เรื่องสำคัญมากมายเกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ เช่นความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองหลังคลายล็อค (แบบนิดหน่อย) ร่างกฎหมายหลายฉบับที่กำลังติดจรวดรับฟังความคิดเห็น แต่เรื่องเหล่านั้นถูกกลบไปด้วยเรื่องกระแสติดเทรนด์ ที่แม้ไม่สำคัญเท่า แต่ก็มีมุมให้สะอึกได้พอกัน
#เกาะโต๊ะ ไต่ชาร์ตทวิตเตอร์ ผลัดกันลำเลิก ‘บุญคุณ’ ที่อยู่บนระบบพังๆ ของการเมืองไทย
นาทีนี้คงไม่มีใครไม่เกตมุก “ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะ…” แต่ถ้าใครยังงงๆ ว่ากระแสเริ่มมาจากไหน ก็จะขอเล่าให้ฟังว่า
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561 ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโพสต์เฟซบุ๊กรำลึกครบรอบ 12 ปี การรัฐประหารเมื่อปี 2549 ในทำนองว่า อยากให้คนไทยตั้งคำถามว่า นับจากวันนั้นประเทศไทยเจริญขึ้นแล้วหรือยัง แน่นอนว่าคนที่ได้ดีจากการปฏิวัติทั้งสองครั้งย่อมมี แต่คนที่แย่กลับมากกว่า ลงท้ายว่าขออโหสิกรรมให้ทุกคนที่ให้ร้ายกลั่นแกล้งเขา
ต่อมาในวันที่ 19 กันยายน 2561 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรองนายกรัฐมนตรี ก็ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในเรื่องนี้ว่า “บ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะใคร แต่ไม่ใช่พวกเราแน่นอน…เราออกมาแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติ” และพูดถึงทักษิณว่า “เขายังมีเรื่องที่ทำผิดกฎหมายอยู่ ขอให้ไปเคลียร์ตรงนั้นให้ได้ก่อน”
หลังจากปลุกกระแสในเฟซบุ๊กมาแล้ว ทักษิณก็ใช้อีกช่องทางสื่อโซเชียลคือ ทวิตเตอร์ (ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้ในไทยราวๆ 12 ล้านยูเซอร์) โต้กลับด้วยวรรคทองว่า “ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ. เลย” ด้วยการรีทวีตข่าวต้นทาง ทำให้ไม่ต้องสงสัยว่าหมายถึงใคร จนทำให้แฮชแท็ก #เกาะโต๊ะ ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ภายในไม่กี่ชั่วโมง
เหตุการณ์ที่เขาทวีตถึงนั้น คือช่วงที่ พล.อ. ประวิตร เป็น ผบ.ทบ. ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2547 – 30 ก.ย. 2548 ขณะที่ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ. เลย https://t.co/7J0gtZkcS6
— Thaksin Shinawatra (@ThaksinLive) September 19, 2018
พอเกิดกระแส อีกฝ่ายก็คงคันไม้คันมือทนไม่ได้ ต้องรีบแก้เกมให้ไวในโลกโซเชียลมีเดีย เพจ ‘เปรี้ยง’ (ที่ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าเป็นทีมงานรัฐบาลที่นำโดย พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะมักมีข่าวอินไซด์จากรัฐบาลออกมาก่อนสื่อกระแสหลัก) ก็ออกมาโต้กลับด้วยประโยคล้อเลียนกัน
