*มีการเปิดเผยเนื้อหาและตอนจบของซีรี่ส์
แน่นอนแล้วว่านี่เป็นเรื่องการเมืองเน้นๆ เหมือนตั้งใจไว้แล้วว่า “กูจะเล่าเรื่องการเมือง” แถมพอ Kingdom 2 ออกฉายในช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาด ใครดูก็คงจะอดเชื่อมโยงไม่ได้ กับภาวะที่สั่นคลอนประเทศชาติแบบ ‘เราจะตายกันหมด’ ใครต่อใครเผยความหน้าด้านออกมาไม่ต่างจากขุนนางชั่วโจฮักจู อย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกันคงจะเป็น เราไม่ได้มีผู้ใช้อำนาจในอุดมคติแบบรัชทายาทชาง
เขาประกาศอุดมการณ์ตั้งแต่เอพิโซดแรก และยึดมั่นในคำประกาศของตนไปจนสุดทาง —“ข้าจะสังหารโจฮักจูเสีย โทษฐานที่เพิกเฉยต่อความยากจนและอดอยาก ละโมบในสิ่งที่ไม่ควรครอบครอง ข้าจะลงโทษโจฮักจูแล้วจะกลับไปยังที่ของข้า เพื่อช่วยเหลือราษฎรให้รอดพ้นจากความอดอยากและโรคระบาด ข้าต้องรอดชีวิตให้ได้ และสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา”
ชีวิตนี้เราจะมีโอกาสได้พบท่านผู้นำแบบนี้จริงๆ หรือ คนที่ยินดีแบกรับภาระในฐานะผู้มีอำนาจและยินดีจะไม่รับผลประโยชน์ในฐานะผู้มีอำนาจ แถมยังเห็นประชาชนเป็นสวรรค์ หากอยากมีคงได้แต่นั่งจินตนาการกันไป
นอกจากภาพของพระเอกที่อุดมคติสุดๆ แล้ว คงพูดได้ว่า Kingdom เป็นเรื่องของพยาธิสภาพของการใช้อำนาจโดยรัฐ ย้อนกลับไปยังซอมบี้ตนแรกที่เราได้เห็นในซีซั่นแรก นั่นคือองค์ฝ่าบาท ที่ถูกขุนนางกลุ่มแฮวอนโจใช้วิธีประหลาดยื้อร่างกายของพระองค์เพื่อรักษาอำนาจของกลุ่มตนเองไว้ อำนาจยังจำเป็นต้องอยู่กับร่างกายเน่าเปื่อยนั้น เพราะไม่อาจส่งต่อมันให้องค์ชายรัชทายาทหรือขั้วอำนาจใหม่ที่กลุ่มอำนาจเดิมไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่ฝ่ายราชินีก็เร่งสร้างผู้มีอำนาจคนใหม่ที่จะมารับช่วงต่อ
หาก Kingdom ซีซั่นแรกเล่าถึงโรคระบาดที่เริ่มต้นจากศูนย์กลางอย่างวังหลวง ซีซั่นสองนี้ก็พาเราไปยังซอมบี้ที่มาก่อนกาลในแถบชายแดน คราวนี้พวกเขาต้องกลายเป็นซอมบี้ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาอำนาจให้ใครบางคน แต่ต้องกลายเป็นซอมบี้ในนามของการปกป้องประเทศชาติ
‘รัฐ’ แข็งแรงมากในซีรี่ส์เรื่องนี้ สารภาพว่าก่อนจะได้ดูซีซั่นสอง เราคิดว่าอาจจะได้เห็นการแตกกระสานซ่านเซ็นของผู้คนหรือกระทั่งการล่มสลายของรัฐ บทบาททางสังคมของผู้คนเลือนหายไปท่ามกลางการหลบหนีเอาตัวรอด ผู้คนแยกย้ายต่อสู้กันเป็นกลุ่มๆ เผชิญหน้ากับความตายโดยไม่ได้ยึดโยงตัวเองเข้ากับรัฐหรือกระทั่งชาติอีกต่อไป แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ในซีซั่นสองนี้ระบบที่ครอบทั้งอาณาจักรไว้ยังคงดำรงต่อไปได้อย่างแน่นหนา เหตุการณ์ต่างๆ ยังขยับเคลื่อนไปด้วยกระบวนการของรัฐ ผู้ปกครองยังคงเป็นผู้ปกครอง ผู้ใต้ปกครองก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ทั้งผ่านการกดขี่ขูดรีดจากฝ่ายชั่วและการปกป้องคุ้มครองจากฝ่ายดี ระบบของรัฐสร้างอสุรกายขึ้นมา แต่ระบบนี้เองก็เอื้อให้ฮีโร่ทำหน้าที่ของเขาได้จนสำเร็จ (หรือไม่… ต้องติดตามชม)
