แม้เรื่องราวของ ‘เมย’ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนที่เสียชีวิตปริศนาในโรงเรียนเตรียมทหาร จะเป็นกระแสต่อเนื่องตลอดเดือนที่ผ่านมา มาวันนี้ ข่าวซาลงไปบ้าง หลังทางกองทัพตั้งกรรมการสอบสวนสรุปจบแล้วว่าเมยเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลว แต่ครอบครัวยังคงเดินหน้าค้นหาหลักฐานข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งรายละเอียดสำคัญคงยังเปิดเผยไม่ได้ในเวลานี้

มาสัปดาห์นี้ เข้าสู่ช่วงปลายปีที่จู่ๆ อากาศก็หนาว พร้อมบรรยากาศชวนให้ไม่น่าทำอะไรนอกจากเอาแต่พักผ่อนหย่อนใจ แม้ไม่ใช่อารมณ์ของการเสพข่าวร้าย แต่ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสะเทือนใจและสร้างผลกระทบไม่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นข่าวการจากไปอย่างกระทันหันของนักร้องเกาหลีชื่อดัง การปรับตัวของธุรกิจสื่อไทย ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์หรือดิจิทัลทีวี ความคืบหน้าสำคัญๆ ของการแก้ไขกฎหมาย การระบาดครั้งใหม่ของอหิวาตกโรค ท่าทีของนานาประเทศต่อนโยบายของสหรัฐฯ รวมถึงเรื่องราวภารกิจของมิชลินสตาร์ดวงใหม่ ที่จำต้องเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

 

1. ชีวิตเจ๊ไฝหลังมีดาว

ดูเหมือนว่าชีวิตของเจ๊ไฝ ประตูผี ดูท่าจะยุ่งวุ่นวายและถูกจับตามองมากขึ้น เพราะหลังจากได้มิชลินสตาร์หนึ่งดาว ก็มีคนแห่ไปกินร้านเจ๊ไฝมาก สื่อหลายสำนักทั้งไทยและเทศก็แห่ไปทำข่าว ทำคลิปวิดีโอ และสัมภาษณ์เจ๊ไฝถึงชีวิตหลังมีดาว

ขณะที่หลายคนตั้งคำถามถึงราคาที่เหมาะสม เจ๊ไฝก็ยืนยันไปหลายครั้งแล้วว่า เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ถ้าดูจากวัตดุดิบที่เลือกใช้ คิดว่าไม่แพงแต่อย่างใด ขณะที่บีบีซีไทยอ้างรายงานจากสำนักข่าวเอเอฟพีเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ว่าเจ๊ไฝมีความคิดที่จะคืนรางวัล 1 ดาว ให้แก่ทางมิชลิน หลังจากที่เพิ่งได้รับไปเมื่อต้นเดือน เพราะเป็นดาบสองคม

“เจ๊ไฝ” กล่าวกับ เอเอฟพีว่าข้อเสียก็คือ เธอ “เหนื่อยมาก… และรัฐบาลต้องการให้มาช่วยโฆษณาให้ประเทศไทย ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีทางเลือก”

ที่สำคัญ สุดสัปดาห์นี้เธอต้องไปหัวหินเพื่อสอนวิธีทำไข่เจียวปูกับต้มยำกุ้งให้นักเทนนิสชั้นนำของโลกตามคำขอของรัฐบาล “ฉันต้องหยุดขายไปสองวัน” เจ๊ไฝกล่าว

แต่ล่าสุด เว็บไซต์มติชนระบุว่า เจ๊ไฝไม่มีความคิดที่จะคืนมิชลินสตาร์แต่อย่างใด โดยการได้มิชลินสตาร์หนึ่งดาวถือเป็นเกียรติประวัติของชีวิตในการทำร้านอาหารมากว่า 40 ปี

สำหรับ มิชลิน ไกด์ กรุงเทพฯ เพิ่งมีขึ้นปีนี้เป็นปีแรก โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ใช้งบประมาณ 144 ล้านบาทเพื่อให้มิชลินไกด์เข้ามาจัดเรตร้านอาหารในกรุงเทพฯ ในช่วงปี 2017-2021 ตั้งเป้าหวังรายได้จากการท่องเที่ยว โดยหวังว่าในปี 2018 ประเทศไทยจะสามารถทำรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวน 3 ล้านล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้น่าจะมาจากธุรกิจร้านอาหาร 750 พันล้านบาท

