ช่วงต้นปี 2021 ข้อมูลของกระทรวงกลาโหมยูเครนระบุว่า มีผู้หญิงประมาณ 5.7 หมื่นคนในกองทัพของยูเครน คิดเป็น 22.8% ของทั้งหมด ตัวเลขนี้สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างโปแลนด์ (7.5%) และรัสเซีย (4%) เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา (16%) และเยอรมนี (12%) มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่บังคับให้มีการเกณฑ์ทหารทั้งชายและหญิง ในเงื่อนไขที่เท่าเทียมกัน เช่น นอร์เวย์และสวีเดน ที่มีเพศหญิงในระดับเทียบเท่าหรือสูงกว่าเพศชายในกองทัพ โดยเฉพาะนอร์เวย์ ที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในกองกำลังติดอาวุธมาเป็นเวลาช้านาน
ในขณะที่ปัจจุบัน รัสเซียยังคงเดินหน้าโจมตียูเครน พันธกิจในการปกป้องประเทศนี้ทำให้มีผู้หญิงที่เลือกลุกจับอาวุธขึ้นสู้เพิ่มมากขึ้น ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในจำนวนนี้มีทั้งผู้หญิงวัย 79 ปี ที่เพิ่งเรียนรู้วิธียิงปืน อดีตนางงามตัวแทนของยูเครนในการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล 2015 ไปจนถึงอดีตนักร้องงานแต่งงานที่ชื่อ ‘คริสตินา’ ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในหน่วยรบบนภูเขา ซึ่งเธอเล่าให้สื่ออย่าง VICE World News ว่าต้องทำทุกอย่างเช่นเดียวกับทหารชาย
“พวกเขาปฏิบัติต่อฉันในฐานะทหารหญิง ฉันเป็นเหมือนเพื่อน เป็นเหมือนน้องสาว” เธอกล่าว
คริสตินาอาศัยอยู่กับครอบครัวในอิตาลีมานานกว่าทศวรรษ โดยทำงานที่ซูเปอร์มาร์เก็ตและรับจ้างร้องเพลงในงานแต่งงานเมื่อมีเวลาว่าง แต่เมื่อความตึงเครียดทางทหารเพิ่มขึ้นเมื่อ 1 ปีก่อนตามแนวชายแดนทางตะวันออกของยูเครน หญิงชาวยูเครนวัย 29 ปีรายนี้จึงเดินทางกลับประเทศเกิดของเธอเพื่อเป็นทหาร ทั้งตระหนักดีถึงอันตรายที่เธอกำลังต้องเผชิญ
“ที่นั่นมีความเสี่ยงต่อการต้องบอกลาชีวิตอยู่ตลอดเวลา พวกเราไม่กลัวตายหรอก แต่กลัวต้องตกเป็นทาส” คริสตินา ซึ่งไม่เปิดเผยนามสกุลและที่อยู่ของเธอ เนื่องจากกังวลด้านความปลอดภัย บอกกับ VICE World News “ฉันจะอยู่ปกป้องดินแดนของฉันจนถึงที่สุด”
การตัดสินใจของสตรีชาวยูเครนในการหยิบอาวุธขึ้นมาเพื่อปกป้องประเทศจากภัยคุกคามของรัสเซีย ทำให้เห็นสถิติทางการทหารสำหรับยูเครน ซึ่งมีส่วนแบ่งของกำลังพลเพศหญิงในกองทัพที่มากกว่ากองกำลังติดอาวุธที่อื่นๆ ในโลก
นับตั้งแต่ วลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีรัสเซีย เปิดฉากสั่งการโจมตียูเครน ผู้หญิงได้กลายมามีบทบาทสำคัญในหมู่พลเรือนยูเครนที่ต้องต่อสู้กับกองกำลังรัสเซีย โดยก่อนหน้านี้ก็มีข่าวที่กลุ่มผู้หญิงได้รวมตัวกันทำโมโลตอฟค็อกเทล (Molotov cocktail) ขวดแก้วใส่สารไวไฟ เช่น เบนซิน แอลกอฮอล์ และใช้ไส้ตะเกียง หรือผ้าฝ้าย เป็นสายชนวนสำหรับจุดไฟใส่ไว้ที่ปากขวด ซึ่งเป็นอาวุธบ้านๆ ในศึกสงครามสมัยก่อน ไปจนถึงการรวมตัวรื้อป้ายถนน เพื่อสร้างความสับสนให้กองทัพรัสเซียที่บุกเข้ามาในเมือง
บทบาทของผู้หญิงในการลุกขึ้นมาต่อต้านในยูเครน ยังย้อนไปถึงการประท้วงยูโรไมดาน (Euromaidan) ในปี 2013 ที่ประชาชนบางส่วนเรียกร้องให้ผู้นำประเทศเซ็นสัญญาความร่วมมือกับสหภาพยุโรปหรืออียู และส่งผลให้เกิดการขับไล่ประธานาธิบดีของยูเครนในขณะนั้นอย่าง วิกเตอร์ ยานูโควิช (Viktor Yanukovych) ที่ถูกกล่าวหาว่าได้รับเงิน ‘ค่าต่อรอง’ จากรัสเซีย เพื่อไม่ให้ยูเครนทำข้อตกลงเข้าร่วมกับอียู
ระหว่างการประท้วงดังกล่าว ซึ่งฝั่งรัสเซียคัดค้านอย่างหนัก ผู้หญิงยูเครนจำนวนมากได้อาสาช่วยเหลือในโรงพยาบาลชั่วคราวและเข้าร่วมหน่วยป้องกันตนเอง ทำให้ในปีนั้นจึงเริ่มมีจำนวนผู้หญิงที่เข้าร่วมกองทัพเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจนถึงปี 2020
