ในอดีตที่ผ่านมา กระดุมเสื้อเม็ดเดียวตกในที่เกิดเหตุ ผมก็สืบจนกระทั่งสามารถจับกุมแก๊งมือปืนได้ทั้งแก๊ง จนกระทั่งศาลลงโทษประหารชีวิต 

การที่ผมใช้วิชาสืบสวนสอบสวนมาทั้งชีวิต มันเลยทำให้เราทำงานแบบนี้มาตลอด เพราะผมเก็บทุกอย่าง

คุณปวีณคิดหนักไหมกว่าจะออกมาพูดหรือให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา  

ผมอยากพูดตลอดเวลา เจอใครผมก็พูดเรื่องราวของผมให้ฟัง แต่เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่ค่อยสามัคคีกัน บางครั้งผมพูดอะไรไป เขาก็ไม่ฟัง บางคนก็คิดว่าไม่ใช่ธุระอะไรของเขา เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยว เดี๋ยวจะเดือดร้อนเข้า แม้กระทั่งสื่อมวลชนเองก็ตาม 

สื่อมวลชนบางคนสนใจผมมาก ติดตามตลอด แต่พอผมพูดเรื่องสำคัญ เรื่องที่สุ่มเสี่ยงมาก เขากลับไม่เขียนตรงนี้ลงไป ผมก็บอกเขานะว่าเรื่องนี้เป็นความจริง คือสิ่งที่ผมเผชิญมาทั้งนั้น ทำไมคุณถึงไม่เขียนลงไป ผมเจอสื่อมวลชนประเภทนี้เยอะมาก

แล้วทำไมคุณปวีณถึงเลือกเปิดปากกับทางพรรคก้าวไกล ที่ ส.ส.โรมนำประเด็นการค้ามนุษย์ไปอภิปรายในสภาฯ

ที่ผ่านมาผมเคยให้เพื่อนที่ประเทศไทยติดต่อนักข่าวให้มาเขียนเรื่องราวของผมหน่อย ก็ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง น่าจะประมาณต้นปี 2563 ที่เริ่มจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรก ก็มีกลุ่มเอ็นจีโอและพรรคอนาคตใหม่ติดต่อผมมา ตอนแรกก็ตกใจมาก ในขณะเดียวกันก็ดีใจไปด้วย เพราะนี่คือโอกาสในการนำเรื่องราวไปเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ ทั้งหมดมันเป็นประโยชน์ และเป็นความจริง แต่ครั้งนั้น เขาก็อภิปรายได้ไม่เท่าไรเพราะเวลาจำกัด 

เมื่อต้นปี 2565 ก็ติดต่อกันอีกครั้ง ผมเลยตระหนักได้ว่าโอกาสของผมมาแล้ว และอายุเราก็มากขึ้นทุกวัน

อีกประเด็นหนึ่งที่ช่วยผลักดันผมให้ออกมาพูด คือคนรุ่นหลังๆ คนรุ่นใหม่ ต่างก็มีความคิดที่ก้าวหน้ามากเมื่อเทียบกับตอนที่ผมอายุเท่ากับพวกเขา ผมไม่ประสีประสาเลย แต่คนรุ่นใหม่ยุคนี้เก่งมาก ผมนับถือ 

แต่ก็ไม่แคล้วมีคนวิจารณ์ว่า คุณตกเป็นเครื่องมือทางการการเมืองของพรรคก้าวไกล

ผมตอบไปแล้ว ผมอยากให้ทุกพรรคมาหา แต่ไม่มีใครมาหาสักคน ผมถามจริงมีใครมาบ้างไหม ก็ไม่มี ไม่มีใครกล้า มันไม่มีจริงๆ แล้วทีนี้ พอพรรคก้าวไกลติดต่อผมมา และผมก็ติดตามอยู่ว่าคนนี้ใช้ได้เว้ย กล้าพูดตรงไปตรงมา และเขาก็พูดจริงๆ ถ้าเขาไม่พูด ไม่ใช้ปากพูดเรื่องของผม จะมีคนฟังไหม ก็ไม่ฟังหรอก