 

2. คนนับล้านในเยเมนติดเชื้ออหิวาต์ รุนแรงสุดในประวัติศาสตร์โลก

นี่คือโรคระบาดที่กลับมาอีกครั้งเพราะสงคราม

เริ่มจากความขัดแย้งทางศาสนาทำให้กลุ่มกบฏฮูติเข้ายึดครองเยเมน ตามด้วยการเข้าแทรกแซงจากซาอุดิอาระเบียที่โจมตีทางอากาศถล่มเยเมน ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับหมื่น ประชาชนกว่าแปดล้านคนหรือราวหนึ่งในสามตกอยู่ในภาวะอดอยาก พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศขาดแคลนทั้งอาหาร เชื้อเพลิง น้ำสะอาด และสุขอนามัย

ผลกระทบที่รุนแรงไปกว่านั้นคือ ในรอบ 18 เดือนที่ผ่านมา ชาวเยเมนนับล้านติดเชิ้ออหิวาตกโรคจนมีคนตายไปแล้วกว่า 2,000 ราย

ถือเป็นการระบาดของอหิวาตกโรคครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และนับเป็นความสูญเสียจากโรคภัยไข้เจ็บที่มนุษยชาติรู้จักวิธีรับมือและรักษามาตั้งแต่ปี 1854 แต่กลับทำอะไรไม่ได้

อหิวาตกโรคเป็นโรคที่เกิดจากน้ำ แพร่กระจายเมื่ออาหารและน้ำสัมผัสกับเศษขยะจากผู้ติดเชื้อ ในทางหนึ่ง มันเป็นเชื้อที่ป้องกันได้ง่าย เพียงแค่ดื่มและใช้น้ำสะอาด และถึงแม้ติดเชื้อแล้วก็รักษาได้ เดวิด แซ็ค จากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ กล่าวไว้ว่า “ผู้ป่วยอหิวาตกโรคไม่ควรต้องเสียชีวิต”

เยเมน เป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในตะวันออกกลาง โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ก็มีความแห้งแล้งเป็นทุนเดิม เมืองบางเมืองกำลังจะกลายสภาพเป็นเมืองไร้น้ำ ภาวะโลกร้อนก็ดูจะทำให้สถานการณ์สาหัสลง ชาวเยเมนเองต้องพึ่งพิงอาหาร เชื้อเพลิง และน้ำดื่มจากการนำเข้า นั่นคือสถานการณ์ก่อนปี 2015 ก่อนที่จะมีการสู้รบ

สำหรับประเทศที่ล่มสลายไร้รัฐบาลดูแล การสู้รบของกลุ่มติดอาวุธฮูตีกับซาอุดิอาระเบียยิ่งทำให้การนำเข้าสินค้าจำเป็นทำได้ยาก และยิ่งเลวร้ายลงเมื่อดูเหมือนว่ายุทธศาสตร์หนึ่งในการสู้รบของฝั่งซาอุดิอาระเบีย คือการทำลายระบบประปาและระบบกำจัดของเสีย

อหิวาตกโรคเริ่มระบาดในเดือนตุลาคม 2016 ที่กรุงซานา จากจำนวนผู้ป่วยไม่เท่าไร ในสองเดือนถัดมากลับแพร่กระจายไปถึง 15 จังหวัด และหกเดือนถัดมา มีผู้ติดเชื้ออหิวาต์ถึงกว่า 320,000 ราย

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก องค์การอนามัยโลกมีแผนจะส่งวัคซีนไปยังเยเมน แต่ก็ต้องระงับแผน ซึ่งเป็นการตัดสินใจของรัฐบาลเยเมนเองที่กลัวว่ายาจะเข้าไม่ถึงพื้นที่ที่กบฏฮูติเข้าครอบครองอยู่

 

3. กรุงเทพฯ หนาวมาก!!

