วันนี้ พรุ่งนี้ หรือเร็วๆ นี้ มีแพลนไปไหนไหม?
หากช่วงนี้หลายคนรู้สึกว่าต้องการใช้เวลายามค่ำคืนไปกับการเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญ พบปะสังสรรค์กับคนที่รู้ใจ หรือรับประทานอาหารร่วมกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตากับเพื่อนฝูงหรือครอบครัว เคล้าด้วยบรรยากาศชวนผ่อนคลาย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคืออาหารก็ต้องเลิศรสไม่แพ้กับย่านหรือบรรยากาศ JAM JAM Eatery & Bar ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในช่วงเวลานี้
JAM JAM Eatery & Bar ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของโรงแรม ASAI Bangkok Chinatown สามารถเดินทางได้สะดวกสบายทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือจะเป็นรถส่วนตัวทางร้านก็มีที่จอดรถพร้อมบริการ หากช่วงนี้ใครกำลัง work from home หาที่นั่งทำงานบรรยากาศดี หรือมองหาบาร์ ร้านอาหาร ที่แห่งนี้ก็พร้อมตอบทุกโจทย์ที่ถามหา เพราะทางร้านได้จัดโซนไว้ครบครันกับทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ให้ความเป็นส่วนตัวพร้อมกับเต้าเสียบปลั๊กไฟ หรือโซนร้านอาหารอินดอร์ เอาท์ดอร์ และบริเวณหน้าบาร์ที่จะได้นั่งดูบาริสตาและบาร์เทนเดอร์สร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มประเภทต่างๆ
โชคดีที่ The Momentum ได้เป็นส่วนหนึ่งในการลิ้มลอง ‘Coalescence’ เมนูมื้อค่ำ 10 คอร์ส ที่สร้างสรรค์โดยเชฟ โจ (Joe) และ เชฟ ซากิ (Saki) จาก SAMLOOR Restaurant & Bar ซึ่งรังสรรค์วัตถุดิบท้องถิ่นของไทยควบคู่กับวัตถุดิบชั้นนำจากต่างประเทศ ปรุงรสให้ออกมาเป็นสไตล์ญี่ปุ่นและฝรั่งเศส แต่ก็ยังคงความเป็นไทยอย่างมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
Goong Chae Nam Pra และ Kanom Bueang Kuung
เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกันด้วยเมนูที่คนไทยหลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีอย่าง ‘กุ้งแช่น้ำปลา’ จุดเด่นของกุ้งแช่น้ำปลาจานนี้คือการเสิร์ฟแบบพร้อมทานพอดีคำด้วยการหั่นกุ้งเป็นชิ้นๆ วางไว้อย่างประณีตบนข้าวเกรียบแผ่นหนารสชาติเข้มข้น จากนั้นราดด้วยน้ำซีฟู้ดรสจัดจ้านแต่ก็ไม่เผ็ดร้อนจนเกินไป ด้านบนของเนื้อกุ้งตกแต่งด้วยกระเทียมฝาน มะระหวานกรอบ และดอกไม้สีสวย
หลังจากผ่านอาหารรสจัดจานแรกที่เรามักกินเป็นกับแกล้มไปไม่นาน จานถัดมาก็พร้อมเสิร์ฟต่อเนื่องทันที
จานนี้คือ ‘ขนมเบื้อง’ ในรูปแบบกรวยขนาดเล็กปักอยู่กลางถ้วยที่เต็มไปด้วยข้าวสาร หากข้าวเกรียบที่เป็นฐานรองของกุ้งแช่น้ำปลาให้สัมผัสแน่นและกรอบ แป้งของขนมเบื้องจานนี้อาจอยู่ขั้วตรงข้ามกับจานแรก เพราะโดดเด่นด้วยแป้งบางกรอบ เคล้าความหวานเย็นของไส้ครีมที่อัดแน่นมาในกรวย สร้างความรู้สึกสดชื่น ล้างปากความจัดจ้านของอาหารจานแรกได้อย่างดีเยี่ยม
“Nk 25” & Hokkaido Uni
เมื่ออาหารจากวัฒนธรรมตะวันตกกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาบรรจบกันในหนึ่งคำ ก็ทำให้ได้รสสัมผัสที่หลากหลาย จานนี้มีชื่อว่า Nk 25 โดดเด่นด้วยวัตถุดิบคุณภาพดีอย่างเนื้อวัวไทยกับหอยเม่นจากญี่ปุ่น เชฟได้นำเนื้อวัวไทยย่างซอสทาร์ทาร์ จากนั้นราดซอสมิโซะคาราเมลเพิ่มลงไป ส่งให้อาหารจานนี้มีทั้งกลิ่นหอมของเนื้อย่าง กลิ่นซอสทาร์ทาร์ และซอสมิโซะ
