เป็นหนังแอ็กชันทุนสร้างสูงที่พบเห็นได้บ่อยๆ แต่ในความระเบิดภูเขาเผากระท่อมนั้น เรื่องของมิตรภาพและความเป็นครอบครัว รวมไปถึงความผูกพันของนักแสดง ก็ส่งผลให้ Fast 8 ยังมีความกลมกล่อม
เมื่อได้เห็นตัวอย่างแรกของ The Fate of the Furious หนังแฟรนไชส์ในตระกูล Fast ที่เปลี่ยนชื่อใหม่ตลอดทุกภาค แต่คนส่วนใหญ่ (มากๆ) ก็ยังเรียกชื่อหนังกันสั้นๆ ว่า Fast 8 ถูกปล่อยออกมา เราก็นั่งนับวันรอให้หนังเรื่องนี้เข้าฉายอย่างใจจดใจจ่อ ยิ่งเมื่อรู้ว่า ‘ตงตง’ – ศรัณย์ ชินสุวพลา นักแสดงหุ่นหมีจากหนังเรื่อง โอเวอร์ไซส์…ทลายพุง ก็เป็นแฟนตัวยงของหนังเรื่องนี้ด้วย เราก็ไม่พลาดที่จะชวนเขามานั่งดูและพูดคุยถึงความสนุกของหนังแข่งรถภาคต่อที่มาไกลมากๆ ด้วยกัน
จุดเริ่มต้นของหนังตระกูล Fast (ซึ่งเราจะขอเรียกสั้นๆ ต่อไปว่า Fast 8) เป็นที่รู้กันว่าภาคแรกนั้นถูกวางเนื้อเรื่องให้เป็นหนังแนวตำรวจจับผู้ร้าย และกลายมาเป็นหนังแนวโจรกรรม (heist film) แบบเต็มตัวในภาค 5 ซึ่งถือว่าเป็นการผ่าทางตันให้กับหนังเรื่องนี้ได้อย่างสวยงาม และได้กลายเป็นความสนุกสำหรับคนดูที่จะได้ลุ้นกันว่าทีมแก๊งนักซิ่งกลุ่มนี้ที่นำโดย วิน ดีเซล จะวางแผนปล้นระดับโลกได้ซับซ้อนเฉือนเหลี่ยมหักมุมกันเบอร์ไหน
“ตัวหนังค่อยๆ เพิ่มความสนุกขึ้นในทุกๆ ภาค และทุกภารกิจของทีมนี้จะมาพร้อมกับคำว่า “เฮ้ย… แบบนี้ก็ได้เหรอ” ตลอด ยิ่งพอได้ดูภาคนี้ มีหลายฉากมาก พูดง่ายๆ เลยตั้งแต่ฉากแข่งรถตอนเปิดเรื่องที่คิวบา ที่เราดูแล้วหลุดอุทานว่า “เ…ี่ย!” ออกมาดังมาก นั่นแค่ตอนต้นเรื่องนะ ยิ่งพอเข้าสู่ช่วงกลางเรื่องไปจนถึงตอนไคลแมกซ์ช่วงท้ายนี่คือ ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว บอกได้แค่ว่าสนุกมาก”
สิ่งที่นักแสดงหนุ่มคนนี้บอกมาก็ยืนยันได้แบบนั้นจริงๆ ถึงแม้หลายคนอาจมองว่าจะอวยอะไรเกินจริงขนาดนั้น เพราะหนังเรื่องนี้พูดตรงๆ ก็เป็นหนังแอ็กชันทุนสร้างสูงที่พบเห็นได้บ่อยๆ ซึ่งเราก็ปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ในความระเบิดภูเขาเผากระท่อมนั้น เรื่องของมิตรภาพและความเป็นครอบครัว รวมไปถึงความผูกพันของนักแสดงก็ส่งผลให้ Fast 8 ที่ไม่มีสมาชิกคนสำคัญอย่าง พอล วอล์กเกอร์ แล้ว ยังมีความกลมกล่อม และยังรู้สึกว่าเขายังคงอยู่ในโลกของหนังแข่งรถเรื่องนี้
“ผมดูหนังเรื่องนี้มาทุกภาคดังนั้นจึงเห็นว่า ทีมงานยังคงยึดกับแก่นของความเป็นครอบครัวไว้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งในภาคนี้หลายๆ ฉากจะเป็นการคาราวะตัวละครเก่าๆ ที่หายไป ซึ่งมาแบบเป็น easter egg บ้าง หรือมาแบบตรงๆ เน้นๆ เลย โดยเฉพาะตอนจบที่เชื่อว่าคนดูจะต้องยิ้มไปกับพวกพระเอกแน่ๆ แต่เสียดายอย่างเดียวตรงที่ภาคนี้ไม่มีฉาก End Credit ซึ่งปกติจะมีทุกภาค นี่ก็อุตส่าห์นั่งรอดูจนเครดิตขึ้นจนหมด (หัวเราะ)”