รัฐแข็งแรง เพราะคนในรัฐต่างดำเนินชีวิตโดยยึดเอาบทบาททางสังคมเป็นสำคัญ และบทบาทเหล่านั้นก็รับใช้รัฐอีกทีหนึ่ง หลายครั้งที่มนุษย์ในเรื่องต้องเผชิญหน้ากับบทพิสูจน์สากลที่ว่า ในสถานการณ์ที่ความตายอยู่ตรงหน้า เราเลือกจะให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน รัฐ ชาติ วงศ์ตระกูล ครอบครัว คนที่รัก หรือแค่ตัวเอง ซึ่งน่าสนใจที่ตัวละครใน Kingdom มีน้อยคนนักที่เลือกแค่ตัวเอง เราแทบไม่ได้เห็นใครที่ตะเกียกตะกายเพียงเพื่อชีวิตตัวเอง พวกเขาล้วนตัดสินใจทำอะไรลงไปเพื่ออุดมการณ์บางอย่าง เป็นหน่วยหนึ่งของสังคมจนวาระสุดท้ายของชีวิต
องครักษ์คู่กายองค์ชายรัชทายาท ตายไปในฐานะ ‘พ่อ’ ของครอบครัว ยองชินเลือกติดตามองค์รัชทายาทต่อ เพราะต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้ประชาชนสามารถลืมตาอ้าปาก เพราะการตายไปของคนชั่วไม่กี่คนยังไม่สามารถเปลี่ยนอะไร เพราะตัวระบบที่ผุพังมันยังคงอยู่ หมอหญิงซอบียอมทำตัวเป็นฟันเฟืองที่หมุนง่าย ไม่ใช่แค่เพื่อมีชีวิตรอด แต่เพื่อหาทางเยียวยารักษาโรคระบาดที่บ่อนทำลายประเทศ ฯลฯ
และเมื่อมีคำว่าประเทศชาติเป็นใจความสำคัญ ตลอดทั้งซีซั่นสองเราจึงได้เห็นภาพการมองชีวิตแต่ละชีวิตไม่เท่ากัน
ฉากหนึ่งที่ติดอยู่ในใจเราคือฉากหลบหนีในเอพิโซดแรก ตามสูตรหนังซอมบี้ที่มักจะมีใครสักคนโดดออกมาเป็นผู้เสียสละ ระหว่างที่กำลังหนีเข้าอุโมงค์เราได้เห็นนายทหารคนหนึ่งสละชีวิตกันฝูงซอมบี้เอาไว้ เพื่อให้ทีมรัชทายาทสามารถหนีไปได้ ก่อนจะยอมหนีไป องค์รัชทายาทแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าเขาทั้งสะเทือนใจและแค้นใจที่ใครสักคนต้องมาตายแทน แล้วเขาก็จำต้องจากไป แต่หลังจากรัชทายาทหนีไป ‘ยองชิน’ สามัญชนเดนตาย ไม่เพียงแต่สะเทือนใจ แค้นใจ แต่เขายังไยดีจนกระทั่งรั้งรออยู่ เพื่ออำลาและมอบความตายให้ทหารผู้เสียสละคนนั้นได้พ้นจากความทรมานหรือไม่ต้องกลายเป็นอสุรกายไปอีกคน
ในเหตุการณ์เดียวกัน เพียงแต่อาจมีภาระบนบ่าที่ต่างกัน เราจึงเห็นการมองชีวิตหนึ่งชีวิตต่างกันไปโดยปริยาย องค์รัชทายาททรงใส่ใจ แต่ยังไม่มากพอที่จะรั้งรอเพื่อขอบคุณ ร่ำลา หรือหยุดความทรมานของผู้เสียสละ อาจเพราะเขายังมีภาพใหญ่กว่าสำคัญกว่าอยู่ในหัวและจะไม่สามารถเสี่ยงรอช้า เขาต้องอยู่รอด เพื่อให้ชาติเดินต่อไปได้ ขณะที่สามัญชนเดนตายอาจไม่ได้มีภาพว่าตนเองจะต้องกอบกู้ชาติหรือสร้างโลกใหม่ เขาจึงสามารถสละเวลาอันน้อยนิดหรือให้ความสำคัญกับชีวิตตรงหน้าได้มากกว่า