รสชาติเค็มของเนื้อชั้นเยี่ยมกับหอยเม่นนุ่มลิ้นไร้กลิ่นคาว ทั้งหมดเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่ง JAM Eatery & Bar แนะนำว่าควรกินคู่กับ Trubstoff Propeller สปาร์คกลิงไวน์สัญชาติเยอรมนี เพื่อเพิ่มความสดชื่นและส่งรสชาติให้กันและกัน
ความเข้ากันอย่างลงตัวทั้งรสชาติอาหาร การผสมผสานของวัฒนธรรม และเครื่องดื่มที่คัดสรรมาอย่างดี ทำให้เกิดความรู้สึกว่าประสบการณ์ที่ได้จากอาหารจานนี้จบลงเร็วเกินไป
River Prawn & Chilli
จานนี้เรียกง่ายๆ ว่า ‘กุ้งแม่น้ำย่างซอสมะขาม’ อัดแน่นด้วยรสสัมผัสของมันกุ้ง รสชาติของมะขาม ความหวานของวัตถุดิบสดใหม่ ที่ได้ลิ้มรสไปพร้อมกับกลิ่นกุ้งย่างหอมๆ ของกุ้งตัวโตกำลังดี
นอกจากมะขามที่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของจานนี้ ยังมีซอสพริกสูตรพิเศษให้รสชาติหวานราดคู่มาอีกด้วย ทำให้เราสามารถเพลิดเพลินกับกุ้งย่างซอสมะขามได้จนหยดสุดท้าย
ส่วนเครื่องดื่มที่ JAM Eatery & Bar แนะนำว่าเหมาะที่ดื่มคู่กับเมนูดังกล่าวคือ Sylvain Martel Julienas Bessay, Beaujolais 2019 ไวน์แดงจากฝรั่งเศส ดื่มง่าย ลื่นคอ และไม่ให้สัมผัสที่ฝาดจนเกินไป
Khao Ob Kai Med Mamuang
อาหารจานหลักของคอร์สนี้คือ ‘ข้าวอบไก่เม็ดมะม่วงหิมพานต์’ ซึ่งเชฟโจได้บดเม็ดมะม่วงหิมพานต์โรยไว้บนข้าวมันหุงผสมกับข้าวเหนียวส่งกลิ่นหอมกรุ่น ส่วนไก่อบมีสองรสชาติด้วยกันทั้งไก่อบซอสพะแนง ให้รสเผ็ดร้อนกว่าทุกจานที่ผ่านมา และไก่อบราดซอสอาจาด ที่โดยปกติแล้วคนไทยมักคุ้นเคยกับอาจาดน้ำใสๆ มีแตงกว่าและผักชิ้นใหญ่ในน้ำจิ้มไว้กินคู่กับหมูสะเต๊ะ แต่ซอสอาจาดของที่นี่คือการบดผักและทำซอสราดมาบนไก่อบเพื่อความง่ายในการลิ้มรส
ซอสทั้งสองชนิดให้รสจัดจ้านกันคนละแบบ แต่ความเหมือนบางอย่างก็ยังคงมีให้เห็น เช่น กลิ่นหอมและเครื่องเทศเข้มข้น กินคู่กับข้าวร้อนๆ ปิดท้ายอาหารคาวไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Som Chun
ว่ากันว่า ‘ส้มฉุน’ เป็นเมนูขนมหวานที่ถูกกล่าวถึงในกาพย์เห่ชมเครื่องคาว-หวาน สมัยรัชกาลที่ 2 ที่วัตถุดิบหลักไม่ใช่ส้ม แต่เป็นลิ้นจี่ลอยแก้วเคล้ากับน้ำและผิวของผลส้ม ซึ่งที่ JAM JAM Eatery & Bar เชฟของ SAMLOOR Restaurant & Bar จะไม่ใช้ลิ้นจี่ตามปกติ แต่ดัดแปลงด้วยการนำ ‘มะยงชิด’ มาเป็นตัวชูโรง และไม่ใช่แค่เปลี่ยนผลไม้ แต่เปลี่ยนวิธีทำจากการลอยแก้วเป็นการใช้มะยงชิดทำเป็นไอศกรีมเกล็ดน้ำแข็ง
ส้มฉุนเวอร์ชันนี้เสิร์ฟมาในจานเย็นเฉียบ ครอบด้วยครีมเนื้อนุ่มอัดแน่นด้วยกลิ่นหอมของมะลิ มีท็อปปิ้งเป็นเนื้อมะกรูดฝานโรยด้วยหอมแดงเจียว ล้างปากความคาวของอาหารก่อนหน้านี้ และทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
สามารถติดตามคอร์สเมนูอาหารสุดพิเศษที่ทางร้านตั้งใจจัดขึ้นทุกเดือนที่ได้เฟซบุ๊กเพจ JAM JAM Eatery & Bar และได้ยินมาว่าในเดือนถัดไป ทางร้านจะนำวัฒนธรรมอาหารจากประเทศสเปน มานำเสนอในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่นไม่น้อยกว่าคอร์สที่จัดขึ้นในครั้งนี้อย่างแน่นอน
Tags: ASAI Bangkok Chinatown, Bar & Restaurant, Out and About, JAM JAM Eatery & Bar, อาหารฟิวชัน, ร้านอาหาร, เยาวราช, บาร์