หากคุณไม่คุ้นชื่อของเขา อย่างน้อยคุณอาจจะเคยได้เห็นภาพที่เขาถ่ายจากสื่อใดสื่อหนึ่ง

แต่สำหรับคนที่ทำงานด้านสื่อ โดยเฉพาะนักข่าวหรือช่างภาพเชิงสารคดี ชื่อของ วินัย ดิษฐจร เป็นเหมือนบุคคลในตำนาน ด้วยเส้นทางชีวิตและประสบการณ์บนสนามช่างภาพระดับนานาชาติอันโชกโชน เขาเคยเป็นช่างภาพประจำแผนกนิตยสารของหนังสือพิมพ์ Bangkok Post และช่างภาพข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ European Pressphoto Agency (EPA) ประจำประเทศไทย ก่อนที่ปัจจุบันจะผันตัวมาทำงานเป็นช่างภาพอิสระแนวข่าวและสารคดี เพื่อรายงานประเด็นที่เขาสนใจ โดยให้กล้องถ่ายภาพเป็นผู้บันทึกเรื่องราว

เป็นเรื่องราวของสถานการณ์ทางการเมือง สิทธิมนุษยชน สถานการณ์ในพื้นที่มีความขัดแย้ง สถานการณ์ภัยพิบัติ ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนในประเทศไทยและภูมิภาคข้างเคียงในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ชีวิตการเป็นช่างภาพพาเขาเดินทางไปคลุกคลีกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจแบบถึงลูกถึงคน โดยเฉพาะพื้นที่ที่สถานการณ์ทางการเมืองมีความละเอียดอ่อนและเปราะบาง หลายครั้งเขาเสี่ยงบาดเจ็บเลือดตกยางออก หรือแม้กระทั่งเสี่ยงต่อการสูญเสีย

แต่การเสี่ยงเหล่านั้นก็เพื่อส่งต่อความจริงที่ถูกบันทึกไว้ผ่านภาพถ่าย

ภาพถ่ายเป็นสื่อที่ใช้ในการสื่อสารเพื่อให้คนรับรู้ในช่วงปัจจุบันนั้น แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นคุณค่าทางศิลปะ ที่เมื่อเวลาผ่านไปมันจะถูกนำกลับมาใช้ในการรณรงค์หรือการระดมทุน หรือการรื้อฟื้นเหตุการณ์ในอดีต เพื่อให้คนที่เกิดไม่ทันหรือคนที่ไม่เคยรับรู้ออกมาค้นหาความจริงได้

เป็นโมเมนต์ ณ ปัจจุบัน ขณะที่ถูกแคปไว้ในเสี้ยววินาที ก่อนจะกลายเป็นอดีต เพื่อให้อนาคตได้เรียนรู้

ในวาระที่เขากำลังจะมีนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต ‘ทางราษฎร์กิโลเมตรที่ 0’ ซึ่งจะถ่ายทอดเรื่องราวของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่มีอายุยืนยาวกว่า 8 ทศวรรษ ในฐานะสถานที่ซึ่งผู้คนต่างความคิด ต่างความเชื่อทางการเมือง พยายามที่จะยื้อแย่งสิทธิความเป็นเจ้าของต่อสิ่งที่เรียกว่า ‘ประชาธิปไตย’ ผ่านภาพถ่าย เราจึงอยากชวนเขามาพูดคุยถึงมุมมองและความคิดที่มีต่อการเป็นช่างภาพเชิงข่าวและสารคดี 

พร้อมกันนั้น ก็ชวนเขาลองมาแชร์ประสบการณ์การเป็นช่างภาพที่ได้ลงไปคลุกคลีกับม็อบสำคัญๆ หลายต่อหลายครั้ง โดยเลือกมาเล่า 5 เหตุการณ์ที่เขาจำไม่ลืม ซึ่งคุณกำลังจะได้อ่านในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้

หลังจากทำงานเป็นช่างภาพแนวข่าวและสารคดีมาเป็นเวลานาน คุณมองเห็นว่าคุณสมบัติของช่างภาพแนวนี้ที่ต่างจากช่างภาพแนวอื่นๆ คืออะไร

การได้ทำงานและเห็นช่างภาพที่ถ่ายพวกภาพการเมือง เหตุการณ์ และชีวิตผู้คนต่างๆ ในประวัติศาสตร์ เราก็รู้สึกว่าภาพแบบนี้มีเสน่ห์และมีคุณค่า เพราะเป็นการบันทึกบริบทของสังคมการเมือง ผู้คน และความเชื่อ การแต่งกาย แบ็กกราวนด์ สถานที่ หรืออะไรต่างๆ 

