เพียงแค่นั่งรสบัสออกจากกรุงเตหะรานไปทางทิศใต้ประมาณ 6 ชั่วโมงกว่า เราก็มาถึงเอสฟาฮาน (Esfahan หรืออีกชื่อว่า Isfahan) หนึ่งในเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแคว้นเปอร์เซีย และเมืองที่ได้ชื่อว่าสวยงามน่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยความที่ในตัวเมืองมีสถาปัตยกรรม อาคารบ้านเรือน ต้นไม้ สวนสาธารณะ ทางเดินเท้าที่สวยงาม มีพื้นที่สาธารณะที่ใหญ่โต (ติดตรงที่การจราจรค่อนข้างติดขัด) จนทำให้ผมต้องเปลี่ยนแผนการจากเดิมที่คิดว่าจะเที่ยวเมืองนี้แบบรีบไปรีบกลับ กลายเป็นอยู่นานกว่าที่คิดไว้มาก เนื่องจากมีสถานที่ดึงดูดความสนใจและชวนให้ทิ้งเวลาไปกับมันเต็มไปหมด

ความยิ่งใหญ่ของเมืองนี้ยืนยันได้จากคำกล่าวของ เรอนิเยร์ (Renier) กวีฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 16 ผู้เคยมาเยือนว่า “Esfahan is half of the world”

แม้ปัจจุบันความยิ่งใหญ่จะลดลง แต่เรายังพอเห็นร่องรอยของมันได้จากสิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมในเมืองที่ใหญ่โตสวยงาม และเป็นการรวบรวมศิลปะแบบมุสลิมเอาไว้ได้อย่างรุ่มรวยและหลากหลาย ซึ่งสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นในยุคซาฟาวิด (Safavid) เมื่อ 400 กว่าปีที่ผ่านมา

ในบรรดาเมืองใหญ่ๆ ในอิหร่านที่ผมได้ไปเยือน ผมชื่นชอบเอสฟาฮานที่สุด และนี่คือเหตุผลดีๆ 4 ข้อ ที่คุณไม่ควรพลาดการมาเยือนเมืองนี้

1. Imam Square จัตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางเมือง

ด้วยความกว้าง 512 เมตร และยาว 163 เมตร ทำให้ Imam Square เป็นจัตุรัสสาธารณะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (เป็นรองแค่เทียนอันเหมินของจีน) และได้รับการแต่งตั้งจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก ปัจจุบันสถานที่อายุ 400 กว่าปีแห่งนี้ได้ถูกปรับแต่งให้กลายเป็น public space ขนาดใหญ่ที่ประดับประดาด้วยสวนดอกไม้กับน้ำพุ ทำให้มีทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจมากมาย ทั้งนั่งเล่น เดินเล่น ปิกนิก ถ่ายรูป ปั่นจักรยาน นั่งรถม้า บางคนเราเห็นเขานั่งเล่นอยู่บริเวณนี้ทุกวันไม่ว่าจะมาวันเวลาไหน เห็นแล้วนับถือในความชิลล์ของเขามาก

ในบริเวณจัตุรัสมีร้านค้าและตลาดขนาดใหญ่ (bazaar) ตั้งอยู่ ซึ่งของที่ขายนั้นเห็นแล้วต้องบอกว่า “กระเป๋าสตางค์ในมือถึงกับสั่นนน…” เพราะเป็นงานฝีมือสไตล์เปอร์เซียที่สวยงามมาก ไม่ว่าจะเป็นพรม เครื่องเงิน นาฬิกา ภาพวาด งานไม้ ที่ใส่ของ จาน สร้อย แหวน กำไล ฯลฯ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมควักกระเป๋าเงินซื้ออย่างไม่ลังเลคือชุดจอกเหล้าแบบเปอร์เซีย (ในใจคิดว่านำมาใช้กินเบียร์ที่บ้านคงเก๋พิลึก)

ในจัตุรัสแห่งนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่และสวยงามมากๆ ให้เราเข้าไปเที่ยวชม ได้แก่ มัสยิด Imam Mosque และ Sheikh Lotfollah Mosque ส่วน Ali Qapu Palace ที่อยู่บริเวณเดียวกันนั้นอยู่ระหว่างการซ่อมแซม มัสยิดทั้ง 2 แห่งมีจุดเด่นอยู่ที่รูปทรงสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม การตกแต่งด้วยกระเบื้องสีต่างๆ – โดยเน้นไปที่สีน้ำเงินอันสวยงาม ลายกระเบื้องที่เป็นตัวอักษรเปอร์เซีย และความใหญ่โตอลังการที่เห็นแล้วไม่มีวันลืม

จนไม่น่าแปลกใจที่มัสยิดทั้งคู่นี้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมัสยิดที่สวยที่สุดในอิหร่าน

2. Jameh Mosque มัสยิดเก่าแก่ที่ยังคงคึกคัก

Jameh Mosque เป็นหนึ่งในมัสยิดที่ใหญ่ที่สุด (พื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร) และเก่าแก่ที่สุด (อายุ 1,300 ปี) ของอิหร่าน ความโดดเด่นอยู่ที่ความสูงของตัวอาคาร และสถาปัตยกรรมแบบมุสลิมอันสวยงามเช่นเดียวกับมัสยิดใน Imam Square ทำให้มันถูกขึ้นชื่อให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO อีกแห่ง โดยด้านในมัสยิดยังมีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าไปดูทั้งการตกแต่งด้านในและสิ่งของเก่าแก่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันอีกด้วย

