ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดกระแสถกเถียงกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากันระหว่าง ‘อุ๊ หฤทัย’ และ ‘ไผ่ ดาวดิน’ ในรายการ ‘พูดตรงๆ’ ของพิธีกรสาว จอมขวัญ หลาวเพ็ชร ช่องไทยรัฐทีวี ซึ่งกองเชียร์ของผู้เข้าร่วมรายการแต่ละฝ่ายมองผลการดีเบตครั้งนี้ แตกต่างกันออกไปราวกับอยู่คนละโลกคู่ขนาน
คำถามที่สร้างความสงสัยให้ใครหลายคนคือ เรายังเรียกการเถียงด้วยคารมและข้อกล่าวหาหลักลอย จนลุกลามไปถึงการโจมตีตัวบุคคล (Ad Hominem) ในลักษณะนี้ว่า ‘ดีเบต’ (Debate) ได้หรือไม่ และนิยามที่แท้จริงของ ‘ดีเบต’ หรือ ‘การโต้วาที’ เปลี่ยนไปตามยุคสมัยมากแค่ไหน
หากย้อนอดีตกลับไปจะพบว่า การดีเบตมีมาตั้งแต่สมัยกรีก–โรมัน ตะวันออกกลางโบราณ และอินเดียโบราณ ซึ่งหัวข้อที่มักยกมาถกเถียงกันก็หนีไม่พ้นปรัชญา ความเชื่อ ศาสนา หรือการเมือง อันเป็นเรื่องใกล้ตัวพัวพันกับมนุษย์ไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม
สมัยสาธารณรัฐโรมันก็มีการโต้วาทีกันในวุฒิสภา ดาวเด่นของยุคนั้นคือ ซิเซโร (Cicero) นักการเมืองฝีปากกล้าจากศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล ผู้มีคารมคมคายและวิจารณ์ความล้มเหลวของรัฐบาลได้อย่างเฉียบแหลม ซึ่งการใช้หลักวาทศิลป์ (Rhetoric) เพื่อโน้มน้าว ถือเป็นทักษะจำเป็นในการโต้วาทีและเป็นสิ่งที่ผู้มีการศึกษาชาวกรีก โรมัน และผู้คนในยุคต่อๆ มาต้องเรียนรู้
การดีเบตในยุคต่อๆ มาเริ่มมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนามากขึ้น เช่น การดีเบตหลายครั้งในต้นศตวรรษที่ 5 ระหว่างบิชอปชาวโรมัน ออกุสตินแห่งฮิปโป (Augustine of Hippo) กับนักคิดสาย ‘มาณีกี’ (Manichaeism – ศาสนาจากเปอร์เซียที่ผสมผสานความเชื่อของโซโรอัสเตอร์ พุทธ และคริสต์เข้าด้วยกัน) และเพลาจิอุส (Pelagius) บาทหลวงผู้ยึดถือหลักความเชื่ออันถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนอกรีตในสมัยนั้น ออกุสตินสามารถเอาชนะคู่กรณีทั้งสองได้ นั่นเป็นเหตุผลที่งานเขียนหลายชิ้นและหลักคิดของออกุสตินยังถูกตีพิมพ์จนถึงทุกวันนี้ในแวดวงคริสตศาสนา
ข้ามมาถึงช่วงศตวรรษที่ 18 หรือช่วง ‘เรืองปัญญา’ (Age of Enlightenment) เราจะเริ่มเห็น ‘การดีเบต’ อย่างเป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น และอาจเรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของขนบการดีเบตในปัจจุบัน เนื่องจากมีกฎกติกามารยาทที่ทั้งสองฝ่ายต้องรักษาไว้ เพื่อให้การโต้วาทีนั้นบรรลุผลสำเร็จ จนอาจชักจูงผู้ฟังให้คล้อยตามได้เพราะความสุภาพถือเป็นคุณสมบัติที่ผู้ดีในยุคนั้นต้องมี แม้จะอยู่ในการถกเถียงอันดุเดือดก็ตาม
กรุงลอนดอนในศตวรรษที่ 18 เป็นแหล่งรวมตัวของปัญญาชนมากหน้าหลายตา การถกเถียงประเด็นต่างๆ ในที่สาธารณะเริ่มเป็นที่นิยมพร้อมๆ กับวัฒนธรรม ‘ร้านกาแฟ’ (Coffee House) ซึ่งแขกอาจได้ฟังนักคิดคนสำคัญไปถกประเด็นต่างๆ ในร้านกาแฟ เมื่อการถกเถียงในลักษณะนี้เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้น จึงเกิดการขยายตัวของ ‘สมาคมดีเบต’ (Debating Societies) ไปทั่วทุกหนแห่ง หัวข้อของการดีเบตมีตั้งแต่การเมือง ปรัชญา วิทยาศาสตร์ และศาสนา