แต่พอได้พูด คนไทยก็บอกว่า ผมกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง เออ เป็นแล้วอย่างไร ก็ให้พรรคเพื่อไทยมาพูดสิ เอาพรรคประชาธิปัตย์มาพูดสิ ก็ไม่มา ผมชอบคนตรงคนจริง ไอ้พวกลิ้นสองแฉกผมไม่เอา

ในการแถลงข่าวกับพรรคก้าวไกล รู้สึกเหมือนว่าคุณปวีณค่อนข้างผิดหวังกับวงการสื่อมวลชนในประเทศไทย

ผมพูดตามความจริงนะ ประสบการณ์ในชีวิตนี้ผมผิดหวังกับสื่อมวลชนในประเทศไทยมาโดยตลอด ผมทำงานอยู่หลายจังหวัด เห็นการทำงานของสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวไม่สะท้อนปัญหาที่แท้จริง หลายครั้งหลายหนก็รับเงินรับทองกัน แถลงข่าวแต่ละทีก็ต้องจ่ายเงินให้นักข่าว นักข่าวที่ผมเจอมาเป็นแบบนี้ครับ

พอมาอยู่ที่ออสเตรเลีย ได้ดูทีวี ได้ดูการนำเสนอข่าว มันแตกต่างจากบ้านเรามาก คนละเรื่องกันเลย บ้านเรามันออกไปทางบันเทิงมากกว่า ประกอบกับที่ผมสัมผัสคนออสเตรเลีย เขามีความเข้าใจในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียมมาก มันแตกต่างจากประเทศไทยจริงๆ ในประเทศไทย คนที่มีตำแหน่ง มีฐานะใหญ่โตคงจะชอบ เพราะได้สิทธิพิเศษ คนมีสตางค์ คนมีตำแหน่งมีเส้นสาย ต่างก็ได้เปรียบมากในสังคมนี้

การต้องลี้ภัยไปออสเตรเลีย การอกหักซ้ำๆ กับสื่อมวลชนไทย คุณปวีณเคยคิดสักครั้งไหมว่า อยากให้เรื่องนี้มันจบๆ ไป หรือเลือนหายตายไปกับตัวเลย

ไม่เคยคิด ผมไม่เคยคิดเลยสักครั้ง เพราะการเป็นพนักงานสอบสวนจะต้องจดจำเรื่องราวต่างๆ อยู่แล้ว ผมยังคิดอยู่เลยว่า สักวันผมจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของผมออกมาว่ามีอะไรบ้าง มีแนวทางปฏิบัติอย่างไร มีความมุ่งมั่นอย่างไร มีจุดมุ่งหมายแบบไหน มีอุดมการณ์ในการทำงานอย่างไร และเป้าประสงค์ในชีวิตเพื่ออะไร

แล้วเป้าประสงค์ตอนเป็นพลตำรวจตรีปวีณ กับคุณปวีณในตอนนี้ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

มันคนละเรื่องกับชีวิตสมัยเป็นตำรวจ ที่นี่ผมต้องหาเลี้ยงชีพตัวเองให้ได้ ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ไปเบียดเบียนใคร ผมลองเรียนหลายอย่างครับ เช่น Agriculture เกี่ยวกับพืชสวน ตอนนั้นเลือกเรียนเพราะเราอยู่กับเอกสารมาเยอะ อยู่มาทั้งชีวิต มันเบื่อ เลยคิดว่าอยากไปชมธรรมชาติชมป่าเขาต้นไม้บ้าง ที่ไหนได้งานหนักมาก (พูดแกมขำ)

ผมทำงานกับฝรั่ง ถ้าเขาบอกให้ยกกระถาง โอ้โห คุณต้องยกพร้อมกันสองกระถางนะ ยกอันเดียวไม่ได้ และอากาศก็หนาว ต้องเดินขึ้นๆ ลงๆ มือก็เจ็บและเหนื่อยมาก ผมทำได้ประมาณ 7-8 เดือน โควิด-19 ก็เริ่มระบาด เจ้านายฝรั่งก็บอกว่า “Paween, today is the last day for you.” ผมก็ดีใจมาก ไม่ต้องทำงานแล้ว (หัวเราะ) ผมเลยเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ และตอนนี้ก็เปลี่ยนงานอีกแล้ว