หน้าหนาวปลายเดือนธันวาคมปีนี้ทำเอาชาวกรุงตื่นเต้นกันยกใหญ่ หลังจากได้สวมใส่เสื้อกันหนาวแบบจริงๆ จังๆ ต่อเนื่องหลายวัน โดยตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. หลังจากความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนเคลื่อนตัวเข้ามายังประเทศไทย อุณหภูมิในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับกรุงเทพฯ อุณหภูมิเฉลี่ยของวันที่ 20 ธ.ค. อยู่ที่ 16 องศาเซลเซียส และเขตทวีวัฒนาเป็นพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำที่สุด (14.8 องศาเซลเซียส) ส่วนช่วงวันที่ 23-25 ธ.ค. อุณหภูมิในกรุงเทพฯ จะสูงขึ้น แต่ยังคงมีอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ในช่วง 21-23 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงสุดอยู่ในช่วง 29-32 องศาเซลเซียส

ข่าวดีก็คือ ในช่วงวันที่ 27 ธ.ค. – 1 ม.ค. กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศหนาวเย็นต่อเนื่อง อุณหภูมิจะลดลงอีก 3-7 องศาเซลเซียส ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงวันที่ 28 ธ.ค. – 1 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ในช่วง 18-22 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงสุดอยู่ในช่วง 27-32 องศาเซลเซียส

ปีใหม่ปีนี้ฉลองอยู่ในเมืองหลวงก็ได้รับลมหนาวกับเขาเหมือนกันนะ

 

4. UN โหวตค้าน รับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง

หากยังจำกันได้ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกร้าว จะย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล จากเดิมที่อยู่ที่เมืองหลวง คือ กรุงเตล อาวีฟ ไปอยู่ที่ เยรูซาเล็ม

ทรัมป์ยืนยันนโยบายนี้ แถมยังประกาศเข้าข้างอิสราเอลด้วยว่า เยรูซาเล็ม พื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์มายาวนาน คือเมืองหลวงของอิสราเอล
หลังทรัมป์มีดำริเช่นนี้ ความรุนแรงก็เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ จนทำให้สหประชาชาติมีประชุมใหญ่ เพื่อให้ประเทศต่างๆ ลงความเห็น

ผลออกมาว่า 128 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ลงมติให้สหรัฐอเมริกาเปลี่ยนท่าทีเรื่องการรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล มี 35 ประเทศที่งดออกเสียง เช่น ฟิลิปปินส์ แคนาดา ส่วนประเทศที่คัดค้านมตินี้ มีเก้าประเทศ แน่นอนว่ามีอิสราเอลและสหรัฐอเมริกาอยู่ในนั้น

การลงมติครั้งนี้เป็นเพียงการส่งสัญญาณจากนานาประเทศ ไม่ได้มีผลผูกมัดให้สหรัฐฯ ต้องทำตาม ซึ่งนิกกี เฮลลีย์ ทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ เขียนข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ของเธอว่า ว่า สหรัฐฯ จะจดจำไว้ว่าประเทศไหนโหวตมติไว้อย่างไร จะจำชื่อเหล่านี้ไว้พิจารณาเมื่อประเทศต่างๆ เข้ามาขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะในรูปแบบของตัวเงิน หรืออิทธิพลใดๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศเหล่านั้น

ส่วนทรัมป์ ก็พูดว่า “Let them vote against us; we’ll save a lot,” หรือแปลว่า “ให้พวกเขาโหวตค้านเราไป เราจะประหยัดได้อีกเยอะ”

 

5. การจากลาอันแสนเศร้า ของ จงฮยอน SHINee

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา วงการเพลงเกาหลีใต้ถึงกับตะลึงงัน เมื่อทราบข่าวการตายของ คิมจงฮยอน สมาชิกบอยแบนด์ SHINee (ชายนี่) ที่จบชีวิตตัวเองในวัย 27 ปี ด้วยการเผาถ่านเพื่อรมควันตัวเองในอพาร์ตเมนต์ ย่านกังนัม เวลาราว 18.10 น. ตามเวลาเกาหลีใต้