แต่ประเด็นทางการเมืองก็เป็นสิ่งที่เราต้องหาความรู้ ฉะนั้น อย่างน้อยคุณสมบัติของคนถ่ายภาพแนวนี้ก็ต้องเป็นคนที่ใฝ่หาความรู้กับเรื่องราวเหล่านี้ และควรเป็นคนที่เอาตัวรอดในสนามได้ มีไหวพริบ อีกข้อคือเราเป็นช่างภาพอิสระ ซึ่งการทำงานของช่างภาพอิสระจะต่างกับช่างภาพในงานประจำตรงที่ว่า เวลาที่เกิดอุบัติเหตุหรือการเสียหายทั้งหลาย อย่างน้อยคนทำงานประจำก็มีบริษัทช่วยซัพพอร์ตให้ แต่การเป็นช่างภาพอิสระมันพลาดไม่ได้ ถ้าพลาดเจ็บตัวมาก็ต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ 

 

ในยุคปัจจุบันที่ทุกคนต่างก็มีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกัน การเป็นช่างภาพที่ต้องเข้าไปถ่ายม็อบ ซึ่งอาจจะมีอุดมการณ์หรือความเชื่อที่ไม่เหมือนคุณ จำเป็นต้องไปทำงานด้วยชุดความคิดแบบไหน ที่จะทำให้ไม่ถ่ายรูปออกมาแล้วดูไม่เป็นกลาง หรือเป็นการโจมตีอีกฝ่ายแบบผิดๆ 

ในความคิดเรา ถ้าเราไม่รู้อะไรเลยเราจะรู้สึกว่าเป็นกลาง เราเคยถูกส่งไปในประเทศต่างๆ อย่างฟิลิปปินส์ เราไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาคุยอะไรกัน แต่เราถ่ายภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า นั่นคือความเป็นกลาง เพราะเรามองเห็นแค่ในเฟรมว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือตอนที่ไปม็อบภาคใต้ เราก็รับรู้แค่ว่ามันน่ากลัว มีชาวมุสลิมที่มีความคิดแตกต่างจากชาวไทยที่เป็นชาวพุทธในกรุงเทพฯ แต่เราก็ถ่ายเลือกแค่สิ่งที่เห็นตรงหน้า 

ทีนี้พอเราเริ่มรู้ ก็จะมี 2 แบบ แบบแรก เราจะต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ก็คือเลือกข้างความถูกต้อง กับอีกแบบคือ เราเลือกอยู่ฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าดีกว่า ถึงแม้จะเป็นคนชั่วขนาดไหนก็ตาม อยู่ฝั่งเผด็จการดีกว่า ปลอดภัย ได้ประโยชน์ เพราะมีแต่ผู้ทรงอิทธิพลทั้งนั้น 

 

แล้วสำหรับคุณ การ ‘อยู่เป็น’ ของช่างภาพถือเป็นสิ่งที่ผิดไหม  

เราเป็นคนอยู่ไม่เป็น ไม่ได้เป็นลักษณะของแนวหน้า แกนนำ หรือหัวหอกอะไรแบบนั้น เพราะเรารู้ตัวว่าเราเป็นช่างภาพอิสระ ไม่ได้มีอิทธิพลทางความคิดหรือทางจิตวิญญาณ ไม่มีแบ็คอัพ แค่คนธรรมดา อย่างคนที่มาจากกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองเขาก็ยังมีพวกพ้อง แต่เราอาจจะเป็นคนธรรมดาที่ธรรมดามาก แต่เรามีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในฐานะผู้บันทึกประวัติศาสตร์และเผยแพร่ภาพถ่ายแบบนี้ รู้จักวิธีผ่อนหนักผ่อนเบา เอาตัวรอด แต่ไม่ถึงขั้นจะไปอยู่เป็นฝ่ายเผด็จการ ไม่มีทาง บางทีมีงานจ้างมาเป็นฝ่ายเผด็จการเรายังไม่ทำเลย เราเลือกที่จะทำงานที่ได้เงินน้อยแต่สบายใจดีกว่า เราเป็นคนแบบนี้ 