ตอนทำงานเหล่านี้คิดถึงตอนรับราชการตำรวจบ้างไหม

คิดถึงครับ คิดถึงเพื่อน คิดถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่เมืองไทยด้วยครับ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมก็คิดโน่นคิดนี่ คิดถึงญาติพี่น้อง คิดถึงเพื่อนฝูง คิดถึงผู้หลักผู้ใหญ่ คิดถึงหลายๆ อย่าง

แต่ก็ยังมีคนวิจารณ์ว่าคุณปวีณต่อสู้เพราะอยากขอลี้ภัย และย้ายรกรากไปเป็นพลเมืองประเทศอื่น

ถ้าคิดอย่างนั้นผมไม่มาลงทุนขนาดนี้หรอก มันลำบากนะ คิดหรือว่าผมมาแบบนี้แล้วจะสบาย ผมลำบากมาก ถ้าให้กลับไป บางทีผมไม่มาหรอก อาจจะอยู่เสี่ยงๆ ดีกว่า อยู่ที่นี่ผมทรมานมากสำหรับคนที่ภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ไม่กระดิกเลย ผมโง่มากด้วยซ้ำ… แต่ต้องมาอยู่คนเดียว อาหารการกินทุกอย่างทำเองหมด เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องดูแลตัวเอง ทำทุกอย่างเอง ไม่มีใครทั้งนั้น มันไม่สนุกเลยนะครับ ไม่สนุกเลย เงินก็ไม่มีด้วย

อันที่จริง ผมไม่ได้มีเงินมาก ผมมาจากครอบครัวจนๆ ที่ผ่านมา หลายคนอาจเห็นว่าผมได้อยู่แต่โรงพักดีๆ แต่เอาเข้าจริง ผมไม่ใช่คนแสวงหาขนาดนั้น ที่มีอยู่ก็พอประมาณสำหรับครอบครัว ไม่ได้หรูหราเหมือนคนอื่นทั่วไป

บางครั้งผมก็รู้สึกอยากได้แบบเขานะ แต่มันละอายใจที่ว่า การกระทำเหล่านั้นไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชน บางครั้งผมไปอ่านคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย มีการยกย่องชื่นชมผม ผมก็เคอะเขินเหมือนกัน ผมไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก เราแค่เป็นคนคิดจริงและทำจริง จนกระทั่งมันติดเป็นนิสัย

แปลกนะ ในระหว่างที่ผมทำงานตำรวจกลับไม่เคยมีใครชื่นชม ถูกด่าถูกว่า ถูกกระแหนะกระแหนตลอดเวลา บางคนถึงกับเรียกผมว่า ‘ซือกง คนตรงสองพันปี’ บางทีก็คิดนะ มันแซวกูหรือเปล่าวะ (พูดแกมขำ)

บางคนก็บอกว่า “ไอ้ปวีณนี่ถ้าให้มันเดินไปข้างหน้าแล้วมีขื่อประตูนะ แม่ง — เดินชนเลย… มันไม่ก้มหรอก” ขนาดนั้นเลยที่พวกเขาคิด แต่กลับไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ผมทำไปเพื่ออะไร 

ผมพูดเลยตรงนี้ว่ามีคนจำนวนน้อยมากที่คิดแบบผม ผมหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ได้น้อยมาก เวลาบอกให้ไปช่วยทำงานหน่อย เขาก็จะบอกว่า “พี่ ผมไม่ไป” ผมก็ถามต่อว่าทำไมถึงไม่ไป คำตอบที่ได้รับคือ “ไม่ล่ะ ผมไม่กล้า” คนเก่งมีทั้งแผ่นดิน แต่คนกล้าหาญแทบไม่เจอ เพราะฉะนั้น เมื่อการที่เด็กๆ รุ่นใหม่ๆ ต่างเสียสละ กล้าออกมาพูด แล้วมันกระแทกใจ ผมยังตกใจเลย

คุณปวีณดูจะชื่นชมและประทับใจการต่อสู้ของเยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่น้อยเลย