ในฝรั่งเศสก็มีบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนความคิดที่เทียบกันได้คือ ‘ซาลง’ (Salon) หรือคลับสำหรับเหล่าชนชั้นกลางนัดพบปะพูดคุยและดื่มอะไรเบาๆ ไปด้วย การพบปะกันของกลุ่มปัญญาชนเหล่านี้จะนำไปสู่การแพร่หลายของแนวคิดปฏิวัติในภายหลัง
ช่วงนี้เองปรากฏหลักฐานของกฎกติกาการโต้วาทีในหลายสมาคม โดยรวมแล้วจะมีหลักการในทำนองเดียวกัน คือ
1 มีประเด็นที่ถูกเลือกโดยกรรมการ
2 มีการแบ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายโต้แย้ง
3 ผู้พูดแต่ละฝ่ายจะได้รับเวลาสำหรับหาข้อสนับสนุนหรือโต้แย้งในประเด็นดังกล่าว และไม่อาจโจมตีผู้พูดอีกฝ่าย หรือเบี่ยงเบนประเด็นได้
4 ผู้ที่สามารถหาเหตุผลหรือหลักฐานมาสนับสนุนคำพูดได้ดีที่สุดจะกลายเป็นผู้ชนะ
หนึ่งในสมาคมโต้วาทีฝั่งอังกฤษที่มีชื่อเสียงของยุคคือ ‘สมาคมโรบินฮูด’ (Robin Hood Society) ซึ่งมีการบันทึกกฎการโต้วาทีของตนไว้ชัดเจน คือทุกวันจันทร์จะมีการเลือกประเด็นหนึ่งหัวข้อมาถกเถียง ผู้เข้าร่วมการดีเบตจะถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย แต่ละคนจากสองฝ่ายจะมีเวลาปราศัย 7 นาที มีคนทำหน้าที่กรรมการคอยรับฟังและสรุปใจความสำคัญของแต่ละฝ่ายในแต่ละรอบ
สมาคมเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า อังกฤษในยุคนั้นถือเป็นประเทศที่เปิดกว้างทางความคิดพอสมควร บรรยากาศทางการเมืองยุคนั้นดุเดือดถึงขั้นที่หัวข้อการโต้วาทีในเดือนมกราคม ปี 1776 คือ ‘เปรียบเทียบข้อดีของรัฐบาลแบบราชาธิปไตยและสาธารณรัฐ’ และมีการโต้ในหัวข้อนี้ถึงสามครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่อาณานิคมอเมริกากำลังจะประกาศอิสรภาพ ผลของการดีเบตครั้งนี้คือฝ่ายนิยมสถาบันกษัตริย์ได้รับชัยชนะไป
ในเดือนเดียวกัน สมาคมดีเบตอีกแห่งหนึ่งนามว่า ‘สมาคมดีเบตเสรีควีนส์อาร์มส์’ (Society for Free Debate, Queen’s Arms) ยังปรากฏบันทึกว่า มีการจัดโต้วาทีในหัวข้อคล้ายคลึงกันราวกับบังเอิญ ‘รัฐบาลไหนจะรักษาเสรีภาพของประชาชนได้มากกว่ากันระหว่างแบบอังกฤษ (ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) หรือแบบสาธารณรัฐ’ ซึ่งสะท้อนบรรยากาศของการเมืองร่วมสมัยได้ดีว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ในยุคที่ระบอบประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบาน การดีเบตก็ยิ่งงอกเงยตามไปด้วย ในศตวรรษที่ 19 การศึกษาในโลกตะวันตกเริ่มมีการจัดโต้วาทีให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสำคัญ ความสำคัญของการดีเบตยิ่งแพร่หลายไปทั่ว แม้แต่แวดวงการเมืองก็ยังต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดรับกับสาธารณชน
จากเดิมที่นักการเมืองต้องไปถกเถียงกันในสภาเพื่อหาข้อตกลง โดยไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณชนว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้นบ้าง การดีเบตในที่สาธารณะจึงเป็นเครื่องมือเพื่อดึงประชาชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการประชาธิปไตยเช่นกัน ในด้านหนึ่งเป็นการดึงมวลชนให้สนับสนุนนโยบายต่างๆ แต่ใจความสำคัญอีกข้อหนึ่งของการดีเบตทางการเมืองในที่สาธารณะ คือการแสดงวิสัยทัศน์ ความพร้อม ความเป็นผู้นำ และความจริงใจของนักการเมือง ต่อให้วาทศิลป์ดีแค่ไหน หากไร้ข้อมูลหรือหลักฐานมาประกอบข้อถกเถียงของตัวเอง ก็ไม่มีความน่าเชื่อถือ