“สตรีเหล่านี้ทำให้เห็นว่า สังคมยูเครนจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเสรีภาพและอำนาจอธิปไตยของตน” โอเลสกา โครเมชุก (Olesya Khromeychuk) ผู้อำนวยการสถาบัน Ukrainian Institute London องค์กรการกุศลและศูนย์กิจกรรมการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับยูเครนกล่าว
โครเมชุกวิเคราะห์ว่า เมื่อรัสเซียผนวกไครเมียและสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภูมิภาคดอนบัสทางตะวันออกของยูเครนในปี 2014 ผู้หญิงจำนวนมากจึงเลือกทำแบบเดียวกับบทบาทที่พวกเธอมีส่วนร่วมในการประท้วง เพียงแต่เปลี่ยนมาอยู่ในกองกำลังติดอาวุธ แต่ในแรกเริ่ม ผู้หญิงยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประจำการ แม้ว่าบางคนจะพยายามใช้วิธีหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมาย และตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็ยังมีรายงานเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติทางเพศ เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศในกองทัพ
อย่างไรก็ดี ในปี 2018 มีการผ่านกฎหมายความเท่าเทียมทางเพศของทหารในยูเครน ทำให้ผู้หญิงมีสิทธิเท่าเทียมกันกับผู้ชายในกองทัพ จึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างลึกซึ้ง
“ทหารหญิงที่เข้าร่วมสงครามได้ท้าทายการรับรู้แบบดั้งเดิมเกี่ยวกับบทบาททางเพศในยูเครน” โครเมชุก กล่าว “ทหารหญิงไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียง ‘ผู้หญิง’ อีกต่อไป แต่เป็นในฐานะ ‘มืออาชีพ’ ที่เลือกเข้าร่วมกองทัพ”
นอกจากนี้ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว (2021) หลังจากความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้น จากการที่รัสเซียส่งทหารมาประชิดชายแดนของยูเครน จึงทำให้มีการปรับปรุงกฎระเบียบของกระทรวงกลาโหมยูเครน โดยกำหนดให้ผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 18-60 ปี ถือว่าเหมาะสมสำหรับการรับราชการทหาร และสามารถลงทะเบียนกับกองกำลังติดอาวุธ เพื่อเรียกระดมพลได้หากเกิดสงคราม
โอเลกซานดรา อัสติโนวา (Oleksandra Ustinova) สมาชิกรัฐสภายูเครนกล่าวว่า “เมื่อพิจารณาจากกองทหารรัสเซียที่มีมากกว่า 1.22 แสนนาย บริเวณชายแดนของยูเครน การตัดสินใจปรับปรุงกฎระเบียบดังกล่าวจึงถูกเวลา และสมเหตุสมผล”
เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางการยูเครนประกาศรับสมัครพลเรือนกว่า 1.5 ล้านคน เข้าสู่กองกำลังป้องกันดินแดน ซึ่งเป็นสาขาสำรองทางทหารที่ประกอบด้วยกองหนุนพลเรือน หนึ่งในนั้นคือ เยฟเฮนเนีย ชีค (Yevheniia Chekh) สตรีชาวยูเครน ที่ตัดสินใจว่า เป็นภารกิจของเธอในการเข้าร่วมหน่วยดังกล่าว
หนึ่งปีที่แล้ว เยฟเฮนเนียเป็นช่างเสริมสวยที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคโพลตาวา (Poltava) ทางภาคกลางของยูเครน แต่ตอนนี้เธอเป็นสมาชิกหน่วยสำรองในพื้นที่ของเธอด้วย โดยผู้คนมักเรียกอาสาสมัครเช่นเดียวกับเธอว่า ‘นักรบสุดสัปดาห์’ ซึ่งหมายถึงผู้คนที่ประกอบอาชีพพลเรือน แต่มีส่วนร่วมในการฝึกซ้อมทางทหาร และสามารถถูกเรียกให้มาสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธในการต่อต้านสงครามได้
เยฟเฮนเนียใช้เวลาวันเสาร์ของเธอในการฝึกซ้อมทางทหาร แม้จะไม่เคยมีประวัติแม้กระทั่งการเล่นกีฬามาก่อน แต่หญิงวัย 46 บอกกับ VICE World News ว่า ไม่มีความกลัวหรือความลังเลใจ ในการออกรบแม้แต่น้อย “ตอนนี้ประเทศยูเครนและชาวยูเครนทั้งหมดกำลังทำสงครามกับกองทัพรัสเซีย ฉันรู้สึกหนักแน่นและมั่นใจ โดยปราศจากความกลัวหรือเห็นใจศัตรู” เธอกล่าว
ท้ายที่สุด โอเลสกา โครเมชุก ในฐานะผู้อำนวยการสถาบัน Ukrainian Institute London กล่าวสรุปว่า “ความจริงที่ว่าพลเรือนรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจับอาวุธ เป็นหลักฐานว่าประชาคมระหว่างประเทศล้มเหลวในการปกป้องยูเครนอย่างเพียงพอจากการโจมตีของรัสเซีย”
ที่มา
https://www.vice.com/…/ukrainian-women-soldiers-russia