คุณเคยรู้สึกเหงาบ้างไหม?

แล้วเคยถามตัวเองไหมว่าเหงาเพราะอะไร?

‘ความรู้สึกเหงา’ เป็นเรื่องส่วนบุคคล ดังนั้นประสบการณ์ความเหงาของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป บางคนเหงาที่ต้องอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว กินข้าวคนเดียว ไม่ได้ออกไปพบปะกับผู้คน ทว่าในทางกลับกัน บางคนคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่สบายใจที่สุด ในการเลือกที่จะอยู่คนเดียวและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องติดต่อกับคนอื่นมากนัก 

ขณะเดียวกัน บางคนอาจมีการติดต่อทางสังคมมากมายและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้นๆ แต่ยังคงรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจหรือได้รับความห่วงใยจากคนรอบข้าง เช่น การที่คุณอยู่ในสถานที่ทำงานที่เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก แต่กลุ่มคนเหล่านั้นกลับไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคุณเลย คุณเป็นเพียงผู้เฝ้ามองการมีปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งหมด ดังนั้นเมื่อความต้องการทางสังคมและความสัมพันธ์ของคุณไม่ได้รับการตอบสนอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะรู้สึกเหงา

ความเหงาเช่นนี้สอดคล้องกับการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน ‘Social Psychiatry and Psychiatric Epidemiology’ วารสารด้านจิตเวชศาสตร์และการระบาดวิทยาจิตเวชจากสหรัฐอเมริกา ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกเหงาเกี่ยวข้องกับคุณภาพของความสัมพันธ์ มากกว่าจำนวนคนในชีวิตของบุคคลนั้น ซึ่งคุณภาพในความสัมพันธ์ที่ว่านี้มีตั้งแต่การเข้าไปมีส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด ไปจนถึงการทำให้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์

จอห์น โบวล์บี (John Bowlby) จิตแพทย์ผู้ทำวิจัยทางจิตวิทยาในช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 20 เกี่ยวกับ ‘ทฤษฎีความผูกพัน’ เน้นย้ำถึงความสำคัญของความผูกพันทางอารมณ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเด็กทารกกับผู้เลี้ยงดู แนวคิดดังกล่าวก่อให้เกิด ‘ทฤษฎีความเหงาร่วมสมัย’ ที่ชี้ให้เห็นว่าความเหงาจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กเหล่านั้นมีรูปแบบความผูกพันที่ไม่มั่นคง มีพฤติกรรมที่ส่งผลให้พวกเขาถูกปฏิเสธจากเพื่อน การถูกปฏิเสธเหล่านั้นขัดขวางการพัฒนาทักษะทางสังคม และยังเพิ่มความไม่ไว้วางใจต่อผู้อื่น นำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดความเหงาอย่างต่อเนื่อง

ทฤษฎีความผูกพันยังถือเป็นรากฐานของ ‘ทฤษฎีทางจิตวิทยาเกี่ยวกับความเหงา’ ที่พัฒนาโดย โรเบิร์ต เอส. ไวสส์ (Robert S. Weiss) นักสังคมวิทยา เขาระบุว่าความเหงาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท โดยประเภทแรกคือความเหงาที่เกิดจากการแยกตัวทางอารมณ์ หมายถึงการขาดความผูกพันทางอารมณ์ที่ใกล้ชิด ส่วนใหญ่มักจะมาจากความสัมพันธ์ในรูปแบบคู่รักหรือคู่สมรส ส่วนประเภทที่ 2 คือความเหงาที่เกิดจากความโดดเดี่ยวทางสังคม หมายถึงการขาดเพื่อน ชุมชน หรือเครือข่ายทางสังคม 

เมื่อคนเราขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจทำให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวังและอ้างว้างในที่สุด

“มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีความต้องการปฏิสัมพันธ์และรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสังคม หากความต้องการดังกล่าวไม่ได้รับการตอบสนอง บุคคลนั้นจะสัมผัสกับความรู้สึกเหงาได้อย่างง่ายดาย” ไวสส์กล่าว

ความต้องการทางสังคมที่ไวสส์กล่าวมา มีอยู่ด้วยกัน 6 ประการ ได้แก่ 

1. การผูกมัด 

2. การรวมกลุ่มทางสังคม 

3. การเลี้ยงดู 

4. การกลับมามั่นใจในคุณค่าของตนเอง 

5. ความรู้สึกของการเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ 

6. การชี้แนะในสถานการณ์ที่ตึงเครียด 

โดยทั้งหมดนี้เขายืนยันว่าเพื่อนหรือมิตรภาพที่ดี สามารถเติมเต็มส่วนที่ขาดหายในบางอย่างได้ แต่ไม่สามารถทดแทนความสัมพันธ์อันลึกซึ้งในส่วนของคู่รักเพื่อขจัดความเหงาให้หมดไปได้