สมัยที่เราทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์ เราอ่านหนังสือแล้วเห็นคนต่อสู้กับเผด็จการ ต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ก็เห็นภาพในอนาคตว่าเราจะต้องเป็นลักษณะนี้ เราขยะแขยงการเดินตามต้อยๆ หรือสิ่งที่เป็นเผด็จการ เราไม่มีวันไปสวามิภักดิ์กับเผด็จการเด็ดขาด แต่จะต่อสู้ในบริบทหรือทรัพยากรที่มีอยู่ เท่าที่จะทำได้ 

 

ช่างภาพที่ถ่ายภาพในม็อบหรือสถานการณ์ทางการเมืองของสังคม มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงสังคมได้มากน้อยขนาดไหน 

มันก็มีส่วน เพียงแต่เราไม่ได้คาดหวังหรือสถาปนาตัวเองว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เราเป็นส่วนหนึ่งในกลไกเล็กๆ ไม่ได้เล่นใหญ่ถึงขนาดถ่ายไม่กี่ทีแล้วประกาศตัวเองว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรแบบนี้ มันมีหลายองค์ประกอบที่ประกอบกัน ซึ่งงานของเราก็เป็นส่วนหนึ่งในองค์ประกอบนั้น เราไม่ใช่นักวิชาการทางการเมือง เราไม่ได้เรียนมาโดยตรง เราก็รับรู้ได้จากการอ่าน การศึกษา หรือการไปม็อบ 

ถามว่าภาพถ่ายมีความเป็นกลางไหม มันก็อยู่ที่คนถ่าย เราถ่ายภาพจริง แต่เราอาจจะเลือกเฟรม เลือกระยะการมองเห็น หรือเลือกที่จะเฟรมภาพให้มันซ่อนนัยยะของความเลวร้าย ความไม่ยุติธรรม เราสามารถทำได้ ประกอบสร้างมันขึ้นมา แล้วพอถ่ายมาก็จะมีเรื่องของการ edit ภาพอีก สิ่งเหล่านี้เป็นการคัดเลือก ภาพถ่ายเป็นสื่อที่ใช้ในการสื่อสารเพื่อให้คนรับรู้ในช่วงปัจจุบันนั้น อีกมุมนึงก็เป็นคุณค่าทางศิลปะ ที่เมื่อเวลาผ่านไปมันจะถูกนำกลับมาใช้ในการรณรงค์ หรือการระดมทุน หรือการรื้อฟื้นเหตุการณ์ในอดีต เพื่อให้คนที่เกิดไม่ทันหรือคนที่ไม่เคยรับรู้ออกมาค้นหาความจริงได้ อันนี้คือภารกิจของเรา

 

5 ประสบการณ์ใจกลางม็อบ ที่จำไม่ลืมของ วินัย ดิษฐจร

 1. ม็อบที่มัสยิดกลางปัตตานี

“ประมาณปี 2550 เราลาออกจากสำนักข่าว EPA ตอนนั้นเราไปภาคใต้บ่อยมาก เพราะเป็นช่วงก่อตั้งสำนักข่าว EPA แล้วมีเหตุการณ์ไฟใต้ปะทุ มีเหตุการณ์ปล้นปืนตอนมกรา 2547 เขาส่งเราไปอยู่ที่ปัตตานี 2-3 อาทิตย์ พอกลับมาก็ได้ไปอีกหลายครั้ง ตอนเด็กๆ เรารับรู้เรื่องสงครามความขัดแย้ง ภาคใต้ดูน่ากลัวอันตราย แต่พอได้ไปเราก็ชอบบรรยากาศของความเป็นมุสลิม เป็นมลายู ถ่ายรูปก็สวย ลึกลับดี 

“ตอนลาออกจากสำนักข่าวมา เรามีประสบการณ์การทำงานพอสมควร เรารู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง ต้องเตรียมของเตรียมอะไรยังไง การที่เราเป็นช่างภาพอิสระต่างจากช่างภาพประจำตรงที่ว่า ตอนที่เราอยู่ EPA เราก็กินหรูอยู่สบาย มีโรงแรม มีรถเช่า ทุกอย่างเบิกได้ แต่พอมาเป็นช่างภาพอิสระ เราต้องนั่งรถทัวร์ไป 14 ชั่วโมง ทรหด เหนื่อย และเมื่อยมาก หรือบางทีก็มีงานจ้าง บางครั้งก็ได้ตั๋วเครื่องบินจากการไปบรรยาย หรือไปเวิร์กช็อป 

