The end is always a beginning of something new.” – Fukase

SEKAI NO OWARI หรือ End of the World เป็นชื่อของวงดนตรีจากประเทศญี่ปุ่นที่ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 4 คนคือ นากาจิน (Nakajin) หัวหน้าวงและมือกีตาร์ที่พึ่งพาได้, ฟุคาเสะ (Fukase) นักร้องนำที่มีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์, ซาโอริ (Saori) นักเปียโนสาวหนึ่งเดียวประจำวง และ ดีเจเลิฟ (DJ LOVE) ดีเจปริศนาที่ไม่เคยปรากฏตัวโดยไม่มีหน้ากากตัวตลกปิดบังใบหน้า พวกเขามาพร้อมแนวดนตรีสุดประหลาดที่ผสมผสานเอาทั้งความเป็นป๊อป ร็อก คลาสสิคัล แจ๊ซ อิเล็กทรอนิกส์ ฮิปฮอป จนถึงอีดีเอ็ม ฯลฯ เข้าด้วยกัน และใช้เสียงดนตรีชวนฝันคล้ายการเล่านิทานสื่อสารเรื่องราวหนักๆ อย่างสังคม ชีวิต สันติภาพ และความตาย

SEKAI NO OWARI โลดแล่นอยู่บนเส้นทางดนตรีมาตั้งแต่ปี 2010 โดยนอกจากรางวัลการันตีคุณภาพที่ยาวเป็นหางว่าวและตั๋วคอนเสิร์ตที่เต็มแน่นทุกที่นั่งเสมอจนได้รับการขนานนามว่าเป็นวงดนตรีที่เล่นสดดีเป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นแล้ว พวกเขายังเป็นวงดนตรีซึ่งเป็นที่รักของคนแทบทุกเพศทุกวัยชนิดที่สามารถเจอได้ตั้งแต่เด็กประถมไปจนถึงคุณยายในคอนเสิร์ตเลยทีเดียว แต่ถ้าถามถึงเพลงที่น่าจะคุ้นหูคนไทยมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นบรรดาเพลงประกอบหนังและแอนิเมชั่น อย่าง RPG เพลงชาติของวงที่ประกอบ Crayon Shin-chan, SOS และ ANTI-HERO ที่ประกอบ ATTACK ON TITAN ฉบับคนแสดง และ Rain ที่ประกอบ Mary and the Witch’s Flower ภาพยนตร์แอนิเมชั่นจากลูกศิษย์ของฮายาโอะ มิยาซากิแห่ง Studio Ghibli 

จุดจบของโลกที่มาพร้อมจุดเริ่มต้นของเสียงดนตรี

SEKAI NO OWARI แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ‘การอวสานของโลก’ โดยชื่อนี้มีที่มาจากชีวิตของนักร้องนำอย่างฟุคาเสะ ในช่วงมัธยมปลาย ฟุคาเสะเคยเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่เรียกว่าโรคตื่นตระหนก (Panic disorder) ซึ่งเป็นอาการทางจิตที่ทำให้เกิดภาวะตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างรุนแรงต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยที่หาสาเหตุไม่ได้ ในตอนนั้นฟุคาเสะซึ่งไปเรียนต่อมัธยมปลายที่อเมริกาได้เพียง 2 สัปดาห์ ไม่สามารถเรียนและใช้ชีวิตแบบคนปกติได้เลยจนต้องลาออกจากโรงเรียนและบินกลับมารักษาตัวที่ญี่ปุ่น แม้ว่าตามกำหนดการเดิมเขาจะต้องเรียนอยู่ที่อเมริกานานถึง 2 ปีก็ตาม

ระหว่างที่รักษาตัว ฟุคาเสะฝันอยากจะเป็นจิตแพทย์เพื่อให้คำปรึกษาและช่วยเหลือคนที่ต้องเจอกับโรคร้ายแบบตัวเอง จึงตั้งใจอ่านหนังสือและกวดวิชาอย่างหนักตลอดช่วงเวลา 3 ปีเต็ม แต่ด้วยอาการของโรคที่ยังคงไม่ดีขึ้นและฤทธิ์ยาที่มาพร้อมผลกระทบข้างเคียง ความทรงจำของฟุคาเสะแย่ลงเรื่อยๆ ถึงขนาดที่ไม่สามารถจำทางกลับบ้านจากโรงเรียนกวดวิชาได้ แถมความรู้ที่สะสมมาตลอด 3 ปีก็ค่อยๆ จางหายไปจากหัว ทำให้เขาไม่สามารถอ่านหนังสือและไปสอบได้อย่างที่ตั้งใจไว้และจำเป็นต้องล้มเลิกความพยายามในการเป็นจิตแพทย์ของตัวเอง

