พอล ดาโน พระเอกหน้ามนคนหน้ามึนที่ผ่านการแสดงภาพยนตร์มาแล้วกว่า 20 เรื่อง และไม่ว่าจะไปปรากฏตัวในเรื่องไหนต่างก็เป็นที่จดจำ เขาเริ่มมีผลงานบนจอภาพยนตร์มาตั้งแต่ปี 2000 และโดดเด่นมากขึ้นในปี 2001 ที่ต้องรับบทเป็นเด็กชายที่สับสนในตัวเองและเข้าไปพัวพันกับการขายบริการทางเพศ ต่อมาในปี 2006 ผู้คนต่างประทับใจเขาในบทดเวย์น หนึ่งในสมาชิกของครอบครัวคนขี้แพ้จาก Little Miss Sunshine หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยอีกหลายบทบาท ซึ่งล้วนแต่ทำให้เราได้เห็นพัฒนาการณ์ที่ไม่หยุดนิ่งของเขา

เราจึงขอนำเสนอลิสต์ ‘ภาพยนตร์ 5 เรื่องเยี่ยมของพอล ดาโน ที่คุณไม่ควรพลาด’ เพื่อให้คุณได้รู้จักกับผู้ชายคนนี้มากขึ้นและหลงรักเขาไปกับเรา

Ruby Sparks – เขียนเธอให้เจอผม (2012)

มนุษย์หลายคนตามหาความเพอร์เฟ็กต์ในทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ตั้งแต่ปากกาไปจนถึงบ้านหรือรถยนต์ และแน่นอน สิ่งหนึ่งที่ต้องการความสมบูรณ์แบบไม่แพ้สิ่งอื่น ก็คือคนรัก รูปร่างหน้าตาต้องใช่ นิสัยต้องไปกันได้ และต้องเข้าอกเข้าใจกันในทุกเรื่อง แต่มันจะมีหรือ คนที่สมบูรณ์เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง

Ruby Sparks เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนให้เราเห็นความจริงข้างต้นได้ดี ว่าด้วยเรื่องราวความรักแฟนตาซีของหนุ่มนักเขียน ซึ่งแสดงนำโดยพอล ดาโน และโซอี้ คาซาน

คาลวิน นักเขียนหนุ่มอัจฉริยะที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็ก แต่ต่อมาเขาก็พบกับปัญหาอาการตีบตันทางความคิด เขาไม่มีไอเดียจะเขียนอะไร และค่อยๆ แย่ลงไปอีกหลังจากถูกแฟนทิ้ง ความวิตกกังวลต่างๆ นานา รวมทั้งอาการซึมเศร้า ทำให้ในที่สุดเขาต้องไปพบจิตแพทย์

ในระหว่างที่เข้ารับการบำบัด เขาก็เริ่มเขียนเรื่องราวหญิงสาวในฝันไปด้วย เป็นสาวผมแดงหน้าตาน่ารักที่ปรากฏตัวในความฝัน จนวันหนึ่งเธอดันปรากฏตัวขึ้นมาในความจริง เธอคือ รูบี้ หญิงสาวจากตัวหนังสือของเขา ในทีแรกคาลวินคิดว่าตัวเองมองเห็นเธอคนเดียว แต่รูบี้มีตัวตนจริงๆ เธอเป็นแฟนของเขา และเมื่อเธอเกิดจากสิ่งที่เขาเขียน เธอย่อมเป็นไปตามที่เขาคิด รวมทั้งนิสัยใจคอด้วย

ในเมื่อเธอตรงตามที่เขาต้องการทุกอย่าง ความรักก็น่าจะราบรื่นไปได้ด้วยดี แต่มนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ใครสักคนจะควบคุมได้ รูบี้มีความคิด มีหัวใจเสรี มีร่างกายของตัวเอง เธอย่อมต้องการจะทำตามหัวใจปรารถนา และแล้วจุดแตกหักก็มาถึง เมื่อเขาและเธอได้เปลี่ยนไป กลายเป็นใครอีกคนที่ต่างไม่รู้จักกัน…

ความสมบูรณ์แบบนั้นน่าหลงใหลก็จริง แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนจะเป็นแบบที่อีกคนต้องการทั้งหมดได้ เขาอาจไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมที่เราใช้ ไม่สนใจอ่านหนังสือที่เราอ่าน ไม่ชอบฟังเพลงที่เราร้องในห้องน้ำ ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะความรักไม่ใช่การโยนตัวตนเข้าใส่กันให้อีกฝ่ายปรับเข้าหา แต่คือการปรับตัว เว้นระยะห่าง และให้พื้นที่สำหรับอีกฝ่าย หาพื้นที่ที่อยู่ตรงกลางของกันและกัน ไม่รุกล้ำหรือก้าวก่าย และไม่สร้างความลำบากใจแก่กัน.