  ผมมีเรื่องที่อยากจะพูดอีกเยอะมาก เพราะประสบการณ์ของผมมันสอดคล้องกับที่คนรุ่นใหม่พูดมากเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นม็อบวันที่ 3 สิงหาคม 2563 (ม็อบเสกคาถาปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการเรียกร้องอย่างตรงไปตรงมาให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์) และม็อบวันที่ 10 สิงหาคม 2563 (ม็อบธรรมศาสตร์จะไม่ทน ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีการประกาศข้อเรียกร้อง 10 ประการ ให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์) คำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่แทนใจผมมาตลอดชีวิต และตรงนี้เองก็เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ผมอยากออกมาพูด

ถ้าเป็นข้าราชการ คงไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้หรอก ผมรับราชการตำรวจมาตั้งแต่อายุ 20 ปี เห็นอะไรมาเยอะแยะ เข้าไปในสถานที่ที่คนอื่นไม่เคยเข้า เห็นการจัดสรรงบประมาณในเรื่องต่างๆ เห็นความเหลื่อมล้ำหลายอย่าง เหมือนสำนวนฝรั่งที่พูดว่า ‘Elephant in the room’ ปัญหามันใหญ่มากเหมือนช้างที่อยู่ในห้อง แต่ทุกคนทำเป็นมองไม่เห็นช้าง เพราะถ้าเกิดใครไปเห็นใครไปพูด เดี๋ยวตัวเองจะเดือดร้อน เพราะฉะนั้นกูไม่เห็นดีกว่า 

แต่การที่เด็กๆ ออกมาพูด ผมถือว่าพวกเขากล้าหาญมาก แต่บางคนเขายอมรับไม่ได้ เพราะกูได้ประโยชน์จากคนกลุ่มนี้ กูเลยต้องมาต่อต้าน และบางคนก็หน้ามืดตามัวทั้งชีวิต ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย เด็กรุ่นใหม่เขาพูดถูกต้องแบบจริงแท้แน่นอน อนาคตอยู่ที่พวกเขา คนแก่ๆ รุ่นผมก็ค่อยๆ ตายไป 

มันอาจจะช้าหน่อย แต่เดี๋ยวเปลี่ยนแปลงแน่นอน มันทำให้ผมมั่นใจ ทำให้ผมเกิดความรู้สึก แม้จะช้าแต่ก็มีพลัง

ปฏิกิริยาแรกหลังได้ฟังคำปราศรัยเหล่านั้นเป็นอย่างไร

จะพูดอย่างไรดี ตอนผมฟังครั้งแรกผมรู้สึกดีใจ โอ้โห เหลือเชื่อเลยเว้ยเฮ้ย ก็ตกตะลึง ผมพยายามตามฟังตลอดเลยตั้งแต่ปี 2563 ไม่พลาดเลย (ยิ้ม) ผมชื่นชมนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ มาก อยากให้ทุกคนลุกมาต่อสู้แบบนั้น ถ้าเราพร้อมเพรียงกัน บ้านเมืองมันก็พลิกได้ แต่เนื่องจากคนมันเห็นแก่ตัว บางคนบอก “เฮ้ย ไม่เอา” บางคนก็ต่อว่าที่ผมออกมาพูดเยอะว่า “เฮ้ย พี่อย่าไปพูด อย่าไปเปิดเผยเลย เดี๋ยวก็เสียหายอีก” ผมก็รู้สึกว่า โอ้โห นอกจากจะไม่ให้กำลังใจกันแล้วยังมาต่อว่าอีก 

แต่ผมเจอแบบนี้มาทั้งชีวิตแล้ว ผมจะไม่ฟังหรอก เมื่อผมคิดได้และลงมือทำแล้ว คนเหล่านี้ยังมาถามผมต่ออีกว่าจะทำอะไรต่อ ผมไม่บอกพวกคุณหรอกว่าจะทำอะไรบ้าง ก็คอยดูกันไปก็แล้วกัน

แปลว่าหลังจากนี้มีแผนจะทำอะไรต่อไป ก็จะไม่บอกใครเด็ดขาด

ผมไม่บอกหรอกครับ จะทำอะไรก็ไม่บอก ทุกย่างก้าวไม่มีบอก แต่ที่เล่ามาเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่มีโกหก แล้วก็มีพยานหลักฐานสนับสนุนทุกถ้อยคำพูด