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 หรือเมื่ออายุราว 18 ปี เขาเปิดตัวในฐานะสมาชิกวง SHINee ค่าย S.M. Entertainment ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกห้าคน เดบิวต์ด้วยเพลง Replay ตามมาด้วยเพลงติดหูอย่าง Ring Ding Dong ซึ่งมีท่าเต้นที่หลายคนจดจำได้ และในปีต่อมา จงฮยอนก็เริ่มแสดงบทบาทเป็นผู้แต่งเพลงให้กับวง แล้วจึงเดบิวต์ในฐานะศิลปินเดี่ยวครั้งแรกในปี 2015

เขาเป็นทั้งนักร้องและนักแต่งเพลง ที่ผลิตผลงานเพลงมามากมายจนได้อยู่ในรายชื่อท็อปเท็นศิลปินเกาหลีใต้ที่มีลิขสิทธิ์งานเพลงสูงสุด
พี่สาวจงฮยอนบอกว่า มีสัญญาณล่วงหน้าว่าเขาอาจจะฆ่าตัวตาย ทำให้เมื่อติดต่อทางโทรศัพท์ไม่ได้ ก็เริ่มสังหรณ์ใจ ต่อมามีการเปิดเผยจดหมายฉบับสุดท้าย ของเขาที่เขียนไว้ว่า “ข้างในตัวผมแตกสลาย ความเศร้าค่อยๆ กลืนกินผมช้าๆ จนมันครอบงำผมทั้งหมด และผมก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้”

เรื่องของจงฮยอนเป็นอีกหนึ่งกรณีที่ความตายของดาราและศิลปินสร้างความตระหนักถึงปัญหาโรคซึมเศร้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้

แฟนคลับส่วนหนึ่งตั้งข้อสังเกตถึงเนื้อเพลงแสนเศร้าของเขา อย่างเพลง Lonely และเพลง BREATHE ที่แต่งให้ LEE HI ร้อง ทำให้เพลงทั้งสองติดอันดับสูงสุดในชาร์ตเพลง Melon วันที่ 18 ธ.ค.

“วันของคุณนั้นแสนยากเย็น มันยากที่คุณจะผ่านมันโดยไม่ถอนหายใจเบาๆ ออกมา อย่าไปคิดถึงสิ่งอื่นใดเลย แค่หายใจเข้าลึกๆ และปล่อยออกมาแบบนี้เหมือนเดิม” – เนื้อเพลง BREATH

นอกจากนี้ยังมีการแชร์คลิปที่จงฮยอนร้องไห้บนเวทีขณะแสดงคอนเสิร์ตเพลง Replay ใน SHINee Wold Concert IV ปี 2015 ซึ่งแม้จะร้องไห้รุนแรงขนาดไหนเขาก็ยังร้องเพลงต่อไป

ร่องรอยของความเศร้ายังรวมไปถึงรอยสักรูปหมาดำที่ลำตัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนโรคซึมเศร้า และเป็นรูปเดียวกับที่เขาลงในอินสตาแกรม หมาดำนี้เป็นคำที่ วินสตัน เชอร์ชิล เคยใช้เพื่ออธิบาย ‘ภาวะซึมเศร้า’ ส่วนประโยค ‘I Had a Black Dog’ นั้นมาจากวิดีโอ I Had a Black Dog, His Name is Depression ที่สร้างโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) วาดและเขียนเรื่องโดย แมทธิว จอห์นสโตน (Matthew Johnstone) เพื่ออธิบายให้เห็นปัญหาโรคซึมเศร้าที่หลายคนทั่วโลกกำลังเผชิญโดยลำพัง

และเมื่อเย็นวันที่ 21 ธ.ค. เวลาประมาณ 17.00 น. แฟนคลับชาวไทยก็เดินทางไปร่วมไว้อาลัยจงฮยอนที่วัดสุทธิวราราม มีการวางดอกกุหลาบ กระดาษโน้ตบนพาน และกล่าวลาต่อหน้ารูป ตามด้วยพิธีกรรมทางศาสนา อย่างพิธีสวดและการวางดอกไม้จันทน์

 

6. เนชั่นขายช่อง NOW วอยซ์ทีวีปรับโครงสร้างรอบใหม่

ยังคงเผชิญมรสุมอย่างต่อเนื่องสำหรับแวดวงทีวีดิจิทัล เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จำหน่ายสินทรัพย์ ซึ่งประกอบด้วยเงินลงทุนในบริษัทย่อยและอสังหาริมทรัพย์ เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ และเพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดจากภาวะปัจจุบันของอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์และธุรกิจสื่อ

