มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส หรือ UCLA ได้ยกเลิกแผนนำระบบจดจำใบหน้ามาใช้ เนื่องจากเสียงคัดค้านของนักศึกษาเกี่ยวกับการรุกล้ำความเป็นส่วนตัว รวมถึงอคติทางเชื้อชาติที่แฝงอยู่ในระบบ
ปีที่แล้ว คณะผู้บริหารของ UCLA วางแผนที่จะนำระบบจดจำใบหน้ามาใช้กับกล้อง CCTV ของมหาวิทยาลัยเพื่อความปลอดภัย แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มนักศึกษาผ่านหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย Daily Bruin ว่าระบบดังกล่าวจะละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของนักศึกษาอย่างรุนแรง และจะนำไปสู่สภาพแวดล้อมที่น่าหวาดหวั่นในมหาวิทยาลัย
หนึ่งในกลุ่มที่ต่อต้านการนำระบบดังกล่าวมาใช้ Fight for the Future ได้ย้ำถึงความไม่มีประสิทธิภาพของระบบดังกล่าว โดยได้ทดลองนำนำระบบจดจำใบหน้า Rekognition ที่พัฒนาโดยบริษัทแอมะซอน มาแสกนรูปที่เผยแพร่เป็นสาธารณะนักกีฬามหาวิทยาลัย และอาจารย์หลายท่านใน UCLA ก่อนนำมาเปรียบเทียบกับรูปภาพในคลังประวัติข้อมูล ผลปรากฏว่าจากรูปทั้งหมด 400 รูปภาพ ระบบทำงานพลาดถึง 58 ครั้ง และส่วนใหญ่มักผิดพลาดกับบุคคลที่ไม่มีอะไรคล้ายคลึงกันสักนิด นอกจากเชื้อชาติ
ทั้งนี้ อัลกอริทึมของระบบจดจำใบหน้าได้รับการพิสูจน์มาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าไม่ได้มาตรฐาน และมีอคติทางเชื้อชาติและเพศแฝงอยู่ในระบบ
เมื่อปลายปีที่แล้ว สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งสหรัฐอเมริกา (NIST) เอง ก็เคยออกมายืนยันว่า ระบบดังกล่าวเต็มไปด้วยความผิดพลาด โดยชาวอเมริกันพื้นเมือง คนผิวสี และชาวเอเชียเป็นกลุ่มที่ระบบมักจดจำผิดพลาดบ่อยที่สุด ระบบยังมักจดจำใบหน้าของเพศหญิงผิดพลาดบ่อยกว่าเพศชาย โดยระบบจดจำใบหน้าผู้หญิงอเมริกันพื้นเมืองผิดพลาดมากกว่า 68 เท่าของที่ผิดพลาดกับชายผิวขาว
ก่อนหน้านี้ นักศึกษา ศิษย์เก่า อาจารย์มหาวิทยาลัย และนักกิจกรรมรวมกันหลายพันคนทั่วสหรัฐฯ ได้นัดหมายกันในวันที่ 2 มีนาคม เพื่อยื่นรายชื่อของผู้คัดค้าน และจดหมายเปิดผนึกถึงทุกมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ ที่วางแผนจะนำระบบดังกล่าวไปใช้ ซึ่ง UCLA ก็เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยเหล่านั้น
อีวาน เกรียร์ รองประธานกลุ่ม Fight for the Future กล่าวกับ Motherboard ว่า “ให้ครั้งนี้เป็นบทเรียนแก่พวกผู้บริหารมหาวิทยาลัย ถ้ายังพยายามทดสอบระบบที่เต็มไปด้วยอคติทางเชื้อชาติ และมุ่งรุกล้ำความเป็นส่วนตัวกับมหาลัยใดก็ตาม เราจะมาหาพวกท่าน และเราจะไม่มีทางแพ้”
อ้างอิง:
ภาพจาก: Reuter
Tags: ความเป็นส่วนตัว, นักศึกษา, UCLA, ระบบจดจำใบหน้า, อคติทางเชื้อชาติ