มัสยิดแห่งนี้แตกต่างจากมัสยิดที่จัตุรัส เพราะไม่ได้เป็นโบราณสถานที่หยุดนิ่งให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นมัสยิดที่ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ โดยเปิดให้ประชาชนผู้ศรัทธาเข้ามาทำพิธีทางศาสนาได้ (มัสยิดจึงปิดทำการสำหรับนักท่องเที่ยวในช่วงละหมาดเวลา 11.00-13.00 น.) ด้วยความที่มันอยู่ใจกลางตลาดทำให้มีประชาชนเข้ามาทำพิธีจำนวนมาก

นอกจากนั้นตลอดอายุของมันยังถูกต่อเติมเสริมแต่งเรื่อยๆ จนเราสามารถเห็นประวัติศาสตร์ของสถาปัตยกรรมอิสลาม 1,300 ปี อย่างครอบคลุมได้จากสถานที่นี้แห่งเดียว

3. สะพานข้ามแม่น้ำสุดคลาสสิก

แม้ในปัจจุบัน แม่น้ำสายหลักของเอสฟาฮานอย่าง Zayandeh River จะแห้งผาก เนื่องจากรัฐเปลี่ยนเส้นทางเดินน้ำไปที่รัฐอื่น แต่บริเวณริมน้ำยังมีความน่าสนใจอยู่ เนื่องจากสวนสาธารณะสุดร่มรื่น (อิหร่านขึ้นชื่อในเรื่องสวน) และสะพานอายุ 400 กว่าปีอย่าง Si-o-Seh Bridge (ความยาว 300 เมตร สร้างในสมัยพระเจ้าชาห์อับบาสที่ 1) กับ Khaju Bridge (ความยาว 110 เมตร สร้างในสมัยพระเจ้าชาห์อับบาสที่ 2)

ตัวสะพานโดดเด่นด้วยอิฐที่เรียงต่อกันด้วยสถาปัตยกรรมแปลกตา ถ้ามาเดินในตอนกลางคืนจะยิ่งสวยมากขึ้นด้วยแสงไฟสีทองนวลที่ส่องทั้งสะพาน นอกจากนั้นเรายังเห็นชีวิตประจำวันของคนท้องถิ่นที่พากันออกมาเดินเล่นพูดคุยอยู่ที่สะพานนี้และสวนสาธารณะรอบข้าง

4. นิสัยที่น่ารักของคนอิหร่าน

จากการได้พูดคุยกับคนอิหร่านหลายคน ต้องขอบอกว่าอิหร่านคือประเทศที่ผู้คนเป็นมิตร จิตใจดี และช่วยเหลือนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับต้นๆ (ซึ่งจากการอ่านความเห็นของคนที่เคยมาเที่ยวอิหร่านหลายคน ล้วนเป็นไปในทิศทางนี้)

ด้วยเหตุนี้อย่าแปลกใจถ้าเดินๆ อยู่จะมีคนอิหร่านแปลกหน้าเข้ามาจับมือแล้วบอกว่า “Welcome to Iran”

มีหลายคนที่เข้ามาชวนพูดคุย ช่วยเหลือบอกทาง พาไปส่งที่นั่นที่นี่ ชวนไปกินชาที่บ้าน รวมถึงเข้ามาขอไอดีอินสตาแกรมเพื่อกดติดตาม ซึ่งพวกเขามักจะมาพร้อมกับคำถามยอดฮิตที่ว่า “คุณคิดว่าอิหร่านเป็นอย่างไร?” ซึ่งเราก็ตอบกลับไปอย่างจริงใจว่า “Iran is very nice.”

ซึ่งนั่นทำให้สิ่งที่ชวนให้ประทับใจในการมาอิหร่านนั้นไม่ใช่แค่สถานที่เที่ยว แต่คือน้ำใจของคนอิหร่านนี่เอง

How to Go There:

  • การเดินทางไปอิหร่านจำเป็นต้องใช้วีซ่า ซึ่งสามารถติดต่อขอได้ที่สถานทูตอิหร่าน (ต้องติดต่อขอโค้ดจากเอเจนซีทัวร์) หรือไม่ก็มีวิธีที่ง่ายและรวดเร็วกว่า (แต่มีความลุ้นมากกว่า) อย่าง Visa on Arrival ซึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องเตรียมไว้คือตั๋วเที่ยวกลับและข้อมูลโรงแรมที่เราพักคืนแรก
  • มีเครื่องบินบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปเตหะรานหลายสายการบิน หรือสามารถบินมาต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ ใช้เวลาเดินทาง 8 ชั่วโมง
  • เนื่องจากเอสฟาฮานเป็นเมืองใหญ่ ทำให้การเดินทางจากเตหะรานมาเมืองนี้ถือว่าสะดวกมาก เพราะมีทั้งรถบัส (ที่ออกทุกชั่วโมง) รถไฟ รวมถึงเที่ยวบินในประเทศ
  • อิหร่านบล็อกโซเชียลเน็ตเวิร์กหลักๆ อย่าง Facebook, Twitter, YouTube ทุกชนิด (ยกเว้น Instagram, Line) รวมถึงเว็บต่างประเทศหลายเว็บ ใครที่ต้องการเล่นเว็บเหล่านี้ควรโหลดแอปพลิเคชันสำหรับเปิด vpn เอาไว้แต่เนิ่น

map:

ภาพ: บดินทร์ เทพรัตน์, ภาณุวัฒน์ สุวรรณ