ขณะที่แหล่งข่าวจากวอยซ์ทีวีก็เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ในวันที่ 22 ธ.ค. ฝ่ายบริหารแจ้งว่าจะประกาศเรื่องการปรับโครงสร้างองค์กรอีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้ เว็บไซต์ข่าวสดอิงลิชและผู้จัดการออนไลน์ รายงานข่าวโดยอ้างแหล่งข่าวในวอยซ์ทีวีว่า การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้ คาดว่าจะมีการปรับลดพนักงานราว 150 อัตรา

สำหรับเครือเนชั่น การจำหน่ายสินทรัพย์ครั้งนี้คาดว่ามีมูลค่าอย่างน้อย 1,403 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. มหาวิทยาลัยเนชั่น 2. ธุรกิจทีวีภาคพื้นดินระบบดิจิทัล ช่อง NOW26 3. ธุรกิจรับส่งสินค้า 4. ธุรกิจโรงพิมพ์ 5. ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ โดยหลังจากจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทย่อยต่างๆ ไปแล้ว บริษัทจะมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ (หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ เดอะเนชั่น คมชัดลึก) การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง การผลิตเนื้อหารายการ และธุรกิจสื่อโทรทัศน์ (สถานีดิจิทัลทีวีช่องข่าว Nation 22)

ก่อนหน้านี้ ทีวีดิจิทัลหลายช่องประสบปัญหาทางการเงินจนต้องหาผู้ถือหุ้นรายใหม่เพื่อต่อลมหายใจ เช่น เมื่อปลายปีที่แล้ว บริษัท วัฒนภักดี จำกัด โดยนายฐาปนและนายปณต สิริวัฒนภักดี บุตรชายของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี มหาเศรษฐีอันดับสองของไทย ใช้เงิน 850 ล้านบาทเข้าซื้อหุ้น 47.62% ใน บมจ. อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ Amarin TV

ขณะที่ในปีนี้ บุตรชายทั้งสองของเจ้าสัวเจริญได้นำบริษัท อเดลฟอส จำกัด เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนในบริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล เทรดดิ้ง จำกัด ผู้บริหารทีวีดิจิทัลช่อง GMM 25 ในสัดส่วน 50%

นอกจากนี้ บริษัท ประนันท์ภรณ์ จำกัด ซึ่งมี น.ส.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็เข้าซื้อหุ้น 50% ในบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้บริหารช่อง one 31 ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่

ทั้งนี้ น.ส.ปรมาภรณ์คือบุตรสาวของนายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เจ้าของโรงพยาบาลกรุงเทพ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และสถานีโทรทัศน์ PPTV

 

7. ปิดตำนาน ‘คู่สร้างคู่สม’ และ ‘ดิฉัน’

หลังจากครองตำแหน่งนิตยสารขวัญใจชาวบ้านมายาวนาน 38 ปี ดำรง พุฒตาล ก็ยืนยันผ่านรายการ ‘มองรอบด้านสุดสัปดาห์’ ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ TNN24 เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ว่าจะปิดตัวนิตยสาร คู่สร้างคู่สม หลังจากจัดพิมพ์และวางจำหน่ายมาเป็นปีที่ 38 โดยวางแผงฉบับที่ 1005 (วันที่ 20 ธ.ค.) เป็นฉบับสุดท้าย

สำหรับสาเหตุของการปิดตัว ดำรงบอกว่ามีสาเหตุมาจากยอดขายที่เริ่มตกมาตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว เพราะคนในยุคปัจจุบันอ่านหนังสือผ่านกระดาษน้อยลง

เขายืนยันว่าไม่ได้ขาดทุน เพียงแต่มีกำไรน้อยลง และต้องทำงานหนักขึ้นหากคิดจะแข่งกับโลกออนไลน์

ช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ในรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง one 31 ดำรงบอกว่า “ไม่ใช่ว่าผมงอนนะ แต่ว่าบทความดีๆ ถูกก็อปปี้ไปลงออนไลน์หมดเลย แล้วไม่ได้ให้เครดิตเรา ผมเป็นคนที่โง่ในระบบออนไลน์ ผมก็เลยหยุดทำ”