สงสัยจริงๆ ว่า คนอย่างคุณปวีณอยู่ในระบบราชการของตำรวจไทยมานานขนาดนี้ได้อย่างไร

โอ้… มันเละมากครับ ผมยืนยันได้เลย และผมไม่สามารถหักด้ามพร้าด้วยเข่าได้ เช่น เราจะไม่ทำแบบนี้นะ เราทำแบบนี้ไม่ได้นะ เพราะไม่อย่างนั้นลูกน้องเราจะไม่มีกิน ผมเลยบอกว่า ผมไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องอะไรนักหนา แต่แค่นี้ ผมก็มีศัตรูเยอะแยะ มีคนหมั่นไส้ริษยาเต็มไปหมด

แต่บางเรื่องบางราวที่ผมสามารถทำได้ ผมก็จะไม่ยอมเด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องบ่อนการพนัน ผมจะไม่ให้มีในพื้นที่เด็ดขาด ผมทะเลาะกับทุกคนเลยนะเรื่องนี้ เพราะไปขัดขวางเขาตลอด เป็นเรื่องมหาอมตะนิรันดร์กาลที่ทำให้ผมเจ็บตัวอยู่เรื่อย โดนกระทืบอยู่เรื่อย ผมอยากให้เปิดบ่อนอย่างถูกกฎหมาย เขาก็ไม่ยอมเปิด เขาก็ตั้งบ่อนขึ้นมาและเรียกเก็บเงินทีหลัง มันก็เป็นกันแบบนี้ละครับ

อีกประเด็นที่ผมจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด ก็คือเรื่องการวิ่งเต้นคดี ผมไม่ยอมเลย ไม่ใช่ว่าพอวิ่งเต้นผมไม่ได้แล้วมันจะจบนะ พวกเขายังมีวิธีการอีกเยอะแยะ เช่น ทำสำนวนคดีสั่งฟ้องอ่อนๆ ไปให้อัยการเปลี่ยนสำนวน ไปวิ่งผ่านอัยการ ไม่ผ่านทางผม แต่ถ้าหากเขาสั่งไม่ฟ้องมาทางผม ผมจะโต้กลับทันทีและมีมาตรการที่ดุเดือดมาก ลูกน้องนี่ไม่ค่อยชอบเท่าไร เขาจะพูดตลอดว่า “เฮ้ย ทำไมคนนี้เข้มจัง อะไรก็ไม่ได้” 

เรื่องการซื้อขายความยุติธรรม ผมไม่ยอมเด็ดขาด คนทำผิดต้องได้รับการลงโทษ คนไม่ผิดต้องไม่ถูกกลั่นแกล้ง ไม่ใช่เอาเงินทองมาซื้อขายกัน ผมไม่ได้ต้องการเงินในส่วนนี้

ที่ผ่านมาท้อแท้บ้างไหมที่ต้องอยู่ในระบบแบบนี้ 

โอ้… ไม่รู้จะพูดอย่างไรครับ มันได้ยินได้ฟังมาเยอะ และผมต้องทำงานหนักเพื่อแข่งกับพวกนี้ที่เสียสตางค์วิ่งเต้น สมัยก่อนเราไม่ได้เรียก ‘ตั๋วช้าง’ นะครับ เราเรียกว่า ‘อีตั๋ว’ คือมีพวกที่ไปหาผู้หลักผู้ใหญ่ แต่ทั้งหมดมันก็ไม่รุนแรงเท่าสมัยนี้ 

การที่ผมทำผลงานมาแข่งขัน มันทำให้ผมโดดเด่น แล้วพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ผมได้รับรางวัลต่างๆ มาตลอดเพราะปฏิบัติงานตรงตามเงื่อนไข

