นอกจากความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เป็นตัวแปรสำคัญในชีวิตเพื่อนก็นับเป็นอีกส่วนหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าเพื่อนข้างบ้านวัยเด็กที่ชวนกันไปปั่นจักรยาน เพื่อนชั้นมัธยมฯ ที่พากันไปคาราโอเกะ เพื่อนในสนามทดสอบก่อนไปสู่วัยทำงานตอนมหาวิทยาลัย

เพื่อนในแต่ละช่วงวัยล้วนเต็มไปด้วยความผูกพัน ความฝัน และความทรงจำ

แต่เมื่อความใกล้ชิดอาจทำให้หัวใจผลิตบางสิ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกหวั่นไหว ใจเต้น เฝ้าคิดถึง ฯลฯ ที่คุณอาจเคยผ่านความรู้สึกมากกว่าเพื่อนแบบนี้มาแล้ว ว่าแต่คุณเก็บงำมันไว้ในใจ? หรือเอ่ยปากบอกออกไป? ลงเอยแล้วความเป็นเพื่อนเปลี่ยนไปไหม?

สัปดาห์นี้ขอชวนมาคิดถึงเพื่อนรักที่อาจไม่ได้เป็นแค่เพื่อน

Rainbow Song (2006)

ผลงานการกำกับฯ ของ นาโอโตะ คุมาซาวะ อำนวยการสร้างและร่วมเขียนบทโดย ชุนจิ อิวาอิ ผู้กำกับฯ ในดวงใจใครหลายคน ซึ่งมักนำพาความอุ่นเศร้ามาสู่ใจเราเสมอ เรื่องราวในวันวานที่สดใส แต่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดเมื่อนึกถึง โดยได้นักแสดงคุ้นหน้ามารับบทนำ อาทิ ฮายาโตะ อิชิฮาระ (All about Lily Chou Chou) จูริ อุเอโนะ (Swing Girls) และยู อาโออิ (Hana and Alice)

โทโมยะ คิชิดะ ชายหนุ่มที่ทำงานในกองถ่าย แต่ยังไม่ค่อยก้าวหน้าในหน้าที่เท่าไรนัก เขาได้เข้ามาทำงานที่นี่ เพราะเพื่อนสาวคนสนิท อาโออิ ซาโตะ ซึ่งกำลังจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ และมีอนาคตที่ดีงามรอคอยอยู่ ทว่าอาโออิยังไม่ทันได้มีวันนั้น เธอก็จากไปด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก นับจากตรงนี้ ช่วงเวลาจึงเดินถอยหลัง เพื่อพาเราไปรู้จักชีวิตของพวกเขาและเธอมากขึ้น

โทโมยะเป็นเด็กหนุ่มเฉิ่มๆ คนหนึ่ง ท่าทางขี้อาย แต่ก็มีความมุ่งมั่นบางอย่าง เขาแอบชอบเพื่อนของอาโออิ และแอบติดตามเธออยู่บ่อยๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่กล้าเข้าไปพูดคุยกับเธอสักครั้ง เขาเลยพุ่งเป้าไปที่อาโออิแทน เพื่อให้ช่วยเป็นสะพานให้ อาโออิบอกว่าจะช่วยก็ได้ แต่ต้องมีค่าตอบแทน เพราะเธอต้องการใช้เงิน จากจุดนี้เองที่ทำให้ทั้งสองกลายมาเป็นเพื่อนกัน คอยช่วยเหลือกัน โดยเฉพาะกับสิ่งที่อาโออิสนใจ  นั่นคือภาพยนตร์ ที่เธอตั้งใจสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของเธอเอง

ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างโทโทยะและอาโออิไม่ได้มีความหวือหวาแม้แต่น้อย แต่กลับชวนให้เราเก็บเกี่ยวความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองไว้ เมื่อความรู้สึกที่อยู่ในใจฝ่ายหนึ่งมีน้ำหนักมากขึ้นทุกวัน และเริ่มยากที่จะเก็บงำไว้ สุดท้ายแล้วอาโออิก็จากไป แต่ก่อนไปเธอได้ทิ้งอะไรบางอย่างไว้บางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าหัวใจของเธอ

Architecture 101 (2012)

การหวนกลับมาพบกันมักพาให้เราย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น