ก่อนหน้านี้ไม่นาน เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ก็มีรายงานข่าวว่านิตยสาร ดิฉัน ซึ่งอยู่คู่กับคนไทยมายาวนานพอๆ กับ คู่สร้างคู่สม ก็ปิดตัวไปอีกฉบับ โดยฉบับสุดท้ายคือฉบับเดือนธันวาคม 2560

ดิฉัน อยู่คู่กับแผงหนังสือมายาวนานกว่า 37 ปี เป็นนิตยสารรายปักษ์สำหรับผู้หญิงยุคใหม่ มีความโดดเด่นทางด้านไลฟ์สไตล์ ทั้งแฟชั่น ความงาม ศิลปวัฒนธรรม บทสัมภาษณ์แบบเจาะลึก รวมทั้งข่าวสารความเคลื่อนไหวในแวดวงสังคม

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ให้ความเห็นเกี่ยวกับการปิดตัวของนิตยสารเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ไว้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพราะรัฐบาลชุดนี้ แต่เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของโลก

 

8. กลาโหมสหรัฐฯ ยอมรับ เคยศึกษาเรื่อง UFO

พอพูดถึงมนุษย์ต่างดาว แม้ว่าฟังดูวิทย์ๆ และเข้ากันดีกับหนังไซไฟ แต่ในชีวิตจริง ถ้าใครเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ก็จะถูกมองเหยียดๆ ว่า นั่นมันเรื่องงมงาย เอาไว้ให้เด็กๆ จินตนาการกันอย่างในหนังเรื่องอีที

เพราะฉะนั้น ข่าวที่ว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เคยมีโครงการวิจัยเรื่องยูเอฟโอเลยเป็นเรื่องที่คนแปลกใจกันยกใหญ่

เริ่มมาจากเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ เผยแพร่สกู๊ปเปิดประเด็นว่ามีโครงการสืบสวนเรื่องยูเอฟโอแบบลับๆ ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ‘โครงการค้นหาและบ่งชี้ภัยทางอวกาศระดับสูง’ (Advanced Aerospace Threat Identification Program) ที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2007-2012 และดูเหมือนจริงๆ แล้วก็ยังดำเนินการอยู่

ที่ตื่นตกใจกันหลังจากรายงานฉบับนี้ออกเผยแพร่ ก็คือหนึ่งในข้อมูลที่รวบรวมนั้น มีคลิปสั้นที่บันทึกจากเครื่องบินขับไล่ เผยให้เห็นวัตถุประหลาดเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ถ่ายไว้ตั้งแต่ปี 2004

อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมบอกว่าโครงการนี้ยุติไปตั้งแต่ปี 2012 แล้ว เพื่อนำงบไปใช้ในส่วนอื่นที่สำคัญกว่า แต่ดูเหมือนว่า แม้จะไม่มีการให้งบ เจ้าหน้าที่หลายคนที่เกี่ยวข้องก็ยังแอบดำเนินการศึกษากันเองอยู่ดี เพราะพวกเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญมากๆ

อาจจะฟังดูไม่แปลกใหม่ เพราะสหรัฐฯ ก็เคยมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับวัตถุที่คนอ้างว่าเป็นยูเอฟโอมาก่อน แต่โครงการศึกษาหลายชุดที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1947-1969 สรุปออกมาว่า การมองเห็นยูเอฟโอจากจำนวนทั้งหมดกว่า 12,000 ครั้ง ส่วนใหญ่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับภาพดวงดาว เมฆ เครื่องบินพาณิชย์ธรรมดาหรือเครื่องบินสอดแนม ในขณะที่ 701 ครั้งเป็นเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้

ด้านนักวิจัยด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากเอ็มไอทีเตือนว่า การที่เราไม่รู้ที่มาของวัตถุซึ่งลอยอยู่ในอากาศ ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะต้องมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือกาแล็กซีอื่น พูดง่ายๆ คือ การที่อธิบายบางสิ่งไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นจะต้องเป็นไปอย่างที่เราสรุปเสมอไป (ฟังคุ้นๆ คล้ายเวลาที่อธิบายเรื่องไสยศาสตร์บ้านเราเลยแฮะ)

