1.
สำหรับคอเกม อาจคุ้นเคยกับ ‘กษัตริย์โซโลมอน’ และเหล่าปีศาจอีก 72 ตน ที่มีการแบ่งเป็นลำดับชั้นต่างๆ เช่น คิง ปรินซ์ มาร์ควิส เอิร์ล ไนต์ หรือเพรสิเดนต์ ซึ่งหลายคนเชื่อกันว่าน่าจะเป็นเรื่องที่แต่งเติมขึ้นมาทีหลัง อย่างเร็วสุดก็ในราวศตวรรษที่ 14 ที่สำคัญก็คือ ในนิทานพันหนึ่งราตรีของอาหรับ ซึ่งมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับยักษ์จีนี่ในตะเกียงวิเศษ ก็ว่ากันว่าเป็นกษัตริย์โซโลมอนนี่เองที่ขังเจ้ายักษ์เอาไว้ในตะเกียงนั้น
บางคนอาจคุ้นกับชื่อของกษัตริย์โซโลมอน (หรืออิหม่ามสุลัยมาน ตามพระคัมภีร์อัลกุรอาน) ว่าเป็นกษัตริย์ผู้ทรงปัญญา เพราะมีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ (ถ้าเป็นไบเบิลก็จะเป็นหนังสือ พงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1) ที่เล่าว่าโซโลมอน (หรือซาโลมอน) ได้อุทิศตัวเองต่อ ‘พระยาห์เวห์’ (ซึ่งต่อมาก็คือ ‘พระเจ้า’ ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในศาสนาคริสต์ – แต่นักวิชาการศาสนาบางกลุ่มตั้งข้อสังเกตว่า ในเวลานั้น พระยาห์เวห์อาจเป็นเพียงเทพเจ้าองค์หนึ่งในหลากหลายองค์ก็ได้) จนทำให้พระยาห์เวห์มอบสติปัญญาชั้นเลิศให้กับโซโลมอน
ในพระคัมภีร์ยังกล่าวไว้ด้วยว่า โซโลมอนนั้นเป็นกษัตริย์ที่ ‘รวย’ เอามากๆ ทรงปกครองชนชาติอิสราเอลอยู่ราว 40 ปี และถือเป็น 40 ปีแห่งความมั่งคั่ง ประมาณว่า โซโลมอนมีทองคำเก็บเอาไว้มากถึง 18,125 กิโลกรัม (หรือ 666 ทาเลนต์ อันเป็นหน่วยวัดในยุคโน้น) และข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างนั้นล้วนหรูหราอย่างยิ่ง สิ่งที่ร่ำลือกันก็คือวิหารของโซโลมอนและบัลลังก์ของโซโลมอนที่ยิ่งใหญ่ไม่เหมือนใคร
ในอีกด้านหนึ่ง ยังมีบันทึกเอาไว้อีกว่า โซโลมอนคือกษัตริย์ผู้ ‘มากเมีย’ อย่างยิ่ง เพราะทรงมีชายามากถึง 700 องค์ แล้วก็มีนางในอีก 300 คน รวมแล้วนับเป็นหลักพันกันเลยทีเดียว
เพราะฉะนั้น โซโลมอนจึงเป็นกษัตริย์ที่น่าจะ ‘พิเศษ’ อย่างมากในประวัติศาสตร์กษัตริย์ อย่างน้อยก็ในคัมภีร์ไบเบิล เพราะทรงทั้งมากเมีย มากเงิน มากปัญญา และมากปีศาจด้วย
คำถามก็คือ โซโลมอนมีตัวตนจริงหรือเปล่า?
2.
โซโลมอนมีตัวตนจริงไหม เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรงในทางประวัติศาสตร์ เรียกว่า Historicity of Solomon ซึ่งนอกจากจะเถียงกันว่าโซโลมอนมีตัวตนจริงไหมแล้ว ยังเถียงลึกลงไปในหลายประเด็น เช่นว่า ต่อให้มีตัวตนจริง แต่เป็นกษัตริย์จริงไหม หรือหากเป็นกษัตริย์จริง ก็แล้วทั้งหมดนี้คือเรื่องของคนคนเดียวหรือกษัตริย์องค์เดียวจริงหรือ หรือว่าด้วย ‘วิธีเขียน’ ของไบเบิลที่มีลักษณะสลับซับซ้อน มีผู้เขียนมากมายหลายราย และมีการชำระรวบรวมหลายครั้ง จะทำให้โซโลมอนเป็นได้เพียงร่องรอยของเรื่องเล่าเท่านั้น
แต่ถ้าเชื่อตามพระคัมภีร์ไบเบิล (เอาไว้ก่อน) ก็ต้องถือว่าโซโลมอนมีตัวตนจริง โดยเป็นลูกของกษัตริย์ดาวิด (ผู้สังหารยักษ์โกไลแอธ) กับบาธชีบา (Bathsheba) ผู้เป็นมเหสี (ซึ่งจริงๆ ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเดวิดกับบาธชีบาที่ซับซ้อน และแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานศีลธรรมที่น่าวิพากษ์อีกเหมือนกัน แต่เนื่องจากไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่ขอเอ่ยถึงในที่นี้)