ทุกปีจะมีคนพูดถึง Architecture 101 อยู่เสมอ แม้จะเป็นภาพยนต์นอกสายตาที่ไม่ได้มีนักแสดงหรือผู้กำกับฯ ที่โดดเด่นนักในบ้านเรา แต่ก็การันตีด้วยรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม พร้อมขึ้นอันดับหนึ่งของบ็อกซ์ออฟฟิศเกาหลีทันทีที่เข้าฉาย

เรื่องเริ่มด้วย อีซึงมิน สถาปนิกวัย 35 ปี ที่ได้รับการร้องขอเป็นพิเศษจากลูกค้าคนหนึ่งให้ช่วยสร้างบ้าน ทำให้เขาได้กลับมาพบ ยังซอยอน เพื่อนเก่าสมัยมหาวิทยาลัย พวกเขาห่างหน้าหายตาไปจากกันนานกว่า 15 ปี ซึ่งถือเป็นช่องว่างที่ใหญ่มากสำหรับแต่ละคน ซึงมินเกือบจะปฏิเสธไม่รับงานนี้ แต่สุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้ การพบกันระหว่างเขากับเธอจึงดำเนินต่อไป พ่วงมาด้วยเรื่องเล่าตามรายทางของชีวิต ซอยอนหย่ากับสามีแล้ว แต่ไม่มีลูก ส่วนซึงมินกำลังคบหาอยู่กับเพื่อนร่วมงาน และวางแผนจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศด้วยกันหลังการแต่งงาน  

จากนั้นภาพยนตร์ก็ตัดสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ย้อนไปในวัยที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในชั้นเรียนวิชาสถาปัตยกรรมขั้นพื้นฐาน ซึงมินเป็นลูกชายของแม่ค้า ฐานะไม่สู้ดี นิสัยเด๋อๆ บวกขี้กลัวหน่อยๆ ผิดกับซอยอน หญิงสาวที่เต็มไปด้วยความสดใส มั่นใจ ทะเยอทะยาน ความสนิทสนมของทั้งคู่เกิดขึ้นเมื่อซอยอนต้องขอความช่วยเหลือจากซึงมินในการสำรวจพื้นที่ จนมาเจอบ้านโบราณแห่งหนึ่ง บ้านที่จะเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของเรื่องราวในครั้งนั้น บ้านที่ทำให้ทุกอย่างล่มสลาย บ้านที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยที่คิดว่าจะไม่หวนนึกถึงอีก

การนัดหมายและคำสัญญาหลุดหายไป

การตัดสลับช่วงเวลาหรือสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เคยมีร่วมกันระหว่างทั้งสองฝ่าย เป็นตัวค่อยๆ ปลดล็อก และสร้างเหตุผลรองรับตัวละครได้เป็นอย่างดี การกลับมาพบกันในช่วงที่ต่างฝ่ายเติบโตขึ้น นิ่งขึ้น บางคนก็อาจคาดหวังในการเปลี่ยนแปลง ว่าจะมีโอกาสสมหวังมากแค่ไหนกับการกลับมาค้นหาคำตอบที่หายไป

ช่วงโค้งสุดท้ายของภาพยนต์ยิ่งดุเดือด มันอาจทำให้คุณเจ็บปวดร่วมไปกับเขาและเธอ เพราะแม้แต่เวลาก็อาจรับประกันได้ว่ามันจะช่วย หรือไม่ช่วยให้อะไรเปลี่ยนไป

Schoolgirl Complex (2013)

เรื่องราวความสัมพันธ์ซับซ้อนที่เกิดขึ้นในโรงเรียนหญิงล้วน รับบทแสดงนำโดยสองสาวอย่าง โมริคาวะ อาโออิ (รับบท มานามิ ชินทานิ) และคาโดวากิ มุกิ (รับบท มิตสึซึกะ ชิยูกิ

มานามิประธานชมรมวิทยุชั้น .6 ที่กำลังวุ่นกับการเตรียมตัวจัดงานเทศกาลของโรงเรียนก่อนจบการศึกษา ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจนกระทั่งการปรากฏตัวของสมาชิกใหม่อย่างชิยูกิ เพื่อนๆ ในชมรมไม่พอใจนักที่ชิยูกิเข้ามาในเวลานี้ และอุปนิสัยของชิยูกิเองก็ไม่เป็นมิตรกับคนอื่นนัก ทำให้บรรยากาศในชมรมเปลี่ยนไป แต่มานามิดูจะให้ความเอ็นดูชิยูกิเป็นพิเศษ