Prisoners – คู่เดือดเชือดปมดิบ (2013)

หากเอ่ยถึงภาพยนตร์เรื่อง Prisoners หรือดูจากใบปิด ตัวเอกของเรื่องคงเป็นฮิวจ์ แจ็กแมน และเจค จิลเลนฮาล แต่ความจริงแล้วอีกคนหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้ทั้งคู่ก็คือ พอล ดาโน่ ผู้รับบทเป็นกุญแจสำคัญของคดีที่เกิดขึ้น

ภาพยนตร์เล่าถึงการหายตัวไปของเด็กหญิงสองคนในวันขอบคุณพระเจ้า หลังการหายตัวไป ตำรวจและอาสาสมัครต่างช่วยกันค้นหาเด็กหญิงทั้งสอง แต่ไม่ว่าหาเท่าไรก็ไม่พบ เบาะแสเพียงหนึ่งเดียวที่เจอก็คือ อเล็กซ์ โจนส์ ชายหนุ่มสติไม่สมประกอบ เจ้าของรถบ้านที่มีพยานบอกว่าเป็นรถน่าสงสัย ซึ่งจอดอยู่บริเวณที่เด็กๆ หายตัวไป ตำรวจนักสืบโลกิจึงเข้าจับกุมอเล็กซ์ ทันที แต่อเล็กซ์ก็ไม่ให้การใดๆ ที่เป็นประโยชน์กับตำรวจ และในเมื่อหลักฐานไม่เพียงพอ โลกิก็จำเป็นต้องปล่อยตัวอเล็กซ์ไป

โดเวอร์ พ่อของเด็กคนหนึ่งในสองคนเป็นห่วงลูกสาวมาก และมั่นใจว่าอเล็กซ์จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีครั้งนี้ จึงตัดสินใจลงมือกระทำการสิ่งที่รู้ว่าไม่สมควร เพราะเขาไม่หวังพึ่งกฎหมายที่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้ร้ายอีกต่อไป

Prisoners นำเสนอความหมายของ ‘ผู้ต้องขัง’ ในหลายแง่มุม เนื้อเรื่องผูกปมของตัวละครไว้เป็นอย่างดี และยังตลบหลังผู้ชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังพูดถึงประเด็นของความเชื่อ ความศรัทธา ศีลธรรม ความถูกต้อง การลงมือกระทำการบางอย่างเพื่อนำไปสู่เป้าหมายโดยที่ไม่สนใจความถูกผิด และการที่เราเห็นคนทำผิด แต่เฉยเมยและมองข้าม ทั้งหมดนี้จะถูกตั้งคำถามผ่านการกระทำของตัวละคร พร้อมย้อนกลับมาถามตัวเราเองเช่นกัน

Love & Mercy – คนคลั่งฝัน เพลงลั่นโลก (2014)

หากถามถึงวงดนตรีระดับตำนาน ผู้คนส่วนใหญ่คงนึกถึง The Beatles เป็นอันดับแรกๆ และถ้าใครไม่ใช่คอเพลงสักหน่อยก็คงจะไม่คุ้นหูนักกับชื่อ The Beach Boys ทั้งๆ ที่สองวงนี้โด่งดังขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกัน อัลบั้ม Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band ของ The Beatles อาจไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าพวกเขาไม่ได้ฟังอัลบั้ม Pet Sounds ของ The Beach Boys ในขณะเดียวกันอัลบั้ม Pet Sounds ก็มีแรงบันดาลใจมาจากอัลบั้ม Rubber Soul ของ The Beatles

“THE BEATLES INSPIRED PET SOUNDS, THEN PET SOUNDS INSPIRED THE BEATLES”*

Love & Mercy พาเราย้อนไปดูช่วงชีวิตของไบรอัน วิลสัน นักร้องและนักแต่งเพลงแห่งวง The Beach Boys ภาพยนตร์จะแบ่งออกเป็นสองช่วงด้วยกัน คือระหว่างยุค ’60s กับ ’80s ซึ่งยุค ’60s ไบรอัน วิลสัน จะรับบทโดยพอล ดาโน่และยุค ’80s รับบทโดยจอห์น คูแซ็ค