ในภาพคือทักษิณที่ยืนใส่สูทกุมเป้า ดูนอบน้อม และพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ หรือ บิ๊กจ๊อด ซึ่งหลังการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ขณะนั้นเขาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด จึงได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะ รสช. ซึ่งเป็นเวลาไล่เลี่ยกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เมื่อ บริษัท ชินวัตรแซทเทลไลท์ จำกัด (SATTEL) ได้รับสัมปทานธุรกิจดาวเทียมจากกระทรวงคมนาคม และเป็นบริษัทแรกของประเทศไทยที่ประกอบธุรกิจดาวเทียม
เรียกว่าปะทะฝีปากกันดุเดือดด้วยการขุดเรื่องราวเหวอะหวะในอดีตกันขึ้นมา แต่จะจริงเท็จแค่ไหน หากเป็นเรื่องเกาะโต๊ะขอตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหาร ให้ความเห็นว่า เมื่อคราวทักษิณเป็นนายกฯ ใครๆ ก็วิ่งเข้าหา บิ๊กทหารหลายคนยังเรียกพี่ เพราะทักษิณจบเตรียมทหาร เมื่อถึงเวลา ทักษิณก็ให้ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติผู้พี่ที่เป็น ผบ.ทบ. มาหนึ่งปีออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้ พล.อ.ประวิตรขึ้นมาแทนก่อนเกษียณ จนเข้าหน้ากันไม่ติดไปพักใหญ่ๆ
ส่วนกรณีสัมปทานไทยคม ทักษิณเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ปี 2533 เป็นปีที่สำคัญที่สุดของชีวิตการทำธุรกิจของผมเพราะโครงการใหญ่ๆ อันเป็นรากฐานแท้จริงของชินวัตรล้วนกำเนิดในปีนี้ โครงการดาวเทียมก็เช่นกัน ชินวัตรเข้าร่วมประมูลสัมปทานดาวเทียมในยุครัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แข่งกับอีก 5 บริษัทใหญ่ คือ ไทยแสท, โมดูลาร์, แอซตรา, คอมแสท และวาเคไทย”
ดร.โสภณ พรโชคชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ เคยโพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อสี่ปีที่แล้วว่า ทักษิณชนะประมูลไทยคมตั้งแต่ปี 2533 “ได้สัมปทานก่อน รสช.มา และขณะนั้นไม่ได้เล่นการเมืองไม่ได้ไปช่วยยึดอำนาจ แต่ขืนไปขวางบิ๊กๆ ก็บรรลัย” พร้อมแนบไทม์ไลน์ไว้ว่า
14 ธันวาคม 33 ทักษิณชนะประมูลไทยคม
23 กุมภาพันธ์ 34 ชาติชายถูก รสช โค่น
11 กันยายน 34 ทักษิณลงนามสัมปทาน
17 ธันวาคม 36 ทักษิณเชิญสุนทร คงสมพงษ์ร่วมงานไทยคม 1 ขึ้นสู่วงโคจร
หลังชนะประมูลได้ บริษัทของทักษิณได้สัมปทานเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2534 หลังจาก รสช.ขึ้นมามีอำนาจได้หกเดือนกว่าๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะพูดจริงหรือใส่ร้าย สิ่งที่ตลกแบบยิ้มแห้งๆ อย่างสิ้นหวังก็คือ เราต่างยอมรับว่าเรื่องพวกนี้เป็นไปได้และเป็นธรรมดา ที่ทั้งการเข้าสู่ตำแหน่งใหญ่โตทางทหาร หรือการได้สัมปทานมา ก็คือการใช้เส้นสายระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเอาเข้าจริงก็แยกไม่ออกจากปัญหาคอร์รัปชันที่ใครหลายคนพูดว่าจะขึ้นมาทำลายล้าง
ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ใครใช้อำนาจอะไร-บนหลักการอะไร-ในการให้บางสิ่งที่เป็นทรัพยากรสาธารณะหรือตำแหน่งทางราชการกับคนอื่่นๆ ที่เขาพึงพอใจ
จอย-โจ้เก็บมะม่วง คุณครูเก็บกระเป๋า?