ถ้าให้คะแนนระบบราชการตำรวจไทย คุณจะให้คะแนนเท่าไร

เอาแบบนี้ดีกว่า สมมติว่าคุณมีบ้านอยู่ริมน้ำ และมีหัวสะพานแล้วกันนะ ปกติเวลามีหมาเน่าลอยมา มันมักจะติดตรงหัวสะพาน เราก็จะเอาไม้เขี่ยออกไป และเอามืดอุดจมูกไว้เพราะมันเหม็นมากใช่ไหม นั่นละ คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มันเป็นทำนองเดียวกับหมาเน่าลอยน้ำต้องเอาไม้เขี่ยออกไป มันเป็นแบบนี้จริงๆ

คิดว่าส่วนไหนที่แย่ที่สุดในระบบราชการตำรวจ

เละหมดเลยครับ ทุกอย่างเลย แย่มากๆ ผมบอกตรงนี้เลยว่าแย่หมด แล้วโกหกตอแหลทั้งหมดแหละครับ จริงๆ ทุกระบบราชการไทยก็แย่มาก เช่น เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายก็เละ กระบวนการยุติธรรมก็เละ ผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจเข้ามาแทรกแซงได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะระบบชนชั้น มียศถาบรรดาศักดิ์

บางคนมีคดีอะไรเข้ามา จะมาถามผมว่า พี่คิดอย่างไรเรื่องนี้ ผมก็จะตอบไปว่า ถ้าผมไม่ได้ทำเองผมไม่ตอบหรอก เพราะผมไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังคดีว่าพวกคุณรวบรวมหลักฐาน หรืออะไรต่างๆ อย่างไร ทำตามมาตรฐานวิชาการหรือเปล่า เพราะบางคนก็ทำแบบชุ่ยๆ หรือบางคนอาจทำโดยความตั้งใจที่จะบิดเบือนก็เยอะ เพราะฉะนั้น เวลาผมไปตรวจสำนวนการสอบสวน ก็จะรู้เลยว่าทำไมประเด็นการสอบสวนเหล่านี้มันอ่อนจัง

ทั้งหมดนี้ การตรวจพยานหลักฐานที่จุดเกิดเหตุครั้งแรกนั้นสำคัญที่สุด รวมไปถึงวิธีการทางนิติวิทยาศาสตร์ การรวบรวม การจดจำทุกอย่างต้องรอบคอบ การสอบพยานบุคคล พยานแวดล้อม และแน่นอน ถ้าเรามีเทคโนโลยีดีเท่าไร ก็จะช่วยให้การสอบสวนนั้นมีความยุติธรรมเพิ่มมากขึ้น             

คำถามสุดท้าย ในฐานะที่ทำคดีค้ามนุษย์ และในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มุมมองของคุณปวีณต่อสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ คืออะไร

คนที่เกิดมาเป็นคน มันไม่ง่ายนะกว่าเขาจะเติบโตมาได้ ทุกคนเขาหวงแหนชีวิตกันทั้งนั้น เห็นคนพิกลพิการเขาฆ่าตัวตายไหม เขาไม่ฆ่าตัวตายเพราะเขารักชีวิตเขา สัตว์มันก็รักชีวิตใช่ไหมครับ ชีวิตแต่ละชีวิตนี่มีคุณค่ามาก เราอย่ามองข้ามนะครับ เด็กที่แบเบาะนี่ เราไม่รู้หรอกครับว่าเด็กแต่ละคนเมื่อเติบโตมาในวันข้างหน้าจะเป็นอะไร บางคนก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับโลก แต่บางคนก็เป็นมหาโจรที่สร้างความฉิบหาย 

เพราะฉะนั้นชีวิตของแต่ละชีวิต บางทีคนคนหนึ่งอาจจะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ในโลกนี้ขึ้นมาก็ได้ เพราะฉะนั้นควรจะให้การเคารพทุกชีวิตนะครับ ควรจะดูแลรักษา ไม่ใช่ไปทำลายเขา ส่วนไอ้คนที่เป็นมหาโจร ก็ต้องใช้กระบวนการกลไกทางสังคมทางกฎหมายจัดการกันไป ว่ากันไป แต่เราไม่ควรที่จะไปเที่ยวทำร้ายใคร