ในช่วงเวลาที่ฟุคาเสะรู้สึกมืดมนที่สุดและมองว่ามันเป็นเสมือนจุดจบของโลกสำหรับเขา สิ่งที่ช่วยฟุคาเสะเอาไว้คือสิ่งที่เรียกว่า ‘เสียงดนตรี’ เพราะการได้ออกมาเล่นดนตรีร่วมกับเพื่อนสมัยอนุบาลและประถมอย่างซาโอริกับนากาจิน และการได้รู้จักกับเพื่อนใหม่อย่างดีเจเลิฟ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขามีความสุขและอยากจะลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ฟุคาเสะจึงค่อยๆ เยียวยาตัวเองไปพร้อมกับการทำวง SEKAI NO OWARI ด้วยความตั้งใจอยากจะใช้เสียงเพลงส่งต่อความรักและพลังบวกที่เขาได้รับจากเพื่อนๆ และการเล่นดนตรี เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์แย่ๆ กลับมาเข้มแข็งและเชื่อมั่นในตัวเองได้อีกครั้งแม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่เป็นเสมือนจุดอวสานของชีวิตก็ตาม

จาก 15 ถึง 70,000

SEKAI NO OWARI เริ่มต้นมาด้วยการเล่นดนตรีในไลฟ์เฮ้าส์ใต้ดินเล็กๆ ชื่อ Club EARTH ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองในโกดังเก่าเพื่อร่วมตัวกันเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ โดยในการแสดงครั้งแรกมีคนมาชมการแสดงเพียง 15 คนเท่านั้น แต่นับจากวันที่ปล่อยอัลบั้มแรกอย่าง EARTH กับค่ายเพลงอิสระในปี 2010 วง SEKAI NO OWARI ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 ปีก้าวกระโดดจากวงใต้ดินที่ไม่มีใครรู้จักขึ้นไปถึงอันดับที่ 15 ของชาร์ตเพลงระดับประเทศอย่างโอริกอนชาร์ต และมีคอนเสิร์ตเดี่ยวที่นิปปอน บูโดกัน (Nippon Budokan) ซึ่งจุคนมากถึง 14,000 คน ก่อนที่จะเซ็นสัญญากับค่ายเพลงระดับประเทศอย่าง Toy’s Factory และก้าวมาเป็นวงดนตรีกระแสหลักพร้อมอัลบั้มที่ 2 อย่าง ENTERTAINMENT ที่ขึ้นอันดับ 2 ของโอริกอนชาร์ตและได้รับรางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีจากงาน Japan Record Awards ครั้งที่ 54 ด้วย

แต่ความบ้าคลั่งยังไม่จบแค่นั้น เพราะจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ SEKAI NO OWARI คือการได้ไปทำเพลงประกอบให้กับแอนิเมชั่นที่ใครๆ ก็รู้จักอย่าง Crayon Shin-chan The movie ภาค Very Tasty! B-class Gourmet Survival โดยนอกจากเพลง RPG ซึ่งเป็นเพลงประกอบของชินจังในตอนนั้นจะดังระเบิดเป็นพลุแตกจนอยู่ตรงไหนในญี่ปุ่นก็ได้ยินแล้ว ยังทำให้ความฝันที่จะเข้าถึงคนฟังทุกเพศทุกวัยของพวกเขากลายเป็นจริงเร็วกว่าที่คิด เพราะทั้งเด็กๆ วัยรุ่น คนทำงาน ไปจนถึงคุณตาคุณยายที่อยู่ที่บ้าน ต่างก็ได้ฟังและชื่นชอบเพลงนี้กันทั้งสิ้น จนปัจจุบันเพลง RPG ก็มียอดวิวปาเข้าไปถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเก้าล้านครั้งเข้าไปแล้ว ซึ่งถือเป็นยอดที่เยอะมากๆ ในประเทศซึ่งไม่ค่อยใช้ Youtube อย่างญี่ปุ่น