เจ็บปวดกันมากี่ครั้งแล้วกับคำว่า ‘แม่พิมพ์-พ่อพิมพ์ของชาติ’ ทั้งข่าวฉาวต่างๆ ในโรงเรียนที่ปรากฏอยู่เนืองๆ หรือที่ซอฟต์ลงมาหน่อยก็อย่างเรื่องวิธีตรวจการบ้านของครู ที่มีผู้ปกครองถ่ายภาพลงโซเชียลมีเดียอยู่หลายครั้ง ล่าสุดก็กรณีจอยโจ้เก็บมะม่วง จากที่โจทย์ว่าด้วยการบวกเลข แต่ครูได้เซ็ตเรื่องไว้ในหัวแล้วว่านี่เป็นโจทย์การลบเลข และด้วยความเร่งรีบ จึงมีการตรวจผิดเกิดขึ้น
ก่อนที่ทางโรงเรียนจะออกมายอมรับว่าครูตรวจผิด กระแสโจ้จอยเก็บมะม่วงถูกกระพือรุนแรง ชาวเน็ตร่วมกันแก้โจทย์ แบ่งออกเป็นสองฝ่าย (น่าตกใจว่ามีผู้ตีความโจทย์ผิดอยู่ไม่น้อย) มีสำนักข่าวถึงกับสอบถามไปทางแชมป์คณิตศาสตร์โอลิมปิก ชุลมุนกันอยู่พักหนึ่งจนความจริงปรากฏ
ถ้าจะว่ากันแล้วนี่คือ human error ที่หากเป็นกรณีอื่นสังคมอาจจะยังพอรับได้บ้าง แต่เมื่อความผิดนั้นเกิดขึ้นโดยแม่พิมพ์ของชาติ เรื่องจึงไปไกลถึงขั้นมีชาวเน็ตเสนอความคิดเห็นให้ไล่ครูออก
อาจเพราะตลอดมา ครูยังถูกมองว่าคือบุคคลต้นแบบ คือพระคุณที่สาม ครูแทบจะได้รับอำนาจสิทธิขาดในการชี้ผิด-ถูกเกี่ยวกับวิชาความรู้ในห้องเรียน ดังนั้นเมื่อครูผิดพลาดขึ้นมาสักครั้ง จึงกลายเป็นความผิดมหันต์ที่ขัดกับบทบาทภาพลักษณ์ของ ‘ครู’ ในห้องเรียนโดยสิ้นเชิง และนักเรียนที่ไม่อาจตั้งคำถามกับครูได้ตั้งแต่ในชั้นเรียน ก็จำต้องพกความสงสัยกลับบ้าน เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่ใช้วิธีถามชาวบ้านผ่านโซเชียลมีเดียอีกทีหนึ่ง
แน่นอนว่าการแชร์ภาพเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ปกครองเด็กต้องออกมาขอโทษ แต่ในมุมหนึ่ง เรื่องนี้ก็สะท้อนว่าการสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนหรือผู้ปกครองนั้นมีน้อยเหลือเกิน ทั้งที่พวกเขาเหล่านี้ควรสื่อสารกันอย่างถ่องแท้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของทุกฝ่าย ที่สำคัญน่าจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ในห้องเรียนเป็นที่แรก
และอาจจะดีกว่าหรือไม่ หากเราทบทวนที่ทางของครูกันเสียใหม่ ว่าครูคงไม่จำเป็นต้องเป็นแม่พิมพ์ที่สูงส่งหรือดีงามขนาดนั้น อาจเป็นผู้ส่งผ่านวิชาความรู้ที่สามารถถูกตั้งคำถามและมีการเปิดโอกาสให้ถกเถียงกันจนเกิดความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงการจดจำ ซึ่งน่าจะนำไปสู่การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าที่เราเป็นอยู่
แต่ขณะเดียวกันก็น่าแปลกดี ที่เรายกครูไว้บนหิ้ง แต่นี่กลับเป็นอาชีพที่ห่างไกลจากความฝันของเด็กรุ่นใหม่ ในทุกๆ การสอบเข้ามหาวิทยาลัย คณะครุศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวกับครู มีผู้ตั้งใจเลือกจริงๆ เป็นจำนวนน้อย และเด็กหลายส่วนเลือกคณะเหล่านี้ไว้เป็นอันดับท้ายๆ นั่นสะท้อนค่านิยมบางอย่างซึ่งไม่ใช่แค่การขึ้นเงินเดือนครูเท่านั้นที่จะช่วยแก้ไข
ยิ่งกว่านั้น ปัญหาการศึกษาไทยก็ไม่ได้มีแค่เรื่องครูตรวจการบ้านผิด แต่ยังมีอีกหลากหลายปัญหาที่ถ้าจะถกก็คงต้องขุดกันถึงรากถึงโคน หากแต่เรื่องโจ้กับจอยนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้สังคมวงกว้างตระหนักถึงปัญหาอื่นใดไปมากกว่าที่เคยเป็น มันจึงอาจเป็นเพียงการตื่นตัวเกี่ยวกับปัญหาระบบการศึกษาไทยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งที่สุดแล้วทุกคนก็คงจะลืมแล้วหันไปดราม่าเรื่องอื่นกันต่อ
มังคุดลูกนี้คือซูเปอร์ไต้ฝุ่น ที่คร่าชีวิตคนเกือบร้อย และกวาดเรียบหลายประเทศในเอเชีย