โซโลมอนเกิดในเยรูซาเล็ม ประมาณว่าน่าจะเกิดในราว 990 ปีก่อนคริสตกาล (และตายราว 931 ปีก่อนคริสตกาล เมื่ออายุราว 58-59 ปี) เมื่อกษัตริย์เดวิดเริ่มร่วงโรยเพราะสังขาร มีความพยายามเสนอตัวจากหลายฝ่ายในการขึ้นครองบัลลังก์ต่อ แต่สุดท้ายบัลลังก์ก็มาตกอยู่ที่โซโลมอน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกชายคนโตก็ตาม นั่นเพราะบาธชีบาไปขอคำสัญญาจากเดวิดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โซโลมอนจึงได้กลายเป็นกษัตริย์ตั้งแต่อายุยังน้อย คือราว 15 ปี
โซโลมอนเริ่มต้นยุคสมัยของตัวเองด้วยการกวาดล้างบรรดาผู้มีอิทธิพลเก่าๆ รวมไปถึงเหล่าทหารที่เคยรับใช้ใกล้ชิดเดวิด พ่อของตัวเองด้วย แล้วต่อมาก็แต่งตั้งบรรดาสหายที่รู้ใจทั้งหลายเข้ามาดูแลตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งในด้านการบริหารงานและด้านการทหาร ซึ่งถือได้ว่าเขามีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะทหารม้า รวมทั้งก่อตั้งสถานีการค้าตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆ ด้วย โดยเฉพาะการค้ากับฟินิเซีย ซึ่งสร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้ เพราะร่วมมือกันออกไปสำรวจโลกเพื่อค้นหาสิ่งหรูหราต่างๆ เช่น ทองคำ เงิน ไข่มุก งาช้าง ฯลฯ
…กษัตริย์ซาโลมอนทำโล่ใหญ่สองร้อยอัน แต่ละอันดาดทองคำหนักเกือบเจ็ดกิโลกรัม
…พระองค์ยังทรงทำพระที่นั่งขนาดใหญ่บุด้วยงาช้างและทองคำเนื้อดี
…ถ้วยทั้งสิ้นของกษัตริย์ซาโลมอนทำด้วยทองคำ เครื่องใช้ทั้งหมดในท้องพระโรงเลบานอนไพรล้วนเป็นทองคำบริสุทธิ์ ไม่ใช้เงินเลย
จากพระคัมภีร์ไบเบิล พงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1
ที่บอกว่าโซโลมอนมีทองคำมากถึง 18,125 กิโลกรัมนั้น พระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพงศ์กษัตริย์ (10:14) บอกไว้ว่า เป็นการหามาได้ภายในเวลาหนึ่งปีเท่านั้นเอง (นั่นแปลว่าจะต้องมีมากกว่านี้อีก) ที่สำคัญก็คือ ก่อนหน้าโซโลมอน เดวิดเคยให้คนรวบรวมวัสดุก่อสร้างต่างๆ เพื่อจะเอาไว้สร้างวิหารถวายแด่พระเจ้า (คือพระยาห์เวห์) แต่มาเป็นยุคของโซโลมอนนี่เอง ที่การก่อสร้างได้เริ่มต้นขึ้นจริงๆ และสามารถสร้างได้จนสำเร็จด้วย โดยวิหารของโซโลมอน (Solomon’s Temple) นั้น มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า First Temple หรือ ‘วิหารแรก’ ในกรุงเยรูซาเลม และไม่ได้ใช้ประโยชน์เฉพาะในเรื่องศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รวมตัวของชาวอิสราเอลด้วย แต่วิหารแห่งนี้ถูกทำลายลงในราวเกือบสี่ร้อยปีให้หลัง เมื่อเยรูซาเลมถูกเนบูคัดเนสซาร์ที่สอง ซึ่งเป็นกษัตริย์ของชาวบาบิโลน บุกเข้ามาพิชิตเมือง
ดังนั้น ถ้าถามว่าโซโลมอนมีตัวตนจริงไหม คำตอบในทางประวัติศาสตร์ก็คือน่าจะมีตัวตนจริง แต่ตัวตนจริงนั้นจะสอดคล้องกับตัวตนในเรื่องเล่าและตำนานหรือเปล่า ยังเป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้แน่ชัด
3.