หลังจากความสำเร็จของ RPG พวกเขาก็ปล่อยอีกหลายซิงเกิ้ลที่เรียงแถวกันติดชาร์ตไม่เว้นแต่ละวัน และจัดทัวร์คอนเสิร์ตไปทั่วประเทศญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ใช่แค่เพลงที่มีสไตล์หลากหลายและมีเอกลักษณ์เท่านั้นที่ทำให้พวกเขาได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว แต่ SEKAI NO OWARI ยังมีการแสดงสดที่โดดเด่นจนได้รับการขนานนามว่าเป็นวงที่เล่นสดดีเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ทั้งยังมีโปรดักชั่นคอนเสิร์ตสุดอลังการที่เป็นมากกว่าแสง สี และเวที แต่ยิ่งใหญ่และสวยงามไม่ต่างจากการสร้างสรรค์งานศิลปะเฉพาะตัวให้กับแต่ละบทเพลงในทุกๆ ครั้งที่เล่น จนแฟนๆ ต้องหาเวลามาดูคอนเสิร์ตซ้ำแล้วซ้ำอีก

และความมหัศจรรย์นี้เองที่ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของการแสดงสดด้วยการจัดคอนเสิร์ต 2 คืนติดในสเตเดียมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นอย่างนิสสัน สเตเดียม (Nissan Stadium) ซึ่งจุคนได้มากถึง 70,000 ที่นั่ง หรือเทียบง่ายๆ ก็คือใหญ่กว่าราชมังฯ ของเราเกือบ 1 เท่าตัว (แถมยังขายตั๋วได้หมดเกลี้ยงทั้งสองคืนอีกด้วย!) 15 และ 70,000 จึงเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นและจุดสูงสุดที่พวกเขาเคยไปถึง และเราเชื่อว่าพวกเขาจะยังไม่หยุดพัฒนาตัวเองและพยายามเพื่อก้าวไปสู่ตัวเลขใหม่ๆ ในอนาคตอย่างแน่นอน

นิทานที่อาบด้วยคมมีด

ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ SEKAI NO OWARI นับว่าเป็นวงที่มีแนวเพลงและสไตล์ที่หลากหลายแบบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นมืดหม่น สดใส เศร้าซึ้ง แฟนตาซี ฯลฯ แต่ภายใต้รูปแบบการนำเสนอที่หลากหลาย เพลงของพวกเขายังคงพูดถึงประเด็นหนักๆ อย่างปัญหาชีวิต ปัญหาสังคม ความแตกต่างระหว่างวัยของเด็กและผู้ใหญ่ การกลั่นแกล้งในโรงเรียน ความรัก ความตาย สงคราม สันติภาพ ฯลฯ จนหลายคนให้คำนิยามว่าบทเพลงของพวกเขาเป็นเสมือนนิทานที่ฟังเพลิน สดใส เต็มไปด้วยพลังงาน แต่แฝงไปด้วยคมมีดของแง่มุมต่างๆ ที่ถูกคิดมาอย่างลึกซึ้ง 

เช่น เพลง Tenshi To Akuma (เทวดาและปีศาจ) ที่ตั้งคำถามถึงความดีและความชั่วว่าในโลกแห่งความยุติธรรมที่ผู้ใหญ่สร้างขึ้นเองนี้ เราจะสามารถตัดสินได้อย่างไรว่าใครคือฝ่ายที่ผิดหรือถูกอย่างแท้จริง, Dragon Night ที่พูดถึงค่ำคืนกลางสงครามที่ทุกคนได้มีโอกาสลืมเรื่องราวร้ายๆ ด้วยการลุกขึ้นมาเต้นรำและร้องเพลงแห่งสันติภาพไปพร้อมกัน แม้จะสามารถทำได้เพียงแค่ค่ำคืนเดียวก็ตาม, Shi no maho (เวทย์มนต์ของความตาย) ที่พูดถึงความสวยงามของการมีชีวิตอยู่และความตาย, Nijiiro no sensou (สงครามของสายรุ้ง) ที่พูดถึงการผลกระทบที่มนุษย์กระทำต่อโลก และอีกมากมายหลากหลายบทเพลงที่หยิบเอาเรื่องราวจริงๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมมาบอกเล่าผ่านความไม่สมจริงและจินตนาการ