อย่างไรก็ตาม เจ้าของบริษัทที่ได้รับงบสนับสนุนการวิจัย ออกมาแก้ต่างว่า เทียบกับประเทศอื่นๆ แล้ว สหรัฐฯ ล้าหลังในการศึกษาเรื่องนี้มาก เพราะนักวิทยาศาสตร์และสื่อในประเทศต่างก็กลัวเสียภาพลักษณ์ ขณะที่จีนหรือรัสเซียกลับเปิดกว้างกว่ามาก

 

9. คดีฆ่าหมอปอ ความโหดร้ายที่คนฆ่าคือว่าที่เจ้าบ่าว

คดีสะเทือนขวัญ เมื่อ นนทิญา ครัวจัตุรัส หรือ ‘หมอปอ’ อายุ 25 ปี เจ้าพนักงานทันตกรรมสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสลุย จังหวัดชุมพร ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิตที่บ้านพักเจ้าหน้าที่ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา

ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานจนเชื่อว่า ผู้ต้องหาคือ รณชัย ปานชาติ หรือ เก่ง เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แฟนหนุ่มของหมอปอ ซึ่งกำลังจะมีงานแต่งงานกันในวันอาทิตย์ที่ 24 ธ.ค. นี้อีกด้วย

ตอนแรก ว่าที่เจ้าบ่าวยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจพบเสื้อผ้าและหมวกไอ้โม่งที่บ้านพักของนายเก่ง จึงทำให้เจ้าตัวต้องยอมรับสารภาพว่าลงมือฆ่าแฟนสาวจริง เพราะถูกจับได้ว่าแอบมีกิ๊ก จนทะเลาะกันรุนแรง ความไม่ลงรอยยังเกี่ยวข้องกับการกู้เงินมาแต่งงานจำนวน 1.5 ล้านบาทที่ผู้ตายเป็นคนเก็บไว้ ทำให้จะใช้จ่ายอะไรต้องไปขอเงินจากผู้ตายอยู่ตลอด

ล่าสุดมีการออกหมายจับ นฤมล ช่วยสมบัติ หรือน้องมล กิ๊กของเก่งที่ทำหน้าที่ขับรถไปรับและส่งให้เก่งลงมือสังหารหมอปอ ก่อนเจ้าหน้าที่จะคุมตัวนฤมลมาสอบสวน

ขณะที่เก่งถูกตั้งข้อหาสี่ข้อ คือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พกพาอาวุธปืนในที่สาธารณะ บุกรุกทำลายสิ่งกีดขวางในสถานที่ราชการ และลักทรัพย์
ทั้งนี้ เก่งและหมอปอ เป็นเพื่อนรักตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม และกำลังจะมีงานแต่งงานกันหลังวันเกิดเหตุเพียงห้าวัน

 

10. สนช.ยอมถอย ให้อำนาจ ป.ป.ช.ดักฟังข้อมูล

สัปดาห์นี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เรื่องหนึ่งที่สร้างเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ คือ ข้อเสนอที่จะให้อำนาจ ป.ป.ช. ดักฟังโทรศัพท์ สะกดรอย เจาะอีเมลและโปรแกรมแชต รวมถึงไปรษณีย์ของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าจะทุจริต

พอมีเรื่องนี้ออกมา คนก็วิจารณ์ว่าเรื่องสำคัญระดับนี้ควรเป็นกฎหมายที่ให้สภาปกติที่เป็นตัวแทนประชาชนจริงๆ มาพิจารณาจะดีกว่าไหม อีกส่วนก็ยังคลางแคลงใจว่า แม้มีอำนาจตามกฎหมาย แต่ในทางเทคโนโลยี ทำได้มากน้อยแค่ไหน

 หลังมีคนแสดงความไม่เห็นด้วย ท้ายที่สุด เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. สนช. ยอมถอย อย่างไรก็ตาม เรื่องการดักฟังนี้ เป็นข้อเสนอที่ปรากฏอยู่ในร่างกฎหมายอีกฉบับหนึ่งอยู่แล้ว คือ ร่างกฎหมายแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา)

Tags: , , , , , , , , , , , , , , , , ,