1

“ทรราชย์สีจิ้นผิง ออกไป!”

ณ บัดนี้ ประเทศจีนของฮ่องเต้สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ได้ประกาศยกเลิกมาตรการหลายอย่างในการคุมเข้มโควิดแบบสุด หันหลังให้นโยบายโควิดเป็นศูนย์แล้ว หลังถูกประชาราษฎร์ชาวจีนออกมาต่อต้านประท้วง ถึงขนาดที่สื่อตะวันตกบอกว่า เป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่นับตั้งแต่การล้อมปราบที่เทียนอันเหมิน เมื่อปี 1989

คนที่มารวมตัวประท้วง เพราะไม่พอใจการคุมเข้มโควิด ซึ่งทั้งโลกแทบจะผ่อนคลายมาตรการกันชนิดไม่กลัวโรคระบาดนี้แล้ว แต่ในจีนยังคงยืนยงอยู่ สร้างความลำบากให้กับประชาชนในประเทศอย่างมาก แม้หลายคนจะยืนยันว่าการประท้วงนี้ จะไม่ลุกลามไปสู่การโค่นล้มพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือสี จิ้นผิงได้

แต่การลงถนนของประชาชน ก็สะท้อนความเหลืออดของเพื่อนร่วมชาติ สะเทือนและสั่นไหวทำให้รัฐบาลต้องเปลี่ยนหันขวับกลับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเลย

การผ่อนคลายนี้จะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป นัยว่าเพื่อไม่ให้เสียหน้าแก่ฮ่องเต้องค์ใหม่ สะท้อนความหวั่นไหวในจีน และถือเป็นเรื่องท้าทายของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างมาก

มองย้อนลึกไปถึงแรงบันดาลใจของคนที่ออกมาบอก พอได้แล้วไหม นโยบายโควิดนี้ นอกจากความยากลำบากในการใช้ชีวิตแล้ว สิ่งที่กระตุ้นพวกเขาให้ออกมาประท้วง เกิดจากชายคนหนึ่ง ที่บัดนี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาถูกคุมขังอยู่ที่ใด มีชีวิตอยู่หรือไม่

ฉายาของเขาที่ทั้งโลก และในใจคนจีนจำนวนมากตั้งให้ก็คือ บุรุษแห่งสะพาน (Bridge Man) ความกล้าหาญของเขาเทียบเท่าบุรุษแห่งรถถัง (Tank Man) ที่ยืนขวางขบวนรถถังจากกองทัพปลดแอกประชาชนที่ส่งเข้ามาปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนที่ลานเทียนอันเหมินเมื่อปี 1989 เลย

ชื่อของเขาเป็นที่รับรู้ นี่คือเรื่องราวของมนุษย์ที่กล้าหาญ ในประเทศที่ทุกอย่างถูกสยบ ถูกเซนเซอร์ ในประเทศที่ผู้นำแข็งแกร่งและโหดเหี้ยม เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ แต่ชายคนนี้ก็ยังสู้ หัวจิตหัวใจควรได้รับการยกย่อง

นี่คือเรื่องราวของ เผิง ลี่ฝา (Peng Lifa)

2

ก่อนที่วีรกรรมเขาจะเกิดขึ้นเป็นบุรุษแห่งสะพานนั้น เผิง ลี่ฝา มีข้อมูลน้อยมากที่คนจะรู้จัก เชื่อกันว่าเขาอายุ 48 ปี เกิดที่เมืองแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับพรมแดนรัสเซีย มีลูกสาว น่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่น ภาพถ่ายกิจกรรมการใช้ชิวิตของเผิง อยู่ในติ๊กต๊อกและในทวิตเตอร์

เผิงน่าจะเป็นนักฟิสิกส์ มีผลงานการตีพิมพ์งานวิจัยหลายแห่ง และเป็นหุ้นส่วนให้กับบริษัทผลิตภัณฑ์สังเคราะห์ ข้อมูลของเขามีไม่มาก

แน่นอนไม่มีใครรู้จักเขามาก่อน จนกระทั่งวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่สะพานแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง มันเป็นจังหวะ 1 วันหลังพรรคคอมมิวนิสต์จีนสรุปผลการประชุม 3 วันก่อนที่สี จิ้นผิง จะได้รับการเลือกให้เป็นเลขาธิการพรรคสมัยที่ 3 อันเท่ากับการเป็นประมุขประเทศต่ออีกสมัย หลังครองมาแล้ว 10 ปี