ijime wa seigi da kara aku o korashime te iru n da zo
การกลั่นแกล้งเป็นสิ่งที่ยุติธรรมเพราะพวกเรากำลังลงโทษคนที่ชั่วร้าย
sonna fuu ni kodomo ni oshie ta no wa bokura na n da yo
นั่นคือสิ่งที่เราสอนให้กับเด็กๆ
otona VS otona no seikai fu seikai no batoru
การต่อสู้ระหว่างความเข้าใจที่ถูกและผิดของผู้ใหญ่

TV de kodomo ra ni oshieru dare ga “machigatte” ru ka
สื่อสารออกมาผ่านทีวี ที่มักตัดสินว่าใครคือคนผิด
seigi no hiiroo wa akutou o taosu mono da to
เมื่อฮีโร่แห่งความยุติธรรมจะต้องเอาชนะพวกคนชั่ว

kodomo wa TV o mi te omou aku wa horobosa nakya ne

เด็กๆ ที่ดูทีวีจึงเรียนรู้ว่า ‘ปีศาจ’ จะต้องถูกทำลายเสมอ
moshi boku ga tadashiku te kimi ra ga machigai nara
แต่ต่อให้ฉันเป็นฝ่ายถูกและคุณเป็นฝ่ายผิด

bokura wa tatakau unmei ni aru no
นั่นทำให้เราจำเป็นต้องต่อสู้ฟาดฟันกันด้วยหรือ

bokura wa itsumo kotae de tatakau kedo
พวกเรามักเลือกใช้การต่อสู้เพื่อค้นหาคำตอบ

futatsu atte hajimete kotae na n da yo
แต่คำตอบที่แท้จริงมันไม่เคยรออยู่เลย”

Tenshi To Akuma – SEKAI NO OWARI

เวทมนต์ที่สร้างจากความสัมพันธ์

กว่าจะก้าวมาเป็นวงดนตรีที่เป็นเจ้าของบทเพลงซึ่งเข้าถึงจิตใจผู้คนมากมายแบบนี้ อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเนื้อหาที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยพลังบวกของพวกเขาก็คือความสัมพันธ์และมิตรภาพที่แน่นแฟ้นอย่างที่ยากจะหาได้จากวงดนตรีไหนๆ เพราะนอกจากฟุคาเสะ ซาโอริ และนากาจิน จะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยประถม และได้มาพบกับดีเจเลิฟในช่วงมัธยมแล้ว SEKAI NO OWARI ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘บ้านเซกะโอวะ’ หรือ Seka Owa House ซึ่งเป็นบ้านที่พวกเขาใช้อาศัยอยู่ด้วยกันอีกด้วย 

ใช่! พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมงไม่ต่างจากครอบครัว เพื่อให้สามารถทำเพลงร่วมกันได้สะดวกและมีบรรยากาศที่เหมาะแก่การทำเพลงมากที่สุด และถึงแม้ว่าปัจจุบัน 3 หนุ่ม 1 สาว จะมีอายุปาเข้าไป 30 ต้นๆ กันแล้ว แต่จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงอาศัยอยู่ร่วมกันและไปมาหาสู่กันเสมอ (ถึงแม้จะไม่ตลอด 24 ชั่วโมงเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็มากพอที่จะทำให้ลูกชายวัยเกือบ 2 ขวบของซาโอริจังสนิทสนมกับลุงๆ แบบสุดๆ)