ช่วงนี้เกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง นับจากพายุไต้ฝุ่นเชบีที่ซัดถล่มเมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 4 กันยายน ผลคือมีผู้เสียชีวิตแล้ว 11 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 600 ราย ส่วนท่าอากาศยานคันไซเสียหายและต้องระงับการให้บริการชั่วคราว อาคารบ้านเรือนถูกทำลายเสียหาย จนทางการต้องสั่งอพยพประชาชนกว่า 1 ล้านคน ไปอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย
ขณะที่อีกซีกโลก เฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์ที่ขึ้นฝั่งรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 14 กันยายน ก็สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและอาคารบ้านเรือน มีผู้เสียชีวิตและบางพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ จนทางการต้องสั่งอพยพประชาชนกว่า 1.7 ล้านคนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยใน 5 รัฐตามแนวชายฝั่งตะวันออก ได้แก่ นอร์ทแคโรไลนา เซาท์แคโรไลนา จอร์เจีย แมริแลนด์ และเวอร์จิเนีย
ส่วนพายุลูกล่าสุดที่ใกล้ตัวคนไทย คือซูเปอร์ไต้ฝุ่น ‘มังคุด’ ที่กลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรงที่สุดของปีนี้จากรายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ด้วยความเร็วลมเฉลี่ย 205 – 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 900 กิโลเมตร ขึ้นฝั่งที่เมืองเบนเก็ต จังหวัดคากายัน บนเกาะลูซอนทางภาคเหนือของฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 15 กันยายน ความรุนแรงของพายุทำให้ดินถล่มจนมีผู้เสียชีวิตในฟิลิปปินส์แล้วอย่างน้อย 60 ราย และยังมีผู้สูญหายอีกจำนวนมาก
ไต้ฝุ่นมังคุดยังเคลื่อนตัวเข้าไปยังเกาะฮ่องกงและมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน โดยที่ฮ่องกง พายุลูกนี้สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง อาคารสำนักงานหลายแห่งกระจกแตก ป้ายโฆษณาล้ม น้ำท่วมเมืองจนต้องยกเลิกเที่ยวบินที่สนามบินฮ่องกง รวมทั้งระบบขนส่งสาธารณะในเมืองต้องหยุดให้บริการทั้งหมด
แม้พายุจะอ่อนกำลังลงเหลือกำลังลมเพียง 162 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็ยังสร้างความเสียหาย เมื่อพายุเคลื่อนเข้าเมืองไท่ซาน มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ทำให้ทางการจีนต้องสั่งอพยพประชาชนบริเวณใกล้เคียงกว่า 2.4 ล้านคน เพื่อหนีไต้ฝุ่นมังคุด มีภาพเผยแพร่ทั่วโซเชียลมีเดียว่า ขณะที่ผู้ประกาศข่าวรายงานสถานการณ์ก็เกิดลมกรรโชกแรงพัดป้ายโฆษณา อาคารได้รับความเสียหาย และคลื่นพายุลูกใหญ่ซัดเข้าเมืองเซินเจิ้นจนน้ำท่วมห้างสรรพสินค้า เช่นเดียวกับมาเก๊าที่ได้รับผลกระทบในวงกว้าง เกิดน้ำท่วมจนต้องสั่งปิดคาสิโนชั่วคราว
ขณะที่ความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่นมังคุดยังไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน แต่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่กินความเสียหายเป็นวงกว้าง
อยากจับมือเป็นคนแรก! แฟนคลับศิลปิน ‘ปลอมตัว’ เป็นจนท. ศุลกากร เข้าเขตหวงห้ามสุวรรณภูมิ
สำหรับแฟนคลับศิลปินเกาหลีก็คงคุ้นเคยดีกับการไปรอรับศิลปินที่ชอบจากสนามบิน เป็นการแสดงการต้อนรับให้เห็นว่ามีแฟนคลับมากมายที่ดีใจกับการมาเยือน โดยปกติทางสนามบินจะจัดการกลุ่มแฟนๆ ยืนรอกันในที่ที่จัดเตรียมไว้เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้โดยสารท่านอื่นๆ