เรื่องปีศาจของโซโลมอนนั้น ถ้าเราอ่านในไบเบิลอาจไม่พบเรื่องนี้สักเท่าไร แต่ถ้าไปอ่านคัมภีร์ที่ไม่ถูก ‘นับรวม’ ให้อยู่ในไบเบิล เช่น Apocalypse of Adam ซึ่งเป็นคัมภีร์นอสติก (Gnostic) หรือถูกมองว่าเป็นคัมภีร์นอกศาสนาที่เก่าแก่มาก น่าจะเขียนขึ้นในราวศตวรรษที่ 1 หรือ 2 พบว่ามีการเล่าถึงตำนานที่โซโลมอนได้ส่ง ‘กองทัพปีศาจ’ (Army of Demons) ออกไปตามหาหญิงพรหมจารีที่หนีพระองค์ไป
ว่ากันว่า เรื่องเล่าในคัมภีร์นี้น่าจะเป็นร่องรอยเก่าแก่ที่สุด ที่พูดถึงปีศาจของโซโลมอน ซึ่งโซโลมอนใช้อำนาจลึกลับบางอย่างควบคุมและทำให้ปีศาจกลายเป็นทาสของกษัตริย์ และต่อมาก็มีการสร้างเสริมเติมแต่งขึ้นมาจนกลายเป็นตำนานเล่าขาน
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่พระองค์ทรงส่งปีศาจออกไปตามล่าหญิงสาวพรหมจารีที่ปฏิเสธพระองค์นั้น น่าจะเชื่อมโยงถึงความ ‘มากเมีย’ ของพระองค์ได้เป็นอย่างดี และน่าจะเป็นเรื่องความมากเมียนี้เอง ที่นำกษัตริย์โซโลมอนผู้เรืองปัญญา โภคทรัพย์ และอำนาจมืด – ไปสู่ความเสื่อม
กษัตริย์โซโลมอนทรงรักหญิงต่างชาติหลายคน นอกจากราชธิดากษัตริย์อียิปต์แล้ว พระองค์ยังมีหญิงฮิตไทต์ หญิงโมอับ อัมโมน เอโดม และไซดอนด้วย พระองค์ทรงรับหญิงเหล่านี้ไว้เป็นพระมเหสีทั้งที่พระเจ้าทรงบัญชาชาวอิสราเอลไม่ให้แต่งงานกับชนชาติเหล่านี้ เพราะจะทำให้ชาวอิสราเอลเขวไปจงรักภักดีต่อพระอื่น กษัตริย์โซโลมอนทรงสมรสกับเจ้าหญิงเจ็ดร้อยองค์ และยังทรงมีพระสนมอีกสามร้อยคน หญิงเหล่านี้ทำให้พระองค์เลิกนมัสการพระเจ้า
จากพระคัมภีร์ไบเบิล พงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1
อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์มองว่า การที่โซโลมอนแต่งงานกับเจ้าหญิงอียิปต์นั้น น่าจะมีเหตุผลทางการเมืองซ่อนอยู่ด้วย เพราะน่าจะทรงอยากเป็นพันธมิตรกับอียิปต์อย่างมาก และการแต่งงานนี้ก็ช่วยกระชับความสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตนี้ใช้อธิบายการที่ทรงมีมเหสีหลากเชื้อชาติขนาดนั้นไม่ได้ เพราะแต่ละเชื้อชาติมีความขัดแย้งกันเองอยู่ การมีมเหสีมากเชื้อชาติจึงยิ่งน่าจะสร้างปัญหาและความขัดแย้งให้พระองค์
ด้วยเหตุนี้ จึงมีอีกหลายคนที่อธิบายความ ‘มากเมีย’ ของโซโลมอน ว่าไม่น่าจะเกิดเพราะเหตุผลอื่นใด นอกจากการ ‘หมกมุ่น’ ในสตรีเพศ และด้วยวาทกรรมแบบไบเบิลนั้น เมื่อนำคำว่า ‘ผู้หญิง’ มารวมกับคำว่า ‘ต่างชาติ’ ด้วยแล้ว ก็มักจะไม่ได้มีความหมายอื่น นอกจากการยั่วยวน การเป็นหญิงงามเมือง ความไม่ซื่อสัตย์ทางเพศ หรือความหมกมุ่นในกามารมณ์ อันเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความเสื่อมต่างๆ
นั่นทำให้พระเจ้าสาปแช่งโซโลมอน
เจ้าจงใจฝ่าฝืนคำสัญญาที่ทำไว้กับเรา และไม่เชื่อฟังคำสั่งของเรา เราขอปฏิญาณว่า จะเอาอาณาจักรไปจากเจ้าให้แก่ข้าราชการผู้หนึ่งของเจ้า แต่เพื่อเห็นแก่ดาวิดพ่อของเจ้า เราจะไม่ทำดังนี้ในชั่วชีวิตเจ้า แต่ให้เกิดขึ้นเมื่อลูกของเจ้าขึ้นครองประเทศ และเราจะไม่เอาอาณาจักรทั้งหมดไปจากเขา แต่จะเหลือเผ่าหนึ่งไว้ให้เขา เพราะเราเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้เรา และกรุงเยรูซาเลมที่เราเลือกไว้เป็นของเราเอง
จากพระคัมภีร์ไบเบิล พงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1
หลังยุคของโซโลมอนแล้ว ชนเผ่าอิสราเอลสิบเผ่าก็แตกกัน เกิดเป็นอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือกับอาณาจักรยูดาห์ทางใต้ขึ้นมาจริงๆ
โซโลมอนถือว่าเป็นกษัตริย์ที่อยู่ตรงจุดสูงสุดของ ‘ยุคทอง’ ของอิสราเอล และเป็นกษัตริย์ที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าขานมากมายที่สุดพระองค์หนึ่ง
Tags: World’s End, กษัตริย์โซโลมอน, Historicity of Solomon, อิสราเอล, โซโลมอน