‘ชาร์ลส์ โรเบิร์ต เจนคินส์’ การหนีอันยาวนานของทหารจีไอในช่วงสงครามเย็น

ชาร์ลส์ โรเบิร์ต เจนคินส์ (Charles Robert Jenkins) คือนายทหารหนีสงครามที่เคยโด่งดังมากคนหนึ่งในยุคสงครามเย็น เขาเคยเป็นนายทหารประจำการในเขตปลอดทหาร บริเวณพรมแดนของเกาหลี (Korean Demilitarized Zone) และไม่ประสงค์จะเข้าร่วมรบในสงครามเวียดนาม ในปี 1965 เขาจึงหลบหนีเข้าเกาหลีเหนือ และต้องใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนโสมแดงนานถึง 40 ปี ยามนี้เขาเสียชีวิตแล้วในประเทศญี่ปุ่น

ช่วงทศวรรษ 1960s เจนคินส์ได้รับคำสั่งจากต้นสังกัดให้เดินทางไปปฏิบัติงานในพื้นที่ซึ่งอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นั่นคือบริเวณพรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือ ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ และเกาหลีใต้ซึ่งอยู่ภายใต้การหนุนหลังของสหรัฐอเมริกา ระหว่างเทศกาลคริสต์มาสปี 1965 เจนคินส์ ขณะนั้นวัย 24 ปี ได้ละทิ้งภารกิจทหาร หลบหนีจากการถูกส่งตัวไปสมรภูมิรบในเวียดนาม โดยข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศเกาหลีเหนือ

“ตอนนั้นมันหนาวและมืดมาก ผมจึงเริ่มหยิบเบียร์ขึ้นมาดื่ม ผมดื่มเยอะมาก แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน” ชาร์ลส์ เจนคินส์เคยให้การเสียงสั่นต่อหน้าศาล หลังจากดื่มเบียร์หมดไปสิบกระป๋อง เขาปลีกตัวออกจากทีมลาดตระเวน บอกกับนายทหารร่วมทีมให้รอเขาด้วย จากนั้นเจนคินส์ก็เดินหายไปในความมืด ไปโผล่อีกครั้งในดินแดนของฝ่ายตรงข้าม

ความจริงแล้วเจนคินส์วางแผนไว้ว่าจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่รัสเซีย แต่ทางการของเกาหลีเหนือไม่ยอมปล่อยเขาไป ทหารหนุ่มอเมริกันถูกกักตัวไว้เป็นเครื่องต่อรองในระหว่างสงครามเย็น เจนคินส์เคยแม้กระทั่งร่วมแสดงในหนังโฆษณาชวนเชื่อ รับบทเป็นสายลับอเมริกันวายร้าย เขาให้การสารภาพว่าเขาถูกบังคับ

“ในเกาหลีเหนือคุณจะพูดปฏิเสธไม่ได้” หากพูดถึงเกาหลีเหนือหรือผู้นำเกาหลีเหนือในทางไม่ดี ก็อย่าหวังเลยว่าจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป นายทหารหนีสงครามแก้ต่างให้ตนเอง

ระหว่างปี 1965-1972 เจนคินส์ต้องพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่มีเพียงห้องเดียว ร่วมกับทหารอเมริกันหนีภารกิจอีกสามนาย ห้องที่ว่าเป็นห้องขนาดเล็ก ไม่มีเตียง พวกเขาต้องนอนบนพื้น ไม่มีน้ำกินน้ำใช้ภายในบ้าน ต้องลงไปตักที่แม่น้ำ เดินจากบ้านบนเนินเขาลงไปประมาณ 200 เมตร

ปี 1980 เจนคินส์ในวัย 41 แต่งงานอยู่กินกับ ฮิโตมิ โซกะ (Hitomi Soga) สาวญี่ปุ่นวัย 21 ปี ที่ถูกสายลับของเกาหลีเหนือในญี่ปุ่นจับตัวมาตั้งแต่ปี 1978 และถูกบังคับให้ช่วยฝึกสอนภาษา-วัฒนธรรมให้กับเด็กเกาหลีเหนือ เพื่อว่าโตขึ้นพวกเขาจะได้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยสืบราชการลับไปประจำการในญี่ปุ่น ทั้งสองมีลูกสาวด้วยกันสองคน

เขาต้องขอบคุณภรรยาที่ทำให้เขามีความสุขในดินแดนแปลกปลอมได้ เจนคินส์กล่าวต่อศาลด้วยน้ำตานองหน้า “ความเกลียดชังเกาหลีเหนือของเราสองคนต้องถูกเก็บกลั้นอยู่นานถึง 24 ปี”

ปี 2002 หลังการประชุมสุดยอดระหว่างนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จุนิชิโระ โคอิซุมิ และผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง อิล ได้มีการลงนามในข้อตกลงปล่อยตัวประกันชาวญี่ปุ่น-ที่ถูกทางการเกาหลีเหนือควบคุมตัว-กลับบ้าน ฮิโตมิ โซกะ ภรรยาของเจนคินส์เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับการปล่อยตัวจากรัฐบาลเกาหลีเหนือเป็นอิสระ

แต่เธอเดินทางกลับญี่ปุ่นตามลำพัง ปราศจากสามีและลูกๆ เหตุเพราะเจนคินส์หวั่นใจว่าจะถูกส่งตัวกลับสหรัฐอเมริกาแทนที่จะไปญี่ปุ่น กระทั่งเมื่อเขาล้มป่วย ต้องเข้ารับการผ่าตัดในกรุงเปียงยาง สถานการณ์ส่อเค้าจะซับซ้อนยิ่งขึ้น ทางการเกาหลีเหนือจึงติดต่อไปทางญี่ปุ่น เพื่อให้รับตัวเจนคินส์ และลูกสาวทั้งสอง-มิกะ (Mika) และบรินดา (Brinda) ไปเข้ารับการรักษาตัวที่กรุงโตเกียว

เมื่อทางการสหรัฐฯ รู้ข่าวว่าเจนคินส์เดินทางเข้าญี่ปุ่นแล้ว จึงส่งเรื่องขอตัวเจนคินส์กลับสหรัฐอเมริกาทันที แต่รัฐบาลญี่ปุ่นสงวนท่าที แม้ว่าจะเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้สนธิสัญญาทางการทหาร โดยอ้างถึงความผูกพันของอดีตนายทหารเจนคินส์กับครอบครัว ถึงกระนั้น สหรัฐอเมริกาก็ยังแข็งกร้าว เรียกร้องให้ทางการญี่ปุ่นส่งตัวทหารหนีหน้าที่ไปรับโทษ

จากการประเมินแต่แรก ความผิดของชาร์ลส์ เจนคินส์คดีหนีทหารและทรยศชาตินั้น มีโทษสูงถึงจำคุกตลอดชีวิต เขาเดินทางไปมอบตัวในชุดทหาร พร้อมลูกสาวทั้งสองคนที่ฐานทัพเรือ ‘แคมป์ซามะ’ ภายหลังให้การสารภาพ เจนคินส์ถูกตัดสินความผิดคดีหนีภารกิจทหาร ต้องโทษจำคุกเชิงสัญลักษณ์ 30 วัน

เขากล่าวถึงความคาดหวังของตนเองในครั้งนั้นว่า หลังจากพ้นความผิดแล้ว เขาปรารถนาจะไปใช้ชีวิตอย่างสงบ ปกติสุข กับภรรยาและลูกๆ บนเกาะซาโดะ ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น

ชาร์ลส์ เจนคินส์ เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2017 ในวัย 77 ปี