เมืองเอล ปาโซ รัฐเท็กซัส เคยเป็นหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยที่สุดของสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะเกิดเหตุกราดยิงเมื่อวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 20 คนและบาดเจ็บ 26 คน เมืองชายแดนทางตอนใต้นี้มีประชากร 80% จากทั้งหมด 680,000 คนเป็นคนเชื้อสายลาตินอเมริกาหรือฮิสแปนิก
นายอำเภอริชาร์ด ไวลส์ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กของเขาว่า ผู้ต้องสงสัยว่าก่อเหตุเป็นชายแองโกลเดินทางมา 600 ไมล์ จากเมืองดัลลัสเพื่อฆ่าคนเพราะสีผิว
เมืองนี้ได้รับความสนใจในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เพราะรัฐบาลทรัมป์มักพูดถึงเมืองนี้ว่าเป็นแนวหน้าของความขัดแย้งที่ชายแดน ทรัมป์ออกแคมเปญที่เรียกชาวเม็กซิกันผู้อพยพเข้าเมืองว่า ‘นักข่มขืน’ และผู้ค้ายาเสพติด และตีตราว่าการอพยพของชาวอเมริกากลางเป็นการบุกรุก
แพทริก ครูเซียส มือปืนผู้ก่อเหตุได้เผยแพร่คำประกาศเหยียดสีผิวและต่อต้านผู้อพยพเข้าเมือง ก่อนที่จะก่อเหตุ เอกสารนั้นเป็นการเตือนว่าระวังพวกฮิสแปนิกบุกเท็กซัส ภาษาที่เขาใช้ถูกมองว่าได้รับอิทธิพลจากทรัมป์
ทรัมป์ถูกวิจารณ์ว่าเขาซึ่งเป็นประธานาธิบดีเป็นผู้สร้างความเกลียดชังต่อผู้ที่มีเชื้อสายฮิสแปนิก การใช้คำพูดและภาษาที่เขาแสดงออกมามีส่วนทำให้เกิดเหตุสังหารหมู่นี้ขึ้นมา เมื่อเดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมปีที่แล้ว ทรัมป์พูดเตือนซ้ำๆ ว่า อเมริกากำลังถูกโจมตีโดยผู้อพยพเข้าเมืองที่ชายแดน “ดูสิว่าอะไรกำลังเดินขบวนเข้ามา มันคือการบุกรุก!”
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม ทรัมป์กล่าวชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย และแสดงความเสียใจต่อเหยื่อ ส่วนสมาชิกพรรคเดโมแครตต่างกล่าวโทษทรัมป์ว่าเขาได้สนับสนุนลัทธิรุนแรงสุดโต่ง ด้วยภาษาที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง
ไม่กี่สัปดาห์ก่อน ทรัมป์ได้ทวีตข้อความเหยียดสีผิวสมาชิกคองเกรสจากพรรคเดโมแครต 4 คน และเมื่อเดือนกรกฎาคมเขาไม่สามารถหยุดผู้สนับสนุนของเขาให้พูดว่า “ส่งเธอกลับไป” กับอิลฮาน โอมาร์ สมาชิกสภาคองเกรสที่เป็นชาวแอฟริกันอเมริกัน
นอกจากนี้ทรัมป์ยังสนับสนุนกลุ่มต่อต้านผู้อพยพเข้าเมือง เช่น สมาคมปฏิรูปผู้อพยพอเมริกัน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเกลียดชัง เขายังสนับสนุนกลุ่มนักกิจกรรม ทนายความ และอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่มีแนวคิดต่อต้านผู้อพยพ เขายังเลื่อนขั้นให้กับสตีเฟน มิลเลอร์ ผู้ต่อต้านการอพยพเข้าเมืองให้รับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกฎหมายคนเข้าเมือง
วุฒิสมาชิกโจควิน คาสโตร พรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นประธานสภาฮิสแปนนิกคอคัสกล่าวว่า เขากังวลว่าลูกหลานของเขาอาจกลายเป็นเหยื่อของการกราดยิงก็ได้ “เป็นเวลาหลายปีที่ประธานาธิบดีทำให้ชุมชนชาวฮิสแปนิกกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายของการถูกโจมตี ถ้าดูจากคำประกาศของมือปืน ก็จะเห็นว่าเขาใช้ภาษาแบบเดียวกับที่ทรัมป์บรรยายผู้อพยพเข้าเมืองชาวฮิสแปนิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบุกรุกสหรัฐอเมริกา”
เดวิด สเตาท์ กรรมการเมืองเอล ปาโซบอกว่า ที่นี่เคยเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในสหรัฐอเมริกามาหลายปี แต่ตอนนี้ติดกับอยู่ในเฮทสปีชที่สร้างขึ้นโดยประธานาธิบดีของเราเอง พวกเขาพยายามทำให้ชายแดนเป็นพื้นที่น่ากลัว ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราต้องต่อสู้กับความคิดเช่นนี้
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ทรัมป์แถลงเกี่ยวกับเหตุกราดยิงในเท็กซัสและโอไฮโอที่ทำเนียบขาวว่า สหรัฐอเมริกาต้องประนามการคลั่งเชื้อชาติ การเหยียดสีผิว และการบูชาคนขาว อุดมการณ์ที่เลวร้ายพวกนี้ต้องพ่ายแพ้ไป สหรัฐอเมริกาไม่มีพื้นที่ให้กับความเกลียดชัง
ทรัมป์เรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายครอบครองอาวุธปืนให้เข้มงวดกว่าเดิมโดยเฉพาะการประเมินสุขภาพจิต แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะสนับสนุนการแก้กฎหมายครอบครองอาวุธปืนที่พรรคเดโมแครตเสนอในสภาคองเกรส เขายังเรียกร้องให้มีโทษประหารชีวิตสำหรับผู้อยู่เบื้องหลังการกราดยิง “สุขภาพจิตและความเกลียดชังเป็นตัวจุดชนวน ไม่ใช่ปืน”
เขายังโทษว่าวิดีโอเกมเป็นต้นเหตุของความรุนแรง โดยบอกว่าทำให้เยาวชนชอบความรุนแรง “เราต้องหยุดหรือลดปริมาณลง ต้องเริ่มทำทันที”
ที่มา:
https://www.theguardian.com/us-news/2019/aug/04/el-paso-shooting-reaction-hate-crime-sheriff
https://www.nytimes.com/2019/08/04/us/politics/trump-mass-shootings.html
https://www.bbc.com/news/world-us-canada-49240310
ภาพ: SAUL LOEB / AFP