ภาพยนตร์เริ่มต้นเล่าในช่วงยุค ’60s ซึ่งเป็นช่วงที่วง The Beach Boys กำลังโด่งดังและมีชื่อเสียง ชีวิตของไบรอันกำลังไปได้สวยและเขาพร้อมจะระเบิดพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์สู่บทเพลงที่สดใหม่ ไบรอันต้องการให้วงเติบโตขึ้น ไม่ใช่การย่ำอยู่กับที่ แต่ในช่วงเวลานี้เอง เขาก็ต้องต่อสู้กับความต้องการของเพื่อนร่วมวงและอาการป่วยทางจิตของตนเองที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ

ยุค ’60s จะฉายให้เราเห็นช่วงเวลาที่ไบรอันสนุกสนานกับการได้ลงมือทำสิ่งต่างๆ รอยยิ้มสดใสที่ไม่ต่างจากภาพลักษณ์ของวง การรับมือกับความป่วยไข้ และอารมณ์ที่ค่อยๆ ดำดิ่งลงทุกขณะ ทั้งหมดนี้นำไปสู่ไบรอันยุค  ’80s ที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของนักจิตบำบัด จนเมื่อไบรอันพบกับเมรินดา เลทเบทเทอร์ เขาจึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และเป็นเพราะความรักความหวังดีของเมรินดานี้เองที่ทำให้ไบรอันสามารถยืนหยัดกลับมาสร้างสรรค์ผลงานที่ดีได้ดังเดิม

เสน่ห์ของเรื่องนี้นอกจากจะสร้างมาจากเรื่องจริงแล้ว ทั้งบท ดนตรี การถ่ายทำ และการแสดงของนักแสดงทุกคนก็ทำได้ออกมาดีมากๆ โดยเฉพาะพอล ดาโน และจอห์น คูแซ็ค พวกเขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์อันแสนเจ็บปวด รวมถึงความกดดันที่ออกมาจากความรู้สึกและแววตา สิ่งเหล่านี้ทำให้เราจดจำชีวิตของไบรอันได้ ไปพร้อมๆ กับความยอดเยี่ยมของนักแสดงเอง

Swiss Army Man – คู่เพี้ยนผจญภัย (2016)

แม้ Swiss Army Man จะถูกจัดให้อยู่ในหมวดแฟนตาซี/ดรามา แต่แค่สองคำนี้คงนิยามเนื้อหาได้ไม่เพียงพอ เพราะภาพยนตร์นี้เพี้ยนแบบหลุดโลก จนเราต้องเผลออุทาน WTF กันตลอดทั้งเรื่อง

Swiss Army Man ได้ไอเดียมาจาก Swiss Army Knife ซึ่งเป็นมีดสารพัดประโยชน์ สามารถใช้งานได้หลากหลาย และนี่จึงเป็นที่มาของศพสารพัดประโยชน์ ใช่แล้ว ศพ!

แฮงค์ (พอล ดาโน) ชายหนุ่มที่แบกความสิ้นหวังจากการติดเกาะมายาวนาน จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจจะจบชีวิตตัวเอง เพราะมองไม่เห็นทางรอด ขณะที่เอาเชือกสวมคอนั้นเอง แฮงค์เหลือบไปเห็นชายอีกคนนอนเกยตื้นอยู่ริมทะเล (แดเนียล แรดคลิฟฟ์) เขาดิ้นจนหลุดจากพันธนาการที่ตัวเองเป็นคนก่อ แล้วรีบวิ่งไปหาชายคนนั้น เมื่อไปถึง เขาก็ต้องพบกับความสิ้นหวังซ้ำอีก ชายคนนั้นไม่มีลมหายใจแล้ว แต่… จู่ๆ ชายที่เห็นว่าตายแล้วแน่ๆ ดันตดออกมา! มิตรภาพสุดป่วนจึงเริ่มมาจากลมตด

แฮงค์พยายามหาทางเอาตัวรอดอีกครั้ง พร้อมกับแบกศพไปด้วย นอกจากตดแล้ว ศพนี้ก็ยังสามารถทำได้อีกหลายอย่าง เมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ศพก็มีพัฒนาการตามไปด้วยจนเริ่มพูดได้ (ซึ่งเราจึงได้รู้ว่าเขาชื่อแมนนี่) แฮงค์กับแมนนี่ต้องช่วยเหลือกันและกันเพื่อกลับสู่โลกที่พวกเขาจากมา โลกที่แฮงค์ (เคย) วิ่งหนีและโลกที่แมนนี่ตายจาก