เผิงใส่หมวกเหลือง ปลอมตัวเป็นคนงานก่อสร้าง ขึ้นไปที่สะพานดังกล่าว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เหมา เจ๋อตุงสร้างไว้เพื่อต้อนรับอาคันตุกะ ห่างออกไปก็เป็นย่านบริษัทเทคโนโลยีของจีน

สะพานแห่งนี้ยาวแค่ 280 เมตร เขารู้ดีว่ามีเวลาไม่มากก่อนที่ตำรวจและนักดับเพลิงจะมาถึง และเผิงก็จะโดนจับ แต่เวลาไม่กี่นาทีนั้น ก็คุ้มค่าและเขย่าผู้นำจีนอย่างยิ่ง

เผิงนำป้ายผ้าสีขาว 2 ป้ายไปแขวนบนสะพาน พร้อมกับเผายาง และตะโกนผ่านโทรโข่ง ถ้อยคำที่อยู่ในนั้นส่งตรงไปหาฮ่องเต้สีอย่างทันที มันเขียนไว้ว่า “นักศึกษา คนงาน ขอจงร่วมประท้วง ขับไล่เผด็จการและโจรปล้นชาติ สี จิ้นผิง”

“ไม่เอาเครื่องตรวจโควิด แต่จะเอาอาหาร ไม่เอาล็อกดาวน์ จะเอาเสรีภาพ ไม่เอาคำลวง จะเอาศักดิ์ศรี ไม่เอาปฏิวัติวัฒนธรรม จะเอาการปฏิรูป ไม่เอาผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่จะเอาการเลือกตั้ง ไม่ยอมเป็นทาส เพราะเราเป็นพลเมือง”

หลังจากนั้นไม่นานตำรวจได้เข้ารุมล้อมและจับเผิง ลี่ฝาไปทันที คลิปเผยให้เห็นการล้อมวงของเจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นไม่มีใครรู้ว่าชายคนนี้อยู่ที่ไหนในโลก

มีชีวิตอยู่หรือไม่ ตายไปหรือยัง ถูกทรมาน ถูกคุมขัง เจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหน ไม่มีข่าวของเผิงอีกต่อไป ขณะที่ทางการจีนเซนเซอร์ภาพข่าว คลิปของเผิง แม้กระทั่งชื่อ ฉายาบุรุษแห่งสะพาน ทุกอย่างถูกปกปิด

แต่ไม่มีอะไรหายไปจากใจของประชาชนได้ โดยเฉพาะมนุษย์ที่กล้าหาญออกมาพูดความคับข้องใจแทนคนทั้งประเทศ ใครจะลืมชายคนนี้ลง

3

ในวันดังกล่าวมีเอกสารในเว็บไซต์สถานศึกษา มันอยู่ในรูปแบบไฟล์พีดีเอฟ จำนวน 23 หน้า บอกถึง 21 วิธีการโค่นล้มสี จิ้นผิง ไม่มีใครแน่ใจว่าเผิงเป็นคนโพสต์เองหรือไม่ แต่ท้ายบทความเผยว่าเนื้อหาส่วนใหญ่นั้น เขาเขียนขึ้นมาเอง เผิงเน้นย้ำว่าสาธารณชนจีนจะต้องพยายามหยุดสี จิ้นผิงจากการเป็นผู้นำสมัย 3 ให้ได้

แน่นอนว่ามันไม่สำเร็จ สี จิ้นผิงขึ้นกุมอำนาจเด็ดขาด เลือกทีมงานที่ใกล้ชิดตัวเขา มาเป็นบริวารรายล้อม และนโยบายโควิดเป็นศูนย์ยังดำเนินต่อไป

เขาคิดว่าอำนาจของตัวเองดีพอจะคุมคนอื่นได้อยู่หมัด กดให้ศิโรราบได้ ในจีนมันอาจดูเหมือนเป็นเช่นนั้น ใครก็คาดการณ์แบบนี้ เผิง ลี่ฝา ก็แค่คนๆ เดียว จับขังไปแล้ว ก็หมดเสี้ยนหนาม