หากจะมีเหตุผลสักข้อว่าทำไมมานามิถึงทำแบบนั้น คำตอบอาจเป็นเพราะความบังเอิญที่เธอเห็นชิยูกิกับฟุตาบะหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม มานามิให้ความสนใจกับทั้งคู่จนผู้ชมอย่างเราจับสังเกตได้ แต่ชิยูกิเองก็ไม่โง่จนไม่ทันเห็นจุดนี้ของมานามิเช่นกัน นี่จึงเป็นสาเหตุให้ชิยูกิย้ายมาอยู่ชมรมเดียวกับมานามิ หากมองเป็นเส้นตรงจากมุมนี้ เราคงเข้าใจว่ามานามิและชิยูกิต่างชอบพอกัน แต่เบื้องลึกเบื้องหลังมีความซับซ้อนมากกว่านั้น ซึ่งตัวแปรสำคัญคือฟุบาตะ

ความน่าค้นหาของเนื้อเรื่องเป็นสิ่งที่ภาพยนตร์ไม่ได้บอกออกมาตรงๆ แต่ต้องเก็บรายละเอียดตามรายทาง เพื่อให้เข้าใจว่าแต่ละคนมีความรู้สึกหรือนึกคิดอะไรอยู่ อาทิ ความลับและการเข้ามาของชิยูกิ ความสับสนของวัยรุ่น กำแพงของคำว่าเพื่อน จุดเล็กจุดน้อยเหล่านี้จะเผยความลับให้เราปะติดปะต่อได้ว่าลึกๆ ในใจของแต่ละคนคิดอะไรกันแน่ โดยเฉพาะเรื่องราวระหว่างมานามิกับฟุบาตะ ที่จะก่อให้เกิดความพลิกผันและเซอร์ไพรส์คนดูอย่างแน่นอน และถึงแม้ภาพยนตร์ดูจะโฟกัสเรื่องราวรักใคร่ในโรงเรียนหญิงล้วน แต่แกนที่แท้คือมิตรภาพอันงดงามของเพื่อนในช่วง Coming of Age เสียมากกว่า

Just Only Love (2019)

Just Only Love ดัดแปลงมาจากนวนิยาย Ai ga Nanda ของมิซึโยะ คาคุตะ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2003 ซึ่งผู้ที่หยิบหนังสือเล่มนี้มาถ่ายทอดใหม่ก็คือ ริกิยะ อิมาอิซูมิ ผู้กำกับฯ ที่ได้รับการยกย่องในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์โรแมนติกของวัยหนุ่มสาว

ในบทสัมภาษณ์ชิ้นหนึ่ง ผู้ถามตั้งคำถามผู้กำกับฯ เกี่ยวกับคนญี่ปุ่นที่มักไม่พูดถึงความรู้สึกตรงๆ แม้ขณะที่สารภาพรักก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้สร้างความลำบากให้ริกิยะเช่นกันในแง่ของการเตรียมคำบรรยายภาษาอังกฤษ เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ใช้คำตรงๆ อย่างฉันชอบคุณหรือฉันรักคุณแต่เป็นการพูดว่าฉันเข้ากับคุณทำนองนั้นแทน เพื่อคงความคลุมเครือไว้ 

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้คนส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกกลางๆ แต่มันทำให้เราเข้าใจมุมของคนที่ทุ่มเทให้กับความรักอย่างไม่สนใจอะไร เข้าใจคนที่แค่อยากมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน แต่ไม่ได้อยากเป็นคนรัก (กับคนที่เขารู้แน่ๆ ว่าไม่รักตอบ) ขณะเดียวกัน บางทีเขาก็ไม่ต่างจากเธอ ที่วิ่งหาความรักอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง

เทรุโกะ ยามะดะ พนักงานออฟฟิศสาวที่บังเอิญไปเจอกับ มาโมรุ ทานากะ หนุ่มกองบรรณาธิการ ในงานแต่งงานของเพื่อน ทั้งคู่แทบจะเป็นคนแปลกหน้าภายในงานนี้ด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้สนิทสนมกับคู่บ่าวสาว พวกเขาจึงอยู่ท่ามกลางคนไม่คุ้นเคย และมาลงเอยนั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน แรกเริ่มเทรุโกะไม่ได้สนใจมาโมรุด้วยซ้ำ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็หลงรักเขาเข้าเต็มประตู