นอกจากภาพยนตร์จะพูดถึงการเอาตัวรอดและมิตรภาพที่เกิดขึ้นแล้ว ภาพยนตร์ก็ยังแฝงไปด้วยเรื่องของความสัมพันธ์ คำถามเชิงปรัชญาหรืออภิปรัชญา การเรียนรู้สิ่งใหม่ สิ่งที่สังคมยอมรับและไม่ยอมรับ สิ่งที่มนุษย์เลี่ยงได้และเลี่ยงไม่ได้ คล้ายจะดูเป็นภาพยนตร์ที่ไม่มีสาระ แต่จริงๆ แล้วเป็นมากกว่าที่คุณคิดแน่นอน

Okja – โอคจา (2017)

สภาพแวดล้อมแปรปรวน พื้นที่ทำกินลดลง เกษตกรรายเล็กรายน้อยล้มหายตายจากไปเท่าไรต่อเท่าไร สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนทั่วๆ ไปที่ชีวิตไม่ได้ข้องแวะเกี่ยวกับเรือกสวนไร่นา แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว เมื่อเราต้องบริโภคอาหารอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ปัญหามะนาวราคาแพง เนื้อสัตว์ราคาขึ้น ผลไม้ขาดตลาด ต่างคือผลกระทบจากสิ่งที่เรามองว่าไกลตัวทั้งนั้น

Okja เป็นภาพยนตร์ที่คับคั่งไปด้วยนักแสดงมากฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นทิลดา สวินตัน (Doctor Strange) เจค จิลเลนฮาล (Nightcrawler) ลิลี คอลลินส์ (Mirror Mirror) สตีเว่น ยวน (The Walking Dead) และพอล ดาโน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยบงจุนโฮ ผู้กำกับคนเดียวกับเรื่อง Snowpiercer

ในเรื่อง บริษัทยักษ์ใหญ่ Mirando Corporation เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม มีลูซี่ มิรานโด เป็นผู้ดูแล ลูซี่ได้วางโปรเจ็กต์นวัตกรรมหมูพันธุ์ใหม่ที่จะมาช่วยแก้ปัญหาอาหารไม่เพียงพอ เธอจึงได้แจกจ่ายหมูจำนวน 26 ตัวให้เกษตรกรประเทศต่างๆ นำไปเลี้ยงดู แล้วในอีกสิบปีข้างหน้า ค่อยมาตามดูผลว่าการเลี้ยงดูแบบไหน จากใคร ประเทศอะไร จะทำให้หมูโตมาสมบูรณ์ที่สุดและน่ากินที่สุด!

หมูหนึ่งในนั้นได้รับการเลี้ยงดูโดยคุณปู่ชาวเกาหลีผู้มีบ้านอยู่บนเขาและอาศัยอยู่กับหลานสาวเพียงสองคน เมื่อคุณปู่รับหมูมาเลี้ยง หมูตัวนี้จึงถูกตั้งชื่อว่าโอคจา โดยมีมิจา หลานสาวปู่ช่วยเลี้ยงดูอีกแรง เธอเติบโตมาพร้อมๆ กับหมู โดยที่ไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งมันจะถูกพรากไป

สิบปีผ่านไป โอคจาต้องถูกพาตัวคืนสู่ Mirando Corporation และต้องกลายมาเป็นเนื้อหมูสำเร็จรูปให้ได้กินกัน แต่มิจาไม่ยอม การทวงคืนโอคจาจึงเริ่มต้นขึ้น ภารกิจนี้ทำให้เธอได้พบกับกลุ่ม ALF (Animal Liberation Front) ที่นำโดยเจย์ พวกเขามุ่งมั่นจะปลดปล่อยเหล่าสัตว์และตีแผ่เบื้องหลังที่ไม่ชอบมาพากลของ Mirando Corporation พวกเขาจึงพยายามช่วยเหลือมิจาอย่างถึงที่สุด

ประเด็นหลักที่ภาพยนตร์ต้องการจะสื่อ ก็คือการเปิดโปงอุตสาหกรรมอาหารที่ดัดแปลงพันธุกรรมสัตว์ และเสียดสีทุนนิยมไปในตัว รวมถึงทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย ไม่เว้นแต่กับตัวเราเอง