แต่เขาคาดการณ์หัวจิตหัวใจคนจีนผิดไป 2 เดือนต่อมา คนหนุ่มสาวในประเทศ ออกมาประท้วง ถ้อยคำหลายอย่างที่มีการเปล่งร้อง มาจากเนื้อหาในป้ายผ้าที่เผิงเขียนไว้ คนในประเทศรู้ดีถึงการคุมเข้มข้อมูล พวกเขาชูกระดาษเปล่า ใช้คำพ้องเสียงด่าขับไล่ฮ่องเต้จำแลงองค์ใหม่

ผู้ประท้วงหลายคนให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ โดยปิดบังชื่อสกุล ยกย่องเผิงอย่างมาก โดยบอกว่าเป็นแรงบันดาลใจ และหลายคนเจอผลกระทบจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างหนักหน่วง

“เขาแสดงให้เราเห็นว่า คุณสามารถพูดเรื่องเหล่านี้ได้ แม้อยู่ในจีน”

คนที่ออกมา มีความเสี่ยงถูกจับ และถึงขั้นถูกฆ่า แต่ทุกคนก็ออกมาเพราะสิ่งที่เผิงทำ การรวมตัวที่สั่นคลอนบังลังค์ฮ่องเต้สี ทำให้ในที่สุดรัฐบาลก็ต้องกลับลำนโยบายนี้ แม้จะยังไม่ผ่อนคลายมาตรการเยี่ยงหลายประเทศในโลกนี้ทำ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่า คำว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อต้านในรัฐที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จนั้น ไม่ใช่เรื่องจริง

อำนาจก็แค่ของลวงตา หากคนไม่กลัว มันก็แค่อากาศธาตุเท่านั้น

4

ปัญหาสำคัญที่จีนจะต้องเจอ หลังจากผ่อนคลายมาตรการโควิด นั่นก็คือ ความเสี่ยงที่คนจะติดเชื้ออย่างรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายประเทศทั่วโลกเจอมาเมื่อปีก่อนๆ ขณะนั้นหลายเสียงชื่นชมจีนที่คุมโควิดอยู่มีประสิทธิภาพ แต่ทุกอย่างคือฉากหน้าของเผด็จการที่ลวงหลอกเราเท่านั้น

ทุกวันนี้วัคซีนของจีนที่ใช้จัดการโควิด-19 ไม่ได้ผลกับสายพันธุ์ใหม่ๆ มันไม่มีประสิทธิภาพเท่าวัคซีนที่ใช้กันทั่วโลก จากตะวันตก นั่นคือสิ่งที่สี จิ้นผิงรู้ดี เขาจึงไม่กล้ายกเลิกนโยบายคุมโควิดเป็นศูนย์ เพราะหากลดการ์ดลง คนจีนจะตายจากโควิดอีกเป็นจำนวนมาก

นอกจากวัคซีนจะแย่แล้ว สิ่งหนึ่งที่จีนเจอคือ การฉีดวัคซีนกระตุ้นน้อยมาก โดยเฉพาะคนแก่ กลุ่มเสี่ยง มีอัตราการฉีดที่ไม่มาก ดังนั้นสิ่งน่าสะพรึงก็คือการลดการ์ดลง ในยามที่คุณไม่มีอะไรจะการันตีประชาชนได้ว่าจะปลอดภัยจริง แม้กระทั่งยา ก็น่าหวั่นไหวว่าจะไม่พอหากมีคนติดโควิด

มีข้อมูลว่าจะมีประชาชนกว่า 2 ล้านคนตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงโควิด สายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งเป็นชนิดที่วัคซีนจีนเองเอาไม่อยู่ สื่อหลายแห่งชี้ว่าจีนเด่นเรื่องการเตรียมพร้อมรับมือมาอย่างดีเยี่ยม แต่ดูเหมือนขณะนี้สถานการณ์ดูมืดมนมาก ประชากรกว่าพันล้านคน อาจเจอหายนะโควิด จนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงแน่นอนในเวลานี้

นี่คือสิ่งที่เกจิแดนมังกรต่างกังวลเป็นอย่างยิ่ง และคนจีนก็คงจะหวั่นใจเช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเบาใจก็คือการลดเรื่องคุมเข้มโควิดนั้น หมายถึงการไม่ต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่น ซึ่งเริ่มใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 โดยให้คนลงทะเบียนทั้งชื่อจริง เบอร์โทร. เพื่อใช้ติดตามประวัติว่าเดินทางไปไหน ซึ่งหลายครั้งแอพที่ดูเหมือนจะใช้ในการสอดส่องคนติดโควิด มันได้กลายสภาพมาเป็น แอพที่ไว้ติดตามสอดส่องประชาชนเสียเองด้วย มิหนำซ้ำหลายคราแอพได้แจ้งเตือนผิดพลาด ทำเอาคนต้องกักตัวทั้งที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง

แน่นอนว่าเรื่องนี้สร้างความปวดเศียรให้กับประชาชนชาวจีนอย่างยิ่ง ดังนั้นพลันที่มีข่าวยกเลิกแอพนี้ มีคนจีนรายหนึ่งโพสต์ว่า “หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีกต่อไป”

แน่นอนว่าขณะนี้ ความโกลาหลในจีนกำลังจะเริ่มขึ้น หลังมีรายงานว่ามีคนตรวจโควิดแล้วพบขึ้นสองขีด แต่ก็ยังเดินทางออกไปไหน อย่างปกติ ไม่กักตัวอะไรอีกแล้ว และมีการรายงานพบติดเชื้อระดับเป็นพันๆ แม้จะไม่ใช่ตัวเลขสูงสุดที่พบ ซึ่งเคยอยู่ในหลักหมื่น แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าจีนจัดการโควิดได้ไม่ดีเท่าไหร่

ตอนนี้คนจีนกำลังล็อกดาวน์ตัวเอง ปักกิ่งเป็นเมืองร้าง ร้านอาหารไร้ลูกค้า เพราะคนไม่กล้าออกไปไหน คลินิกมีผู้ป่วยเข้ารักษามากกว่าเดิม 16 เท่า นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของวิกฤติโควิดในจีนอย่างเห็นได้ชัด หลังถูกฉาบด้วยมาตรการโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่คือการกดทับไว้ต่างหาก เมื่อคลายมันออก ทุกอย่างก็ระเบิดตูมสะท้านแดนมังกร

คนจีนพบว่า 60% ของคนรู้จักติดโควิด เครื่องตรวจขายดีกันมาก และยาขาดแคลน  แถมที่มีอยู่ก็คือยารักษาตามอาการด้วย นี่คือสภาพที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นในประเทศมหาอำนาจแห่งนี้ พวกเขากำลังเจอการติดเชื้อเหมือนที่ทั้งโลกเคยเจอเมื่อหลายปีก่อน ยิ่งไม่มีวัคซีน จีนจะกระอักมากกว่าเดิม

คาดกันว่าตัวเลขการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ไอไมโครอนน่าจะพุ่งสูงอย่างมากในเดือนธันวาคมนี้ เชื่อว่า 60% ของคนจีนจะติดโควิด สถานการณ์จะน่าวิกฤติไปอีก 3 เดือน ทางการจีนที่จะต้องเร่งจัดการแก้ไขปัญหานี้ให้ได้โดยเร็ว ไม่อย่างนั้นระบบสาธารณสุขในประเทศจะพังแน่

และหากทำไม่ได้ มันอาจจะมีเผิง ลี่ฝาคนต่อไปก็ได้ วีรกรรมของชายคนนี้ นอกจากตีแผ่ความด้อยประสิทธิภาพของจีนแล้ว มันยังทำให้เห็นปัญหาของระบบเผด็จการรวมศูนย์ ที่เหมือนฉับไว แต่ความจริงเชื่องช้า และทำให้คนจีนทั้งประเทศจะต้องเจอกับความสะพรึงของโควิด ทั้งที่ทั้งโลกกำลังคลายใจลงไปแล้ว

แน่นอนว่าเรื่องราวของเผิงอาจจะจบลงที่โศกนาฏกรรมที่เราไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป หวังว่าเขาจะเป็นบุรุษแห่งสะพานที่นำความเปลี่ยนแปลงเพื่อเสรีภาพแก่ประชาชนคนจีนได้อย่างแท้จริง และหวังว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่

นี่คือเรื่องราวชายผู้กล้าหาญ และการปิดบังหมักหมมปัญหาจากผู้มีอำนาจ ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ขณะนี้จะจบลงอย่างไร แต่อย่างน้อยเรารู้ว่าเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากเผิง ลี่ฝา บุรุษแห่งสะพาน ชายผู้สั่นคลอนฮ่องเต้สี

ข้อมูลอ้างอิง

Tags: , , ,