วันที่ 3 พ.ย. นี้ ที่สหรัฐอเมริกา จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ 59 ในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ โดยการเลือกตั้งในครั้งนี้ จะเป็นเวทีแข่งขันกันระหว่างตัวแทนจาก 2 พรรคการเมืองคนสำคัญ คือ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จากพรรครีพับลีกัน และโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดี จากพรรคเดโมแครต

การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เป็นการเลือกตั้งที่จัดขึ้นทุก 4 ปี ในครั้งนี้ตรงกับวันที่ 3 พ.ย. โดยตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ถือเป็นตำแหน่งผู้นำทางการเมือง ที่มีความสำคัญ และมีอิทธิพลมากที่สุดตำแหน่งหนึ่งของโลก

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีในสมัยนายบารัค โอบามา และเป็นผู้อยู่ในแวดวงการเมืองสหรัฐฯ มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1970 ได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ

สิ่งที่น่าสนใจคือ การชิงตำแหน่งในครั้งนี้ จะเป็นการชิงตำแหน่งของโจ ไบเดน อายุ 77 ปี และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อายุ 74 ปี ซึ่งถ้าคนใดคนหนึ่งชนะ สหรัฐฯ จะได้ประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดอีกครั้ง สูงกว่าสถิติเดิมคราวที่แล้ว ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เข้ามารับตำแหน่งในวัย 70 ปี

ตอนประกาศรับตำแหน่ง โจ ไบเดน ได้ประกาศแคมเปญหาเสียง “BATTLE for the SOUL of the NATION” หรือการต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณแห่งชาติ โดยบอกว่า จะยุติฤดูกาลแห่งความมืดมิด และนำประเทศไปสู่แสงสว่าง จะเป็นผู้รวมสหรัฐฯ เป็นเอกภาพหลังทรัมป์สร้างความแตกแยกในช่วง 4 ปีที่เป็นผู้นำ  เป็นประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทั้งมวล และจะนำสหรัฐฯ กลับสู่บทบาทผู้นำโลกดังเดิม

ในเรื่อง โควิด-19 ซึ่ง ไบเดนระบุว่า ถ้าชนะเลือกตั้ง จะใช้ยุทธศาสตร์ชาติต่อสู้โควิด-19 ตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง และจะร่วมมือกับชาติพันธมิตร พร้อมยุติความสัมพันธ์กับเหล่าผู้นำเผด็จการที่ทรัมป์ได้เคยสร้างไว้

ซึ่งได้มีนักวิเคราะห์การเมืองในต่างประเทศ เปรียบเทียบการหาเสียงของโจ ไบเดน กับการหาเสียงของอดีตประธานาธิบดีคนที่ 29 ของสหรัฐฯ Warren G Harding ที่ใช้คำขวัญในการหาเสียง “return to normalcy” ในปี 1920 เพื่อมุ่งเป้าไปที่การฟื้นฟูประเทศให้กลับไปเป็นปกติ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1

ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมาตอบโต้ว่า ตลอดเวลา 47 ปี ที่ไบเดนเป็นนักการเมืองไม่เคยทำอะไรอย่างที่พูดในวันนี้ และจะไม่มีวันเปลี่ยน

สำหรับผลการสำรวจความเห็น ประชาชนทั่วประเทศในปัจจุบัน จาก Real Clear Politics ระบุว่า โจ ไบเดน มีคะแนนนิยมนำหน้าประธานาธิบดีทรัมป์ เกือบตลอดทั้งปี โดยมีคะแนนนิยมอยู่ที่ประมาณ 50% ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์ มีคะแนนตามหลังอยู่ที่ 42.4% ประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มมีคะแนนเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้กระบวนการที่เรียกว่า Electoral College หรือ คณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งผู้ที่จะได้เป็นประธานาธิบดีต้องได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Voter) ของรัฐต่างๆ รวมกันอย่างน้อย 270 เสียง จากจำนวนทั้งสิ้น 538 เสียง แต่ละมลรัฐจะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน เพราะขึ้นกับจำนวนประชากรของรัฐนั้น

หากผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใดได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่จากประชาชน ในรัฐ ผู้สมัครคนนั้นจะได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) ทั้งหมดของรัฐนั้นๆ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ได้รับคะแนนเสียงจากผู้เลือกตั้งมากที่ สุดจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี