ซับซ้อนเหลือเกินสำหรับคนจะสนใจการเมือง เอาเป็นว่าสัปดาห์นี้มีความคืบหน้าไปอีกนิด เพราะเมื่อ 12 กันยายน 2561 มีการประกาศใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ (พรป.) สองฉบับแล้วในราชกิจจานุเบกษา

สองฉบับนั้นก็คือ พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และพรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งตามเงื่อนไขที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วางไว้ ต้องให้กฎหมายสองฉบับนี้ออกมาก่อนถึงจะไปเดินหน้าขั้นตอนอื่นๆ ที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งได้ ซึ่งกำหนดเวลาการเลือกตั้งโดยคร่าวๆ น่าจะอยู่ที่ปลายเดือนกุมภาพันธุ์ถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2562 หากไม่มีเหตุใดให้บิดพลิ้วไปเสียก่อน

คำพูดนักการเมืองจะเชื่อได้แค่ไหนนั้นไม่รู้ แต่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องราวของคนขี้จุ๊มากมาย ตั้งแต่สุดยอดแฮชแท็ก #บอยสกล ไปจนถึงเรื่องจ้อจี้เกี่ยวกับหวยรางวัลที่หนึ่ง

ขณะที่เรื่องวุ่นๆ เหล่านี้เป็นเรื่องฮิตในความสนใจของบ้านเรา ย้ายฝั่งไปที่ซีกโลกตะวันตก ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวสหรัฐฯ หวั่นใจเป็นพิเศษกับการตั้งรับเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์ที่จะเข้าปะทะชายฝั่งตะวันออกของประเทศด้วยความแรงระดับ 4 ซึ่งคาดว่าจะเป็นกำลังแรงที่สุดในรอบ 60 ปี

ปิดท้ายด้วยเรื่องเศร้าของอดีตนักแสดงชื่อดัง อย่าง โอ-วรุฒ ที่เพิ่งจากไปขณะวัยเพียง 49 ปี และชะตากรรมของ ฟ่าน ปิงปิง นักแสดงสาวชาวจีนที่ชีวิตผกผันต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ จากมาตรการขั้นเด็ดขาดของรัฐบาลจีนที่ประกาศจุดยืนไม่ให้พื้นที่คนทุจริต

โป๊ะแตกต่อไม่รอแล้วนะ หวย 90 ล้าน / บอยสกล กับแรงบันดาลใจของนักโกหก

ผ่านพ้นวาระของ #มิ้งโป๊ะแตก ได้ไม่เท่าไหร่ กรณี #พีทหวย90ล้าน กับ #บอยสกล ก็ผุดขึ้นมาให้ชาวไทยได้บันเทิงแบบเหวอๆ กันอีกระลอก และเมื่อย้อนมองกลับไปก็พบว่าสังคมเราแทบไม่เคยได้ว่างเว้นจากวีรกรรมของนักโกหกคำโต หลายครั้งเริ่มจากการโกหกเล็กๆ น้อยๆ และ “ไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลาย” ลงท้ายก็กลายเป็นข่าวครึกโครม

ทั้งที่ก็รู้ว่าถ้าโดนจับได้ ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงลิ่ว แต่หลายคนก็เลือกที่จะโกหก อาจเพราะเป้าหมายปลายทางนั้นดึงดูดใจเกินกว่าจะปล่อยให้หลุดลอย เขาหรือเธอจึงยอมเสี่ยงเพื่อให้ได้มาซึ่งภาพลักษณ์อันสวยหรู ชื่อเสียงดังกระฉ่อน เงินก้อนโต หรือช่องทางการตลาด ฯลฯ

เริ่มกันที่กรณีของ บอยสกล หรือ สกล เอี่ยมสอาด ที่แอบอ้างว่าตัวเองเป็นนิสิตจุฬาฯ แถมเข้าเรียนถี่ยิบและรักในงานกิจกรรมจนถึงขั้นได้ถือป้ายในขบวนพาเหรดงานฟุตบอลประจำปี รวมถึงเป็นพี่ค่ายแนะแนวน้องจังหวัดฉะเชิงเทราที่อยากเข้าเรียนจุฬาฯ อยู่หลายปี จนในที่สุดก็ถูกจับโกหกได้เพราะเขาไม่มีชื่อในฐานข้อมูลนิสิต เป็นชนวนเหตุให้ประวัติศาสตร์การโกหกของเขาถูกขุดขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วน ตั้งแต่การแอบอ้างว่าเรียนที่สวนกุหลาบ เตรียมอุดมศึกษา หรือธรรมศาสตร์ จนถึงการโกงเงินรุ่นไปเกือบหลักล้านเมื่อครั้งที่เรียนอยู่ ม.บูรพา ฯลฯ นับว่าเป็นการโกหกที่หลายคนต้องยอมใจ

ส่วนกรณีของ พีท หรือ ธนวรรธน์ คำแหงผล ขยับออกจากเรื่องชื่อเสียงมาที่ ‘หวย’ ลาภลอยในฝันของชาวไทย เรื่องเริ่มจากที่เขาโพสต์ภาพของหวยชุดที่ถูกรางวัลมูลค่า 90 ล้านบาท ซึ่งอ้างว่าเก็บไว้ให้ลูกค้าที่สั่งซื้อทางออนไลน์ ภายหลังเมื่อถูกจับได้ว่าเป็นการตัดต่อภาพ เขาออกมาโต้ผ่านรายการ ‘โหนกระแส’ ของหนุ่ม กรรชัย พร้อมโชว์ภาพถ่ายหวยชุดต้นขั้วนั้นว่ามีจริงๆ (ต่อมากรรชัยได้ลงพื้นที่ต่อและพบว่าพีทไปถ่ายภาพหวยต้นขั้วนั้นมาจากพ่อค้าคนกลางที่แยกคอกวัวอีกทีหนึ่ง)

แม้พีทจะยอมรับในที่สุดพร้อมแก้ตัวว่าทำไปเพียงเล่นๆ และไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่หลายฝ่ายเช่นทนายอัจฉริยะก็ยังเดินหน้าขุดคุ้ยและโยงไปถึงขบวนการพ่อค้าหวยคนกลางและการกักตุนโควต้าหวย พีทเองยังเสี่ยงต่อการถูกตั้งข้อหาปลอมแปลงเอกสาร ฉ้อโกงประชาชน และความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ

กรณีของพีทยังทำให้มีการโยงไปถึงนักโกหกเมื่อปี 2540 อย่าง สมพงษ์ เลือดทหาร คนขับรถแท็กซี่ที่แต่งเรื่องว่าเก็บเงินคืนชาวต่างชาติที่ลืมไว้ในรถเป็นเงิน 20 ล้านบาท จนความจริงปรากฏและถูกดำเนินการทางกฎหมาย มีผู้สื่อข่าวไปติดต่อสัมภาษณ์ และสมพงษ์ก็ได้เตือนสติพีท ในฐานะคนที่เคยโกหกมาก่อน ซึ่งพบว่า 21 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้สังคมลืมเรื่องของเขาลงไปได้เลย เหมือนที่เรายังไม่ลืม นาธาน โอมาน แอนนี่ บรู๊ค หรือเปรตอาจารย์กู้ ส่วนบอยสกลนั้นก็เสี่ยงถูกดำเนินคดีตามกฎหมายจากการที่เขาใส่ชุดนิสิตซึ่งถูกสงวนไว้ให้เป็นสิทธิของนิสิตจุฬาฯ เท่านั้น

ขณะที่แรงบันดาลใจของพีทจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ ดูเหมือนว่าแรงบันดาลใจสำคัญของสกลคือค่านิยมเกี่ยวกับสถาบันการศึกษา และภาพลักษณ์ของคนชีวิตดีมีเงินไม่ขาด แม้เรื่องพีคระดับบอยสกลจะไม่ได้มีให้เห็นในวงกว้างบ่อยนัก แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่โกหกเกี่ยวกับสถาบันการศึกษาหรือภาพลักษณ์ของตัวเอง หรือที่เข้าข่าย ‘วัลลาบี’ (wanna be) อย่างที่เราน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างในวงเม้าท์ใกล้ตัว เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมากมายอย่างน่าตกใจและจะยังคงมีต่อไป ตราบใดที่การให้ค่าบุคคลด้วยสถานะทางการศึกษาแบบสถาบันนิยมยังฝังรากลึก และการบูชาไลฟ์สไตล์กินหรูอยู่ดียังทรงอิทธิพลในโซเชียลมีเดีย

หลายปีให้หลังมานี้เรามีเรื่องโกหกแซบๆ ให้ติดตามกันบ่อยขึ้น นั่นเพราะมีโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือชั้นดีในการส่ง ‘ภาพ’ หรือข้อความต่างๆ ออกไปประกอบคำโกหกให้น่าเชื่อถือในขั้นต้น และก็เป็นที่เดียวกันนี้ที่ส่งผลให้เหล่านักโกหกถูกจับผิดและโดนแหกกันอยู่บ่อยครั้ง พื้นที่นี้เองยังเป็นที่หล่อหลอมค่านิยมที่ทำให้ใครบางคนเริ่มต้นโกหก

และก็น่าแปลกดีที่โลกนี้ยี้คนโกหก แต่พอเรื่องทำนองนี้แดงขึ้นมาทีไร เราเป็นอันต้องเสพกันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้หลับไม่นอน หรือแท้จริงแล้ว นี่คือเรื่องที่ทำให้พวกเราสาแก่ใจ เมื่อใครสักคนระเบิดตัวเองออกมาจากสิ่งที่เราทั้งหลายต่างอึดอัดและถูกกดทับอยู่ไม่ต่างกัน สุดท้ายนั้น นักโกหกจึงกลายเป็นสนามอารมณ์ชั้นดี

 

เฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์ ‘ฝันร้าย’ ที่กำลังจะปะทะชายฝั่งอเมริกา

ก็เช่นเดียวกับพายุหลายๆ ลูก ก่อนที่จะอลังการกลายเป็นปีศาจร้ายน่ากลัว คุกคามความเป็นอยู่ของชาวอเมริกันเรือนล้าน ฟลอเรนซ์ต้องเคยเป็นเด็กน้อยมาก่อน

ฟลอเรนซ์ก่อกำเนิดขึ้นจากคลื่นเขตร้อนหย่อมความกดอากาศต่ำที่ก่อตัวขึ้นบริเวณชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม

เมื่อก่อตัวขึ้นมาแล้ว ก็มีพัฒนาการมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเพิ่มกำลังขึ้นอย่างรวดเร็วในวันที่ 4-5 กันยายน มีอ่อนกำลังสลับกันบ้าง แต่ในที่สุด เมื่อวันที่ 10 กันยายน ฟลอเรนซ์ก็เติบโตเป็นเฮอร์ริเคน ระดับที่ 4 ความเร็วลมอยู่ที่ 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

นักวิเคราะห์จาก CoreLogic คาดการณ์ว่า เฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์จะสร้างความเสียหายราวๆ 170 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำลายบ้านเรือนเกือบ 759,000 หลัง ส่วนบริษัทพลังงานเตือนว่าฟลอเรนซ์อาจแผลงฤทธิ์ให้ไฟฟ้าดับในบางพื้นที่นานเป็นสัปดาห์ๆ

เมื่อเช้าวันพุธที่ผ่านมา เฮอร์ริเคนทำให้เกิดคลื่นทะเลสูง 25 เมตร ส่วนนักบินอวกาศยุโรป อเล็กซานเดอร์ เกสต์ ทวีตรูปถ่ายฟลอเรนซ์จากอวกาศ ที่ใหญ่มหึมาน่าขนลุก เรียกมันว่าฝันร้าย

ก่อนหน้านี้ทางการสั่งอพยพคน 1.5 ล้านคนในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งเป็นเส้นทางที่คาดว่าพายุจะวิ่งผ่าน แต่หลายๆ คนก็เลือกจะเพิกเฉยต่อคำเตือนอย่างน่าประหลาดใจ

อย่างไรก็ตาม ในวันพฤหัสบดี ฟลอเรนซ์ลดความเร็วลมจากระดับ 3 ซึ่งอยู่ที่ 178–208 กม./ชม. มาที่ระดับ 2 ซึ่งอยู่ที่ 154–177 กม./ชม. แต่เบนเส้นทางลงไปทางใต้ ทำให้รัฐจอร์เจียกลายเป็นรัฐล่าสุดที่ได้รับการประกาศภัยพิบัติ ตามหลังนอร์ทแคโรไลนาและเซาท์แคโรไลนา เวอร์จิเนีย แมริแลนด์ และวอชิงตัน ดีซี

แต่อย่าเพิ่งเบาใจ เพราะคาดว่าฟรอเรนซ์จะไม่อ่อนกำลังลงไปกว่านี้ และความเร็วลมที่ลดลงนี้ หมายความว่ามันจะยังอยู่แถวๆ ชายฝั่งไปจนถึงวันเสาร์ และระดับของพายุก็เพียงแค่บอกความเร็วของลม แต่สิ่งที่ทำให้เฮอร์ริเคนเป็นหายนะ คือระดับน้ำสูงที่จะซัดเข้าฝั่งมาพร้อมกับพายุ ทำให้เกิดน้ำท่วมสูงฉับพลันริมชายฝั่ง และฝนตกหนักในพื้นที่ใกล้เคียง

บ็อบ เฮนสัน นักอุตุนิยมวิทยากล่าวว่า “ไม่มีเฮอร์ริเคนทางชายฝั่งแคโรไลนาที่คลื่นที่ไปทางตะวันตกเฉียงใต้แบบนี้มาพักใหญ่ๆ แล้ว เส้นทางที่ผิดปกตินี้อาจส่งผลที่ไม่คาดคิดตามมา”

ส่วนคำถามคาใจที่ว่าเฮอร์ริเคนรุนแรงนี้จะเกี่ยวกับโลกร้อนหรือเปล่า บีบีซีอธิบายว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองสิ่งนี้ค่อนข้างซับซ้อน แต่ก็อธิบายได้ว่าท้องทะเลที่อุ่นขึ้นช่วยเพิ่มพลังให้เฮอร์ริเคน เพราะฉะนั้นหากอุณหภูมิมหาสมุทรสูงขึ้น เราก็คาดการณ์ได้ว่าเฮอร์ริเคนน่าจะรุนแรงจขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

นอกจากนี้ บรรยากาศที่ร้อนขึ้นยังอุ้มน้ำไว้ได้มากขึ้น นั่นทำให้เฮอร์ริเคนพาน้ำมหาศาลมาซัดถล่มเขตที่ประสบภัย

 

15 ก.ย. นี้ ซิมจะดับหรือไม่ สงครามระหว่าง กสทช.กับดีแทค

(หมายเหตุ: เมื่อ 14 กันยายน ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครอง ให้ลูกค้าดีแทคเข้าสู่มาตรการเยียวยาเป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้สามารถใช้งานคลื่น 850MHz ต่อเนื่องได้จนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2561)

เป็นที่ลุ้นกันว่า 15 กันยายนนี้ ลูกค้าดีแทคจำนวน 94,625 ราย จะเกิดอาการซิมดับหรือไม่ หลังคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ออกมาแจ้งเตือนผู้บริโภคว่า หากไม่รีบย้ายไปใช้บริการบนคลื่นความถี่อื่น ก็จะไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้

งานนี้แม้สำเนียงจะเป็นการเตือนผู้บริโภค แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำลายความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการอยู่ไม่น้อย เพราะลูกค้าดีแทคที่จะได้รับผลกระทบ คือเฉพาะกลุ่มที่ยังใช้ 2G ไม่ใช่ลูกค้าดีแทคทั้งหมด และแทนที่กสทช.จะบอกผู้บริโภคเพียงว่า วิธีย้ายคลื่นความถี่ไปยัง 4G ทำได้ง่ายๆ แค่กดหมายเลขไปที่ *444# แต่ก็ยังอุตส่าห์แถมท้ายแนะนำทางเลือกให้ผู้บริโภคย้ายค่ายไปพร้อมกันนี้ด้วย

เมื่อเจอแบบนี้ ดีแทคก็ออกมาย้ำว่า ลูกค้า 99% ซิมไม่ดับแน่นอน

ว่าแต่เกิดอะไรขึ้น ทำไมมาถึงจุดนี้กันได้

ย้อนไปเมื่อเดือนพฤษภาคม  ที่ค่ายโทรศัพท์ต่างพากันถอนตัวถอดใจไม่ร่วมประมูลคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ และคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ ว่ากันว่าเหตุผลเป็นเพราะกสทช.ตั้งราคาประมูลเอาไว้สูงลิ่ว และใบอนุญาตที่แบ่งช่วงคลื่นละ 15 MHZ ก็ใหญ่เกินไป

โดยคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ มีจำนวนทั้งหมด 45 MHZ เดิมกสทช.แบ่งใบอนุญาตออกเป็นสามชุด ชุดละ 15 MHZ ราคาเริ่มต้นที่ชุดละ 37,457 ล้านบาท (อ้างอิงราคาจากการประมูลครั้งก่อนที่เคยประมูลกันข้ามวันข้ามคืน โดยมีผู้เล่นปั่นราคาจนชนะการประมูลแต่สุดท้ายสละสิทธิ์ไป)

ในเมื่อผู้ให้บริการรายใหญ่ต่างก็เมินหน้าหนีการประมูลรอบนี้ แล้วทำไมดีแทคดูจะโดนกดดันแรงที่สุด เหตุผลหนึ่งที่พอจะวิเคราะห์ได้ก็คือ ในบรรดาผู้ให้บริการหลายเจ้า ดีแทคถูกคาดหวังว่าน่าจะต้องสนใจมาประมูลคลื่นแน่ๆ เพราะทั้งคลื่น 1800 MHZ และคลื่น 850 MHZ ที่ถืออยู่กำลังจะหมดสัญญาสัมปทานในวันที่ 15 กันยายนนี้

เมื่อไม่มีผู้ให้บริการรายใดประมูล ก็จะทำให้กสทช.เสี่ยงจะพลาดโอกาสในการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ ต่อมา กสทช.จึงยอมแก้เกณฑ์ประมูล ทั้งลดขนาดใบอนุญาตของคลื่น 1800 MHZ ลงเหลือช่วงคลื่นละ 5 MHZ และลดราคาสำหรับคลื่น 900 MHZ ลงเหลือ 2,000 ล้านบาท ซึ่งท้ายที่สุด เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เอไอเอสและดีแทคก็เลือกประมูลเฉพาะคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซกันไปคนละใบเท่านั้น

สำหรับดีแทค ก็จึงต้องหาวิธีโอนย้ายลูกค้าที่ใช้คลื่น 850 MHZ เดิม ทางหนึ่งคือ ดีแทคขอเข้าสู่มาตรการเยียวยาลูกค้า

แต่กสทช.ไม่มีไม้อ่อนให้ โดยเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา กสทช. มีมติ 4-2 ไม่ให้ดีแทคเข้าสู่มาตรการเยียวยาลูกค้าที่ใช้บริการคลื่น 850 เมกะเฮิรตซ์หลังสัมปทานสิ้นสุด เท่ากับว่า เหลือเวลา 3 วันที่ดีแทคต้องเร่งโอนย้ายลูกค้าไปใช้ช่วงคลื่นอื่น

แฟร์ไม่แฟร์อย่างไร เรื่องนี้ถกกันได้ยาว แต่มีความเห็นของกสทช.เสียงข้างน้อย อย่างประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ที่กังวลว่า หากไม่มีมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ผู้ใช้ซิมจำนวนหนึ่งอาจเดือดร้อน เช่น ผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุในต่างจังหวัดที่ไม่รู้วิธีโอนย้ายซิมด้วยตัวเอง ต้องรอลูกหลานกลับบ้านไปช่วยดำเนินการ หากไม่ทันแล้วซิมดับไปก็จะยิ่งไม่มีช่องทางสื่อสารกัน และแม้ว่าศักยภาพการโอนย้ายของระบบจะสูงถึง 60,000 เลขหมายต่อวันทำให้ผู้ใช้บริการที่มีจำนวนราว 90,000 รายสามารถโอนย้ายได้ทันก่อนหมดสัมปทานแน่นอน แต่ก็ถือเป็นการคำนวณที่ไม่ได้นึกถึงกรณีคนอยู่ต่างจังหวัดหรือผู้ที่ยากต่อการเข้าถึงการโอนย้าย

สงครามนี้คงมีอีกหลายยก ผู้บริโภคอย่างเราก็ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เพราะถูกจับเป็นตัวประกัน ทำได้แค่เชียร์มวยข้างสนาม จะอยู่ข้างผู้ให้บริการ หรืออยู่ฝ่ายผู้กำกับดูแลก็เลือกเอา

 

เชือดฟ่าน ปิงปิงให้ลิงดู เมื่อรัฐบาลจีนรับไม่ได้กับการจ่ายเงินแบบ ‘หยิน-หยาง’

กว่า 3 เดือนเต็มหลังจากที่ ‘ฟ่าน ปิงปิง’ ดาราดังแห่งจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณะและสื่อใดๆ มีสื่อในจีนรายงานว่า เธอปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในเดือนมิถุนายนและไม่เคยออกงานใดๆ อีกเลย และโซเชียลมีเดียของเธอก็ไม่ได้อัปเดตอะไรมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนเช่นกัน

หลังจากนั้นก็มีข่าวว่า ฟ่าน ปิงปิง กำลังถูกสอบสวนข้อกล่าวหามีพฤติกรรมหนีภาษี ด้วยการเซ็นสัญญาแบบ ‘หยิน-หยาง’ ในการรับงาน คือมีการแบ่งค่าตัวออกเป็นก้อนๆ แต่รายงานรายได้เฉพาะก้อนแรกเท่านั้น เพื่อปกปิดรายได้ที่แท้จริงของตัวเอง

Asiaone เปิดเผยว่า ฟ่านปิงปิง ถูกเจ้าหน้าที่ทางการจับกุมในข้อหาเลี่ยงภาษี หลังจาก ซุย ยงหยวน พิธีกรรายการโทรทัศน์ในจีนได้หลุดเผยรายละเอียดบนโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับสัญญา ‘หยิน-หยาง’ จากค่าตัวในการแสดงภาพยนตร์เรื่อง Cell Phone2 โดยฉบับหนึ่งทำสัญญาได้รับค่าตัวแค่ 2 ล้านดอลลาร์ แต่ฉบับที่สองทำสัญญารับเงินค่าตัวถึง 10 ล้านดอลลาร์ แทนที่ฟ่านปิงปิงจะทำสัญญา 12 ล้านดอลลาร์เพียงฉบับเดียวเท่านั้น

เมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา สื่อของรัฐบาลจีนอย่าง China Securities Journal ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการว่า ฟ่านปิงปิง ได้ถูกควบคุมตัวอยู่จริงๆ และสื่อจีนยังบอกว่า ข้อกล่าวหาของเธออาจจะร้ายแรงกว่าที่ปรากฏในสื่อด้วย

ดูเหมือนปัญหาคราวนี้จะหนักหนาสาหัสสำหรับฟ่านปิงปิงมาก ถึงขนาดที่อาจจะทำให้อาชีพในวงการบันเทิงต้องปิดฉากลงเลยก็ได้ เพราะ China Securities Journal ที่เป็นสื่อของรัฐบาลได้ให้ข้อมูลว่า การหลบเลี่ยงภาษีเป็นแค่ ‘ยอดของภูเขาน้ำแข็ง’ ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังมีข้อสงสัยว่า ฟ่านปิงปิง อาจจะมีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลอื่นๆ อีก

“การใช้วิธีเซ็นสัญญาหยินหยาง เป็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เธอต้องสงสัยว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงินที่ผิดกฎหมาย และพฤติกรรมทุจริตอื่น ๆ ด้วย กรณีที่ร้ายแรงที่สุด เธออาจจะถูกลงโทษทางกฎหมาย” China Securities Journal กล่าว

รัฐบาลจีนนั้นตั้งใจที่จะทำการกวาดล้างพฤติกรรมทุจริตในวงการบันเทิงและไม่ต้องการให้ผู้สร้างหนังหรือซีรี่ส์ทุ่มเงินไปกับดารามากเกินไป ทางการจีนได้ออกกฎให้บรรดาผู้สร้างซีรี่ส์สามารถจ่ายเงินให้กับนักแสดงได้ไม่เกิน 40% ของทุนสร้างเท่านั้น และ 70% ในกรณีของภาพยนตร์

อย่างไรก็ตาม กลับเกิดวิธีหลบเลี่ยงข้อห้ามดังกล่าวด้วยการใช้สัญญาแบบ หยิน-หยาง นี้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่สื่อจีนก็ระบุว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในวงการบันเทิง นอกจากนี้ในวงการกีฬาก็มีการใช้สัญญาลักษณะนี้จ่ายเงินให้กับนักฟุตบอลด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ฟ่านปิงปิง คือซูเปอร์สตาร์ที่มีรายได้มากที่สุดคนหนึ่งในวงการบันเทิงจีนแผ่นดินใหญ่ และยังติดอันดับดาราหญิงที่มีรายได้มากที่สุดในโลก จากผลงานการแสดงทั้งซีรี่ส์ ภาพยนตร์ พรีเซ็นเตอร์สินค้าต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงแบรนด์หรูระดับโลก ส่วนแบรนด์ในประเทศไทยอย่าง King Power ก็เคยให้ ฟ่านปิงปิง เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ฟ่านปิงปิง เริ่มมีผลงานจากบทเล็กๆ ในซีรีส์ องค์หญิงกำมะลอ เมื่อประมาณเกือบ 20 ปีก่อน และค่อยๆ สร้างชื่อเสียงขึ้นมาจนอยู่แถวหน้าของวงการบันเทิง จนไปไกลถึงการได้รับบทในหนังฮอลลีวูด X-Men: Days of Future Past มาแล้ว

หากนี่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ก็ถือว่าเป็นเหตการณ์ที่สั่นสะเทือนจีนแผ่นดินใหญ่เป็นอย่างมาก เพราะนี่เป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลจีนนั้นไม่ได้เกรงใจคนดังหรือผู้ทรงอิทธิพลใดๆ แถมยังอาจจะเข้มงวดเป็นพิเศษอีกด้วย อาจจะต้องรอลุ้นกันว่าความอื้อฉาวและการถูกแบนในวงการบันเทิงครั้งนี้จะทำให้ ฟ่านปิงปิง นั้นหมดอนาคตในวงการไปเลยหรือไม่ หรือจะมีคนดังในวงการบันเทิงหรือวงการอื่นใดถูกเชือดเป็นรายต่อมา

แต่ที่น่าสะเทือนใจยิ่งกว่าชะตากรรมของฟ่านปิงปิง ก็คงจะเป็นการปราบปรามการทุจริตของเมืองไทยนี่เอง

 

ชีวิตและศักดิ์ศรีของ ‘โอ-วรุฒ’ ในฐานะ ‘วัตถุดิบ’ ชั้นเยี่ยมของสื่อไทย

เป็นเรื่องแสนเศร้ากับการจากไปของดาราชื่อดัง โอ-วรุฒ วรธรรม ที่จากไปในวัยเพียง 49 ปี เมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา

โอ-วรุฒ เป็นดารา นายแบบ และพิธีกร บทบาทที่คนจดจำและรักเขามากบทบาทหนึ่งคือการรับบทเป็น โกโบริ พระเอกในภาพยนตร์เรื่องคู่กรรม เวอรชั่นที่เล่นคู่กับนางเอกดังอย่าง จินตรา สุขพัฒน์ และกำกับโดย รุจน์ รณภพ นอกจากงานภาพยนตร์และละครที่แฟนๆ จะได้เห็นเขาแล้ว ภาพที่ติดตาคือบทบาทพิธีกรที่มักมีรายการกับเพื่อนสนิทอย่าง นีโน่-เมทนี บุรณะศิริ อย่างรายการที่เข้าขั้นคลาสสิกอย่าง ‘โอโน่โชว์’

แต่ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา โอ-วรุฒ ค่อยๆ หายหน้าไปจากวงการ เพราะมีปัญหาสุขภาพจากการดื่มเหล้าหนัก ก่อนจะกลับมารักษาร่างกาย แล้วเปิดร้านกาแฟที่เชียงใหม่ และยังเป็นวิทยากรเพื่อรณรงค์ช่วยเหลือคนที่มีอาการติดเหล้า

ในวาระสุดท้ายของโอ-วรุฒ ร่างกายเขาทรุดหนักเพราะมีโรครุมเร้า ทั้งเบาหวาน ไต ตับอ่อนอักเสบ เมื่อวันที่ 9 กันยายน เขาเกิดอาการช็อคหมดสติ หัวใจหยุดเต้น ครอบครัวต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล แต่สองวันถัดมาก็เสียชีวิตไปในที่สุด

เรื่องราวของพระเอกชีวิตตกอับกลายเป็นเหมือนละครข่าวให้สื่อรุมทึ้ง นอกจากจะลงภาพ โอ-วรุฒ ในพิธีรดน้ำศพให้สะเทือนใจแล้ว พาดหัวข่าวเช้าวันที่ 12 กันยายนของสื่อหัวสีฉบับใหญ่ยังใช้คำรุนแรง จนเพื่อนสนิท นีโน่ เมทนี ออกมาโต้กระแสย้อนถามสื่อใหญ่ว่า “ถ้าพาดหัวข่าวแบบนี้ ใครก็ทำได้ ไม่ต้องไปเรียนสื่อสารมวลชน” พร้อมถามว่า โอทำความเดือดร้อนอะไรให้ถึงเขียนถึงเขาในทางเสียหายและไม่ให้เกียรติกัน หากจะเมาท์ก็ไปเมาท์ลับหลังกันเอง ไม่ต้องมาเขียนเป็นประวัติศาสตร์ พร้อมทิ้งท้ายว่า “ผมพูดได้แค่นี้ และผมขอสิ่งที่ดีที่สุดให้น้องผมคนนี้เป็นครั้งสุดท้าย”

นอกจากจะเป็นเพื่อนที่คอยให้ความช่วยเหลือมาตลอดชีวิต อยู่เคียงข้างด้วยในวาระสุดท้าย จนถึงออกมาช่วยแก้ข่าวในยามที่จากไป ผู้ติดตามข่าวต่างพากันสะท้อนใจและชื่นชมด้วยว่า นี่โน่คือตัวอย่างของเพื่อนแท้ที่เราควรจะเป็นและควรจะมีไว้สักคน

 

 

Tags: , , , , , , ,