ยิ่งมีภาระยิ่งใหญ่ อาจยิ่งต้องละทิ้งบางอย่างไปมากกว่าคนอื่น ส่วนวิธีจะละทิ้งสิ่งต่างๆ อย่างไรให้ไม่ต้องสำนึกเสียใจ ฝ่ายชั่วในเรื่องก็ได้สาธิตให้ดูไว้หมดแล้ว เช่นโจฮักจูหัวหน้าใหญ่แห่งกลุ่มแฮวอนโจที่มักอ้างเหตุผลเสมอว่า “ทำเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง” หรือ “ทำเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง” ทั้งยังชวนให้ท่านแม่ทัพ ‘ปิดหูปิดตา’ เพื่อลืมๆ มันไปว่ากำลังเหยียบย่ำชีวิตใครไปบ้าง คล้ายว่ายิ่งรู้สึกผิดมากเท่าไหร่การใหญ่อาจสำเร็จยากเท่านั้น และยิ่งมองร่างกายมนุษย์เป็นเพียงทรัพยากรของชาติมากกว่าจะเป็นหนึ่งชีวิต ก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ และความคิดอย่างนี้ยิ่งน่าขนลุก
เมื่อมองร่างกายมนุษย์เป็นเพียงทรัพยากรเสียแล้ว การจะตัดสินใจว่าร่างกายหนึ่งๆ สามารถถูกปล่อยทิ้งไว้ หรือถูกประคบประหงมต่อ จึงขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ ‘รัฐ’ จะได้รับจากร่างกายนั้น ในเหตุการณ์ที่ชายแดนเมื่อ 3 ปีก่อน ชาวบ้านที่ล้มป่วยถูกเลือกให้กลายเป็นซอมบี้แทนเหล่าทหาร เพราะทหารยังมีประโยชน์อยู่ แต่คนตัวเล็กตัวน้อยที่ไร้อาวุธหรือกำลังจะต่อสู้ไม่มีประโยชน์ใดๆ กับชาติอีกแล้ว
ขณะที่ร่างกายของผู้มีอำนาจนำมาซึ่งประโยชน์ต่อชาติได้มากกว่า แม้แต่หัวที่หล่นกลิ้งของราชาก็เป็นทรัพยากรในการสร้างกบฏ เช่นเดียวกับร่างของทารกน้อยที่ไม่ได้เกิดจากครรภ์ขององค์ราชินีก็เป็นทรัพยากรอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นร่างนั้นๆ ก็ไม่ได้มีประโยชน์เพราะสายเลือดในตัว แต่เป็นเพราะ ‘ฐานะ’ ที่ถูกประกาศให้สังคมรับรู้ต่างหาก ดังนั้นขั้วอำนาจเก่าซึ่งยังติดอยู่กับฝันลมๆ แล้งๆ เกี่ยวกับสายเลือด แม้จะรอบจัดแค่ไหน ก็ต้องพลาดพลั้งถูกกำจัดทิ้งในสักวัน
ชาติได้กลายเป็นคำสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้รัฐดำเนินไปได้ต่อ อย่างนี้แล้วยิ่งชวนให้คิดว่าสำหรับผู้มีอำนาจเหล่านั้น ‘ชาติ’ คืออะไรกันแน่ หรือกินความถึงคนกลุ่มไหนบ้าง
ปล. (สปอยล์อย่างแรง) หลังจากปล่อยให้คนดูหายใจหายคอได้เฮือกหนึ่ง ตอนจบของซีรี่ส์ก็ขมวดปมอีกขยักหนึ่งเพื่อนำไปสู่วิกฤติใหม่ของอาณาจักรที่จะดำเนินไปพร้อมๆ กัน ทั้งในจุดศูนย์กลางและชายแดน เมื่อองค์ชายตัวน้อยเริ่ม ‘โตพอ’ ที่พยาธิจะคืบคลานเข้าสู่สมองได้แล้ว ขณะที่ในบางพื้นที่พยาธิได้ถูกทำให้เชื่อว่าเป็นทางรอดไปเสียอีก
ในซีซั่นที่สาม เราจึงน่าจะได้เห็นกันว่าจะมีอีกกี่ชีวิตหรืออีกกี่ร่างกายที่ต้องถูกปล่อยให้ตายไป เพื่อให้ชาติได้ดำรงอยู่ต่อ และสำหรับ Kingdom ระหว่างพยาธิกับชาติอย่างไหนจะแข็งแกร่งกว่า อีกสักปีสองปีคงจะได้เห็นกัน
Tags: Netflix, Kingdom