ผู้ที่มีข้อมูลเพียบพร้อมกว่าและนำเสนอแนวคิดของตนได้ดี ย่อมซื้อใจประชาชนได้ดีกว่าผู้ที่เน้นแต่การใช้วาทกรรมและชุดความคิดเดิมๆ ที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุน ว่ามันยังเหมาะสมกับบริบทปัจจุบันหรือไม่
และการดีเบตแต่ละครั้งมักมีการหยิบประเด็นสังคมที่เกิดขึ้น การหยิบชุดความคิดที่มีอยู่มาถกเถียงยังทำให้เกิดการต่อยอดทางความคิดขึ้นไปอีก ทำให้สังคมได้ทบทวนตนเอง ขบคิดถึงปัญหา และหาทางออกที่เหมาะสม
สิ่งที่น่าสนใจคือกฎและกติกาการดีเบตจากศตวรรษที่ 18 ได้กลายเป็นมาตรฐานสากล ภาพรวมของดีเบตที่ดียังต้องมีการรักษากติกา ไม่แทรกแซงอีกฝ่าย ไม่หลุดประเด็นหรือโจมตีเรื่องส่วนบุคคล
แต่บางครั้งผู้ควบคุมหรือกรรมการก็ไม่อาจหยุดความโกลาหลได้ จนการ ‘โต้วาที’ อาจเปลี่ยนทิศทางไปเป็นการ ‘โจมตี’ กันด้วยวาทกรรมเร่าร้อนแทนที่จะหาเหตุผลและข้อมูลมาถกเถียงกัน และกลายเป็นการ ‘โต้คารม‘ กันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดคงเป็นการดีเบตครั้งแรกระหว่างสองผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน กับโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2020 ที่ผ่านมา แม้จะมีการเริ่มต้นวิพากษ์กันในประเด็นต่างๆ แต่สุดท้ายกรรมการก็เริ่มคุมเกมไม่อยู่ เมื่อทรัมป์พยายามพูดแทรกหลายครั้ง จนโจ ไบเดน ฉุนขาดถึงขั้นตอบกลับไปว่า ‘‘Will you shut up, man?’’ (นายช่วยหุบปากได้รึยัง?) จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างสาดคำวิจารณ์โจมตีไปที่ตัวบุคคลกันไม่ยั้ง
แน่นอนว่าการดีเบตถึงอนาคตของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ต่างถูกวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์ว่า เหมือน ‘เด็กทะเลาะกัน’ มากกว่า และแทบไม่มีการขับเคลื่อนประเด็นที่ควรจะพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับโรคโควิด-19 ปัญหากระบวนการยุติธรรมกับคนผิวดำ และปัญหาเศรษฐกิจ
กลับมาที่ไทย ในสังคมที่ยังไม่ให้ความสำคัญกับการถกเถียงในประเด็นต่างๆ อย่างเปิดเผย การ ‘ดีเบต’ หลายครั้งที่ถ่ายทอดสดออกอากาศในช่วงที่ผ่านมา ท่ามกลางวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองอันร้อนระอุ จึงลงเอยด้วยการพูดแทรกแซง วาทกรรมอมตะจากสิบกว่าปีก่อน การเบี่ยงประเด็น และโจมตีตัวบุคคล
พานให้สงสัยว่า ทำไมเรายังต้องมาเถียงในเรื่องเดิมๆ กับชุดความคิดเดิมๆ ในขณะที่หลายประเทศได้จบวิวาทะเช่นนั้นไปเป็นศตวรรษแล้ว
ที่มา :
https://sites.google.com/a/westlakeacademy.org/wa-debate-club/home/debating-overview/history-of-debating
https://www.british-history.ac.uk/london-record-soc/vol30/pp1-14
https://www.british-history.ac.uk/london-record-soc/vol30/vii-xiii
https://www.cambridge.org/core/journals/historical-journal/article/london-debating-societies-in-the-1790s/352D109F939A107A7A354D3F3DB44678
https://www.anselm.edu/news/presidential-primary-debate/about-debate/history-debates
https://www.nytimes.com/2020/09/29/us/politics/trump-biden-debate.html
Tags: debate, ดีเบต