ระหว่างที่เดินออกมาจากโรงหนังพร้อมกันเราก็คุยกันถึงฉากไล่ล่าในหนังที่พัฒนาขึ้นทุกภาค ซึ่งตอนแรกก่อนจะเข้าไปดูหนัง เราคิดว่าทีมงานคงไม่มีทางทำฉากขับรถได้สนุกระดับมาสเตอร์พีซเหมือนฉากปล้นตู้เซฟที่อยู่ในภาค 5 ได้อีกแล้ว แต่เมื่อถึงฉากขับรถชิงกระเป๋าเอกสารบนถนนกลางเมืองนิวยอร์กก็ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดีระดับหายใจรดต้นคอ ถือเป็นฉากที่เยี่ยมยอดสำหรับเราเลย สำหรับตงตงเขาบอกกับเราว่า ฉากขับรถไล่ล่าในภาคนี้มีความสดใหม่กว่าภาคก่อนๆ เยอะมาก
“ผมว่าเอาจริงๆ ภาคนี้เขากระจายบทให้ตัวละครได้ดีกว่าภาคก่อนๆ นะ โดยเฉพาะฉากขับรถที่แต่เดิมน้ำหนักจะเทไปอยู่กับแค่ตัวเองซึ่งก็คือ พอล วอล์กเกอร์ วิน ดีเซล หรือเดอะ ร็อก ส่วนคนอื่นก็แค่มาช่วยเสริมๆ ให้ภารกิจสนุกขึ้น แต่ภาคนี้เขากระจายความเด่นให้ทุกคนได้ดีขึ้น ทำให้เราเห็นความเป็นทีมเวิร์กมากขึ้น ประมาณว่าถ้าขาดคนไหนไป ภารกิจครั้งนี้ก็คงไม่สำเร็จ”
ข้อด้อยเพียงอย่างเดียวของหนังเรื่องนี้สำหรับเราน่าจะอยู่ที่บรรดาสาวๆ ในเรื่อง ที่ถึงแม้จะถูกชูบทบาทให้มีเสน่ห์มากขึ้น และมีความสำคัญต่อเรื่องขนาดไหน แต่สุดท้ายก็ยังสู้หน้าอกและกล้ามแขนของ วิน ดีเซล กับ เดอะ ร็อก ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นการแสดงของ Charlize Theron ที่มารับบทเป็นไซเฟอร์ ศัตรูตัวฉกาจในภาคนี้ ก็ยังพอที่จะพาตัวเองเอาตัวรอดไปได้แบบเส้นยาแดง และการแสดงระดับรัชดาลัยของ Helen Mirren ที่ทำให้คนดูรักได้ แต่ก็ยังไม่วายโดนตัวละครใหม่ที่มาเสริมทีมในภาคนี้กวาดคะแนนนิยมไปอย่างถล่มทลาย
“โอ้ย เจสัน สเตแธม นะเหรอ คนนี้สุดจริงๆ ซึ่งมันจะมีฉากที่ไม่สามารถบอกได้ แต่คนในโรงนี้ร้องกันลั่นเลยนะ ถึงแม้ผมจะเดาออกก็ตาม (หัวเราะ) แต่พอทุกคนมีอารมณ์ร่วมกันในโรงหนังเนี่ย ฉากที่เห็นกันชินตาแบบนี้กลับรู้สึกว่าสนุกมาก และเอาใจช่วยอย่างเต็มที่ นี่ถึงขนาดที่ว่าถ้ามีการหักมุมซ้อนมาอีกทีสงสัยได้มีการปาแก้วกันแน่ๆ (หัวเราะ)”
เราทั้งคู่นั่งคุยกันถึงหนังเรื่องนี้อย่างออกรสมาก จนกลับมาคิดว่าเพราะอะไรเราทั้งสองถึงติดหนังตระกูลนี้กันอย่างงอมแงม ซึ่งก็สรุปได้ว่าเพราะความที่หนังค่อนข้างจริงใจต่อคนดู รู้ว่าแฟนของหนังเรื่องนี้ต้องการอะไร โดยที่ไม่ดูถูกคนดูว่าแค่ใส่ฉากขับรถ ใส่ฉากโจรกรรมง่อยๆ มาก็พอยังไงก็มีคนตีตั๋วเข้าไปดู ทุกอย่างผ่านการคิดการออกแบบฉากมาแล้วอย่างดี เพื่อให้เราได้ดูหนังสนุกๆ กันในหน้าร้อนนี้
‘เพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน และเราจะไม่มีทางหักหลังกัน’ นี่คือสิ่งที่ โดมินิค โทเรตโต ได้พูดไว้เสมอ และเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ
เอาไปเลย 5 ดาว เพราะเราคือ ติ่ง เอ้ย! ครอบครัวของหนังเรื่องนี้ไงล่ะ
Tags: TheFateofTheFurious, Fast8, Movie, FastandFurious8