มาโมรุไม่ได้ปฏิเสธเทรุโกะ ความสัมพันธ์ของทั้งสองไปได้ด้วยดีในตอนแรก แม้จะไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าคบกัน แต่ทั้งคู่ก็กินข้าวด้วยกัน อยู่ด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน จนกระทั่งมาโมรุรู้สึกว่าพื้นที่ส่วนตัวของเขาถูกรุกล้ำ เขาไม่ได้บอกกับเทรุโกะตรงๆ แต่ใช้วิธีการปฏิเสธทางอ้อม ส่วนเทรุโกะนั้นยังคงเฝ้ารักเขาต่อไป คอยรอสายเรียกเข้า และมักพุ่งตัวทันทีเมื่อมาโมรุเรียกไปหา เธอทุ่มเทอย่างไร้ความหมาย จนที่สุดเขาไปหลงรักผู้หญิงคนอื่นเรื่องราวดำเนินไปบนความสัมพันธ์หลากคู่ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคนถูกรักและไม่ถูกรัก 

ความรักหมุนรอบตัวเราก็จริง แต่บางทีมันหมุนไปโดยไม่เคยหยุดอยู่ที่เราเลย

The Half of It (2020)

ภาพยนตร์แนว Coming of Age ที่ได้ชื่อเรื่องมาจาก Symposium ของเพลโต ปรัชญาความรักอันโด่งดัง ซึ่งไม่ได้หยิบมาเพียงชื่อเรื่องเท่านั้น แต่ยังมีบทพูดเปิดในเรื่องราวเริ่มต้นของภาพยนตร์ด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นฝีมือของ อลิซ วู ผู้กำกับฯ เชื้อสายเอเชียนอเมริกัน หลังจากที่เดบิวต์ภาพยนตร์เรื่องแรกไปเมื่อ 16 ปีก่อน วูก็ไม่ได้มีผลงานอื่นอีกเลยจนกระทั่งปีนี้

คราวก่อนวูก็ได้นำเสนอเรื่องความสัมพันธ์ของเลสเบียนเช่นเดียวกัน และได้รับคำชมไปแบบเต็มๆ แต่คราวนี้เธอมาพร้อมกับตัวละครที่เด็กลงกว่าเดิม ดังนั้นภาวะที่ตัวละครประสบก็จะมีความว้าวุ่นเป็นสีสันเพิ่มเข้ามา

เอลลี่ ชู เด็กสาวชาวเอเชียที่อาศัยอยู่กับพ่อสองคนในเมืองเล็กๆ ชื่อว่าสควอมิช เธอเป็นเด็กเรียนเก่ง ค่อนข้างเงียบ และไม่ค่อยมีเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็เข้าหาเธอตลอด เพราะชูรับจ้างเขียนรายงานให้เพื่อนเป็นรายได้เสริม เพราะอยากช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้านลงบ้าง แล้วอยู่ๆ พอลก็เข้ามาจ้างให้เธอเขียนจดหมายรักถึงเอสเธอร์ หญิงสาวหน้าตาสะสวยพอจะทำให้ทุกคนตกหลุมรัก ซึ่งแน่นอนว่าชูก็เป็นหนึ่งในนั้น

ชูรับงานเขียนจดหมายรักครั้งนี้เพราะจำเป็นต้องใช้เงิน และพอลเองก็ทื่อจนเรียกว่าน่าสงสารก็ว่าได้ ความจริงเอสเธอร์มีแฟนแล้ว แต่เธอก็เบื่อหน่ายกับความจำเจหลายอย่างในชีวิต เมื่อมาเจอพอลจากสำบัดสำนวนในจดหมายซึ่งเขาไม่ได้เขียนเอง เอสเธอร์เริ่มเกิดความหวั่นไหวและสนใจในตัวพอลขึ้นมา ทางฝั่งชูก็ได้แต่เก็บงำความในใจไว้ และพยายามทุกวิถีทางในการช่วยพอล ซึ่งมันก็กลายเป็นการทิ่มแทงใจตัวเธอไปด้วยพร้อมกัน

หากมองเผินๆ เราคงนึกว่านี่คือภาพยนตร์รักสามเส้าที่ต้องมีใครสักคนนอนร้องไห้น้ำตานองหน้าแน่ๆ แต่ภาพยนตร์กลับใจดีมากกว่านั้น โดยหันไปให้น้ำหนักกับความสัมพันธ์ที่ไม่ทำร้ายกันแทน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก เพื่อนเพื่อน ครูนักเรียน และความฝันที่แต่ละคนอยากจะไขว่คว้าไว้ก่อนจะทำให้ตัวเองต้องเสียใจไปมากกว่านี้

Tags: , , , ,