แต่ความปลื้มกลายเป็นเรื่องเลยเถิดเมื่อแฟนคลับนักแสดงหนุ่มจากเกาหลีใต้ อีจงซอก ใช้เส้นคนในเพื่อเข้าพื้นที่หวงห้ามหวังต้อนรับศิลปินแบบใกล้ชิด จนกลายเป็นประเด็นเดือดในโลกโซเชียล
เมื่อคืนวันที่ 14 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา อีจงซอก เดินทางมาถึงประเทศไทยเพื่อร่วมงานแฟนมีตติ้ง Lee Jong Suk Fan Meeting in Bangkok, Crank Up ที่จัดขึ้นในวันที่ 15 ก.ย. 2561 ซึ่งช่วงเวลานั้น มีแฟนคลับไปรอรับอย่างคับคั่ง
ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติสุข จนกระทั่งมีประเด็นเผ็ดร้อนเกิดขึ้นในทวิตเตอร์ หลังจากมีคนแฉว่าแฟนคลับสาวคนหนึ่งได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ในสนามบินให้เข้าไปภายในพื้นที่ที่บุคคลนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า นอกจากนี้ ยังอัปภาพขึ้นโซเชียลมีเดียเล่าว่าได้ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากรเพื่อเข้าไปชื่นชมอีจงซอกอย่างใกล้ชิด และอัพเดททุกอิริยาบทตั้งแต่จุดตรวจคนเข้าเมืองยันจุดรับกระเป๋า หวีดอย่างภูมิใจว่าได้จับมือศิลปินดังกล่าว
ความพีคยังไม่จบ เพราะนอกจากจะอัพเดทเสเต็ปตามติดอีจงซอก เจ้าหล่อนก็ยังพูดชื่อเพื่อนและชื่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรคนนั้น ขีดเส้นใต้ชัดๆ ไปเลย
ชาวทวิตภพก็เลยหัวร้อนกันอย่างยิ่งใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับการเข้าไปตามศิลปินภายในต.ม. หรือจุดรับกระเป๋า แต่ส่วนใหญ่ก็คือลงทุนซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อให้ได้เข้าไปเดินเล่นด้านในได้ แต่การใช้เส้นสายคนใน ทั้งยังปลอมตัวแบบนี้ถือว่าล้ำเส้นกติกาและไม่เหมาะสม ไหนจะเรื่องการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานเพราะปล่อยให้คนนอกเข้าไปในเขตห้ามสบายๆ
ต่อมาในวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา นายศิโรตม์ ดวงรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอาศยานสุวรรณภูมิ เผยว่า ได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด พบบุคคลภายนอกสองคน ผ่านเข้าช่องแตะบัตรอนุญาตรักษาความปลอดภัย เข้าไปด้านในคนละจุดเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ โดยมีเจ้าหน้าที่ศุลกากรเป็นคนเดินนำเข้าไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ที่สุดตรวจสอบเองก็ไม่ได้ตรวจความถูกต้องของบัตร
เหตุการณ์นี้ถือเป็นการละเมิดมาตรการรักษาความปลอดภัย ทางท่าอากาศยานจึงดำเนินการแจ้งความข้อหาบุกรุกพื้นที่ควบคุมของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งถือว่าเป็นคดีอาญา โทษสูงสุดจำคุก 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงข้อหานำบัตรของเจ้าหน้าที่มาใช้ และแจ้งความเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสินค้า ในข้อหาสนับสนุนช่วยเหลือการกระทำผิดครั้งนี้
ในวันที่ 19 กันยายน 61 เจ้าหน้าที่ศุลกากรคนดังกล่าวได้เข้าไปให้ปากคำ โดยสารภาพว่าเจ้าหน้าที่ท่านนี้รับทราบข้อกล่าวหา และสนับสนุนให้มีการกระทำผิดมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งทำให้ถัดมา วันที่ 20 กันยายน ท่าอากาศยานไทยมีคำสั่งระงับสิทธิของเจ้าหน้าที่ศุลกากรผู้นั้น รวมถึงสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจสอบออกจากพื้นที่ ให้ไปประจำที่พื้นที่ด้านนอกแทน