การที่มนุษย์มีคุณค่า ต้องให้ความเคารพกัน การที่อยู่ๆ จับเขาไปขาย นี่คือการค้ามนุษย์ คือการค้าคน ถ้าเราสนใจศึกษาเรื่องธรรมะและศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่า อาชีพที่ต้องห้ามคือการค้ามนุษย์ คนที่มีจิตใจและเคารพซึ่งกันและกัน จะไม่ทำแบบนี้เด็ดขาด บางทีหมาแมวจรจัด เรายังสงสาร ยังให้อาหารมัน แล้วคนล่ะครับ เราจะเอาเขาไปขายได้อย่างไร คุณค่าของคนต้องเท่าเทียมกัน

แต่ก่อนผมอาจไม่ได้ตระหนักมากพอ พอผมมาอยู่ออสเตรเลีย ผมไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลอยู่สองปี มีโปสเตอร์เขียนไว้ทุกหนทุกแห่ง คือทุกคนต้องมีความเท่าเทียมกัน และเขาบอกว่า ยิ่งคนอ่อนแอเท่าไร เช่น พิการ หรือออทิสติก เรายิ่งต้องให้ความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น นี่คือคุณค่าของความเป็นคนของเมืองที่ศิวิไลซ์ แต่ประเทศไทยนี่ผมไม่รู้หรอกว่า เขาเห็นความเท่าเทียมกันของคนบ้างไหม

ที่ผ่านมาในชีวิตตำรวจของผม ผมก็อาจเจอการถูกรุมถูกกระทืบ แต่ผมไม่เคยลั่นกระสุนปืนใส่ใครแม้แต่ครั้งเดียว แต่ในการเป็นตำรวจ ผมใช้ปากกาประหารคนมาเยอะ นั่นคือสิ่งที่ผมทำ ทำตามกลไกที่ระเบียบสังคมให้ไว้

เราจะไม่ใช้อำนาจดิบ อำนาจเถื่อน หรือความโลภโมโทสันของตัวที่จะไปจัดการใคร ไม่ใช้เพื่อที่จะได้ขายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง เพื่อเอาเงินเข้าตัวเอง เราจะไม่ทำแบบนั้น เพราะนั่นคือทั้งผิดศีลธรรม ทั้งผิดกฎหมาย 

และที่สำคัญ แบบนี้คือไม่มีความเป็นมนุษย์

Fact Box

  • พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รับราชการตำรวจมาตลอดชีวิต พร้อมรางวัลเกียรติคุณมากมายจากการปฏิบัติหน้าที่ อาทิ พนักงานสอบสวนดีเด่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3 ปีซ้อน, รางวัลที่ 1 โรงพักต้นแบบ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องมาศึกษาเป็นกรณีพิเศษ ขณะดำรงตำแหน่งผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรกะทู้ จังหวัดภูเก็ต และผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต, รางวัลข้าราชการพลเรือนดีเด่น รับครุฑทองคำในช่วงรัฐบาลชวน หลีกภัย, รางวัลสาขาปราบปรามยาเสพติดดีเด่นปี 2554, รางวัลด้านการฝึกตำรวจดีเด่น มวลชนสัมพันธ์ดีเด่น และอีกมากมาย
  • ผลงานการสอบสวนมีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ที่ได้รับการพูดถึงอย่างมาก คือ คดีฆาตกร ศักดิ์ ปากรอ ฆ่ายกครัว 5 ศพ ที่อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เคยคลี่คลายคดีฆาตกรรมหญิงชาวสวีเดน และคดีมาเฟียรถแท็กซี่ที่จังหวัดภูเก็ต คดีทุจริตก่อสร้างโรงพัก 369 แห่งทั่วประเทศ และคดีค้ามนุษย์โรฮีนจาที่ยังไม่จบสิ้น แต่ส่งผลเปลี่ยนชีวิตของเขาจากนายตำรวจมีอนาคต สู่การเป็นผู้ลี้ภัยนับตั้งแต่ปี 2558
  • พลตำรวจตรีปวีณ จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 35  รุ่นเดียวกับ พลตำรวจเอก ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล นั่นทำให้เขาเป็นรุ่นพี่ พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 36 หนึ่งปี
Tags: , , , ,