อีกมุมมองที่น่าสนใจ ความเหงายังถือเป็นบุคลิกภาพที่อาจนำไปสู่ผลเสียในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้ เช่น ความเหงามีความสัมพันธ์กับความวิตกกังวลทางสังคม การปิดกั้นทางสังคม ความเขินอาย ความเศร้า ความเป็นศัตรู ความไม่ไว้วางใจ และความนับถือตนเองต่ำ 

หากสังเกตพฤติกรรมของคนที่มักรู้สึกเหงาอยู่บ่อยครั้ง จะพบว่าพวกเขามี​ความสามารถในการ​สร้าง​และ​รักษา​ความ​สัมพันธ์​ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ และยังไม่สะดวกใจที่จะแบ่งปันข้อมูลหรือเรื่องราวของตัวเองให้ผู้อื่นได้รับรู้ จึงอาจเป็นที่มาของการที่กลุ่มคนเหล่านี้มักขาดความสนิทสนมกับเพื่อนและคนรอบตัว

อย่างไรก็ตาม ความเหงาที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยกำลังประสบพบเจอ ไม่นับว่าเป็นปัญหาด้านสุขภาพจิต ตามที่ มายด์ (Mind) องค์กรการกุศลด้านสุขภาพจิตในประเทศอังฤษ ได้ระบุเอาไว้ว่า ความรู้สึกเหงาไม่ได้ถือว่าเป็นปัญหาสุขภาพจิตโดยตรง แต่ทั้ง 2 อย่างนี้เชื่อมโยงกันอยู่

การมีปัญหาทางสุขภาพจิตสามารถเพิ่มโอกาสที่จะทำให้รู้สึกเหงาได้ ตัวอย่างเช่น คนที่มีปัญหาสุขภาพจิตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจเป็นเรื่องยากที่จะปรึกษาปัญหากับผู้อื่น หรือคนที่กำลังประสบกับโรควิตกกังวลทางสังคม มักรู้สึกลำบากใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ โดยความรู้สึกเหล่านี้อาจนำไปสู่การขาดการเชื่อมโยงทางสังคม และกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเหงา 

ในกรณีของคนที่จิตใจและความมั่นคงทางอารมณ์อยู่ในสภาวะปกติ หากรู้สึกเหงาสะสมเป็นเวลานาน ก็มีโอกาสส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต รวมถึงภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล ความนับถือตนเองต่ำ ปัญหาการนอนหลับ และความเครียดที่เพิ่มขึ้น

หากมนุษย์ไม่อาจหลีกหนีจากวงจรความเหงาได้ การยอมรับและทำความเข้าใจจะเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาช่วงเวลาอันขมขื่น ดังที่ จอห์น คาซิออปโป (John Cacioppo) ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความเหงา จากมหาวิทยาลัยชิคาโก รัฐอิลลินอย สหรัฐอเมริกา ได้ให้เหตุผลว่าสังคมในปัจจุบันให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกนิยม และพึ่งพาตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้จะผลักดันให้แต่ละคนกลายเป็นคนที่โดดเดี่ยว ปฏิเสธที่จะยอมรับความเหงาเมื่อต้องประสบกับความรู้สึกดังกล่าว 

เป็นเพราะความเหงาถูกตีตราไว้เทียบเท่ากับการเป็นผู้แพ้หรือคนอ่อนแอ นั่นหมายความว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะปฏิเสธความรู้สึกเหงาสูงขึ้นเรื่อยๆ และอาจนำไปสู่การแสวงหาความโดดเดี่ยวในที่สุด 

 “ขั้นตอนแรกในการต่อสู้กับสภาวะทางอารมณ์นี้ คือการตระหนักว่าสิ่งที่เรารู้สึกคือความเหงา อย่างที่ 2 ทำความเข้าใจว่ามันส่งผลอย่างไรต่อสมอง ร่างกาย และพฤติกรรมของคุณ” 

เมื่อตระหนักได้ถึงความรู้สึกของตนเอง และเข้าใจว่ามันอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และพฤติกรรม ศาสตราจารย์คาชิออปโปแนะนำให้รับมือกับความเหงาด้วยการสร้างและกระชับความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นผ่านการพูดคุย ปรึกษา และแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ กับคนที่น่าเชื่อถือและไว้ใจได้

สุดท้ายหากไม่ลำบากใจจนเกินไป การลองออกไปทำกิจกรรมที่ชอบร่วมกับคนอื่นๆ ก็ถือเป็นวิธีที่จะช่วยลดภาวะทางอารมณ์ดังกล่าวได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ไม่มีวิธีการจัดการกับความเหงาแบบใดที่เหมาะกับทุกคน แต่การได้พยายามทดลองทำก็นับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า เพื่อจะได้พบว่าอะไรทำให้คุณรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้คนรอบตัวคุณได้ดีขึ้น 

ที่มา

https://www.britannica.com/science/loneliness

https://www.mind.org.uk/information-support/tips-for-everyday-living/loneliness/about-loneliness/

https://www.medicalnewstoday.com/articles/320534#Lay-off-social-media

https://www.scirp.org/journal/paperinformation.aspx?paperid=84597

https://www.everydayhealth.com/loneliness/

Tags: , , ,