เหตุการณ์ครั้งนี้อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น แต่เรื่องแดงออกมาเพราะเจ้าตัวแชร์ลงโซเชียลป่าวประกาศเสียเอง จึงทำให้สังคมเกิดความสงสัยถึงมาตรการการดูแลรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถ้าเกิดว่าคนที่เข้าไปไม่ใช่แฟนคลับศิลปินธรรมดา แต่เป็นผู้ไม่หวังดีล่ะจะเกิดอะไรขึ้น? นี่ก็คงเป็นสิ่งที่ท่าอากาศยานต้องดูแลกวดขันให้เข้มงวดขึ้นต่อไป
ถ้ามัสก์ไม่โม้ เศรษฐีญี่ปุ่นพร้อมศิลปินจะได้ไปทัวร์ดวงจันทร์ เจอศิลปะแห่งอวกาศ
จะมีสักกี่คนที่ขยับตัวนิดหน่อยก็เป็นข่าวดังไปทั่วโลก หนึ่งในมนุษย์ประเภทนั้นก็คือ อีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัทเทสลาและบริษัทสเปซเอ็กซ์ แม้ข่าวแต่ละครั้งจะมีบ้างที่ทำให้ภาพลักษณ์เสียหาย เช่นเรื่องจะเอาเทสลาออกจากตลาดหุ้น ทะเลาะต่อเถียงกับทีมนักดำน้ำที่เข้าไปช่วยทีมหมูป่า สูบกัญชาขณะออกรายการ
แต่ก็ถือว่าได้พื้นที่สื่อไปเต็มๆ จนต้องสงสัยว่าจ้างทีมพีอาร์มาวางแผนหรือเปล่า
ล่าสุด พอจะมีข่าวความคืบหน้าที่ฟังเป็นข่าวดีบ้าง เมื่อสเปซเอ็กซ์ซึ่งทำธุรกิจด้านการขนส่งทางอวกาศ เพิ่งประกาศชื่อผู้โดยสารคนแรกที่จะได้ไปดวงจันทร์พร้อมกับยานของสเปซเอ็กซ์เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา โดยผู้โดยสารคนแรกคือมหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่น ยูซากุ มาเอะซาวะ วัย 42 ปี เจ้าของแบรนด์ Zozotown ที่ขายสินค้าแฟชันออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เขายังเป็นอดีตนักดนตรีร็อคและเป็นนักสะสมงานศิลปะด้วย ปัจจุบัน มีทรัพย์สิน $2,900 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 94,000 ล้านบาท
การเดินทางครั้งนี้จะโดยสารยานบิ๊กฟอลคอนร็อคเก็ต (BFR) กำหนดการเดินทางจะมีขึ้นราวปี 2023 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า หากแผนเป็นไปตามคาด มนุษย์กลุ่มนี้ก็จะถือเป็นมนุษย์รุ่นถัดมาที่ได้เดินทางไปดวงจันทร์ นับจากครั้งล่าสุดที่โครงการยานอะพอลโลไปสำรวจมาเมื่อปี 1972 พร้อมมนุษย์อวกาศ 24 คน
หลายคนมีคำถามในใจ ตีตั๋วไปดวงจันทร์เสียสตางค์ใบละเท่าไร? ตัวเลขนี้ยังไม่มีใครเปิดเผย แต่มาเอะซาวะประกาศว่าเขาไม่ได้จะไปคนเดียว จะเชิญศิลปินอีก 6-8 คนร่วมเดินทางโคจรรอบดวงจันทร์ไปด้วยกันด้วย
ธุรกิจทัวร์อวกาศในเวลานี้ นอกจากบริษัทสเปซเอ็กซ์ของอีลอน มัสก์แล้ว ยังมีค่ายใหญ่ๆ อย่าง บลู ออริจิน (Blue Origin) ของ เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์แอมะซอน และ เวอร์จิน กาแลกติก (Virgin Galactic) ของเครือเวอร์จินด้วย
บรรดาคนดังที่ประกาศซื้อทัวร์ไปกับค่ายต่างๆ ก็เช่น ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และ จัสติน บีเบอร์ ที่สมัครทัวร์อวกาศไปกับยานของเวอร์จินกาแลคติก ราคา 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8 ล้านบาทไทย) สำหรับการเดินทาง 90 นาที นอกจากนี้ ยังมีทริปชมวิวโลกจากอวกาศด้วยจรวด ‘นิว เชปเพิร์ด’ ของ บลู ออริจิน ค่าใช้จ่ายประมาณ 200,000-300,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.4-9.7 ล้านบาทไทย)
ราคาเท่านี้ ฟิตร่างกายให้พร้อม หยอดกระปุกทุกวัน ทำตัวเป็นซัมบอดี้ สักวันโอกาสจะเป็นของเรา
Tags: เศรษฐีญี่ปุ่น, สเปซเอ็กซ์, เกาะโต๊ะ, จอย-โจ้เก็บมะม่วง, ไต้ฝุ่นมังคุด, อีจงซอก, #2018LJSCrankUpinBkk