ความสัมพันธ์ที่พิเศษไม่ธรรมดานี้สื่อสารออกมาผ่านเพลงฮิตที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาอย่าง RPG อย่างชัดเจน เพราะเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นหลังจากการทะเลาะกันครั้งใหญ่ของฟุคาเสะและซาโอริ ซึ่งฟุคาเสะได้เผลอพูดสิ่งที่ทำร้ายจิตใจเพื่อนร่วมวงออกไปจนทำให้ซาโอริโกรธจนถึงขั้นอยากลาออกจากวงและเก็บข้าวเก็บของหนีออกจากบ้านเซกะโอวะไปในคืนนั้นเลย แต่สุดท้ายฟุคาเสะก็ตามไปจนถึงบ้านของซาโอริในเกียวโตและปรับความเข้าใจกันได้สำเร็จ โดยหลังจากที่เข้าใจกันแล้ว ซาโอริได้เขียนเนื้อเพลง 2 ท่อนสั้นๆ ที่พูดถึงความสำคัญของมิตรภาพส่งต่อให้กับทุกคนในวง เมื่อได้อ่านฟุคาเสะจึงนำเนื้อเพลงนั้นมาแต่งต่อจนสมบูรณ์และกลายมาเป็นเพลง RPG ที่ทุกคนรักในที่สุด

“Sora wa aoku sumiwatari

เมื่อท้องฟ้าเป็นสีฟ้ากระจ่างสดใส

Umi wo mezashite aruku

พวกเราออกเดินมุ่งหน้าไปยังท้องทะเล

Kowai mono nante nai

ไม่มีสิ่งใดที่จำเป็นต้องหวาดกลัว

Bokura wa mou hitori jyanai

เพราะพวกเราไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว”

RPG – SEKAI NO OWARI

End of the World

อย่างที่บอกไปแล้วว่า เราเชื่อว่า SEKAI NO OWARI จะไม่ยอมหยุดแม้จะอยู่ในจุดที่สูงแค่ไหนก็ตาม และ ‘End of the World’ ก็คือคำตอบของความเชื่อนั้น เพราะ End of the World คือชื่อวงที่ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษอย่างตรงตัวเพื่อใช้โฟกัสไปที่การทำงานระดับสากลโดยใช้เนื้อเพลงภาษาอังกฤษทั้งหมด นั่นจึงหมายความว่าสเตเดียมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นอย่างนิสสัน สเตเดียม จะไม่สามารถบรรจุความฝันของพวกเขาได้อย่างเพียงพออีกต่อไป

ถึงแม้ว่าวงจะปล่อยเพลงในฐานะ End of the World ออกมาเล็กๆ น้อยๆ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีการทำงานร่วมกับศิลปินและโปรดิวเซอร์ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการร่วม featuring ในเพลง Tokyo ของ owl city และได้อดัม ยัง นักร้องนำจาก owl city มาโปรดิวซ์ให้ในเพลง Mr.Heartache, การทำเพลง Sleeping Beauty ร่วมกับ EPIK HIGH และการทำงานร่วมกับ DNCE, CJ Baran และ Nicky Romero ในหลายๆ ครั้ง แต่ยังไม่เคยมีการโปรโมตอย่างจริงจังเกิดขึ้นแต่อย่างใด จนกระทั่งในวันที่ SEKAI NO OWARI ได้ปล่อยบทเพลงแรกซึ่งเป็น Debut single ในฐานะ End of the World อย่างเพลง ‘LOST’ ที่สร้างสรรค์ร่วมกับ Clean Bandit ออกมาเป็นที่เรียบร้อย 

LOST จะเป็นเพลงนำของอัลบั้มเต็มภาษาอังกฤษอัลบั้มแรกของพวกเขาอย่าง ‘Chameleon’ ที่มีกำหนดจะวางแผงในช่วงปลายปี 2019 นี้ เพลงใหม่เพลงนี้จึงเป็นเสมือนหมุดหมายแห่งการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่อย่างเป็นทางการของพวกเขา และไม่ว่าโลกใบใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้าจะสวยงามหรือโหดร้ายไม่ต่างจากกาลอวสานของโลกก็คงไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอีกต่อไป เพราะพวกเขาเคยได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าท่ามกลางจุดจบของโลกจะยังคงมีแสงสว่างแห่งการเริ่มต้นใหม่เสมอตราบใดที่เรายังคงมีมิตรภาพและเสียงดนตรี

ที่มา:

https://www.jpopasia.com/feed/17019/exclusive-jpopasia-interviews-sekai-no-owari/

https://top40-charts.com/artist.php?aid=16800

https://www.asianpopweekly.com/features/apw-exclusive-interview-the-story-of-sekai-no-owari-happiness-is-hard-fought

https://en.wikipedia.org/wiki/Sekai_no_Owari

Tags: , ,