“เหตุการณ์ที่ปัตตานีตอนนั้น เราจะมอนิเตอร์ได้จากการดูโทรทัศน์ หรือดูเว็บไซต์ เพราะยังไม่มี Facebook ไม่มี Line ให้ส่ง ทีนี้พอเรามีประสบการณ์จากการทำงานนี้มาพอสมควร รู้วิธีกลั่นกรองและรู้ไทม์ไลน์ ใจก็รู้สึกว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี คือการถ่ายม็อบจะน่าเบื่อ ต้องอดทน เพราะว่าถ้าไปอาจจะไม่มีอะไรหรือว่าเลิกชุมนุมไปแล้ว แต่เราตามสถานการณ์ก็พอจะรู้ว่าเหตุการณ์น่าจะตกลงกันไม่ได้ เราเลยตัดสินใจนั่งรถทัวร์ไปเลย

“ตอนเช้าใกล้ถึงปัตตานี เราก็เริ่มแต่งตัว เตรียมของให้พร้อม ตั้งใจว่าไปถ่ายเสร็จก็จะกลับเลย คือขาไป 14 ชั่วโมง ถ่ายเสร็จก็นั่งรถกลับอีก 14 ชั่วโมง เพื่อที่จะประหยัดค่าใช้จ่าย พอไปถึง ก็ไปเจอคุณลุงที่ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เขาก็ถามว่าไปไหน เราก็บอกว่าไปมัสยิดกลางปัตตานีด่วนเลย เพราะเขากำลังชุมนุมกัน เป็นช่วงที่ทหารตำรวจออกมาประกาศว่า ใครที่ไม่เกี่ยวข้องแม้กระทั่งสื่อมวลชนต่างๆ ให้เดินถอยออกมาจากมัสยิดกลางปัตตานี เหตุการณ์กำลังตึงเครียด ที่อาจจะมีการสลายการชุมนุม ตอนนั้นไม่มีสื่อเลย มีแต่ผู้ชุมนุม

“คุณลุงก็พาเราไปเข้าทางข้างหลังมัสยิดกลาง เพราะเขารู้พื้นที่ เขาไม่ได้อยู่ข้างเรานะ แต่เขาทำตามหน้าที่ของมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ว่า เข้าทางนี้ไม่ได้ก็เข้าอีกทาง ทีนี้เขาพาไปประตูหลัง ปรากฏว่าไปโผล่ใจกลางการชุมนุม เรากลายเป็นคนในม็อบเฉยเลย ผู้คนในม็อบก็เอาเสื้อยืดคลุมหัว ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชาย ผู้ชายบางคนถอดเสื้อก็มี เราก็ถ่ายภาพ ภาพที่ได้มันมีพลังมาก เป็นผู้ชุมนุมชูกำปั้น มีฉากหลังเป็นโดมของมัสยิด แสงก็ดีด้วย 

“พอถ่ายเสร็จ เราก็เดินออกมาตรงแนวตำรวจ เขาก็ถามว่ามาได้ยังไง พวกสื่อก็แปลกใจ เพราะมีสื่อท้องถิ่นกับสื่อส่วนกลางจากกรุงเทพฯ มาด้วย แต่ไม่ได้เข้าไปในม็อบ แต่เราได้อยู่ในการชุมนุมตรงมัสยิดกลางปัตตานีประมาณ 40 นาที ในช่วงวินาทีสำคัญมาก เราก็รู้สึกว่าตัดสินใจถูกที่มา เราทุ่มเททั้งทรัพยากรร่างกายและเวลา ตระเวนตามมุมนู้นมุมนี้ที่เราคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภาพที่ถ่ายก็ถูกนำไปแสดงในงานหลายที่และถูกตีพิมพ์ด้วย” 

2. ม็อบประท้วงกรีนพีซที่ฟิลิปปินส์ 

“เหตุการณ์ที่ฟิลิปปินส์ ตอนปี 2551 เป็นการประท้วงเรื่องภาวะโลกร้อน การใช้พลังงานสะอาด ของกลุ่มกรีนพีซ (Greenpeace) เราได้รับการติดต่อให้ไปถ่ายเป็นวาระพิเศษ ตอนนั้นเราทำงานอยู่บนเรือเรนโบว์วอร์ริเออร์ (The Rainbow Warrior) เป็นเรือธงของกลุ่มกรีนพีซ ที่ใช้ในการรณรงค์เรื่องต่างๆ และได้ไปฟิลิปปินส์ ไปอินโดนีเซีย ไปซูราบายา ไปเกาะสุมาตรา

“ตอนนั้นเป็นช่วงที่เรือไปปิดทางเข้าโรงงานไฟฟ้าพลังงานถ่านหินที่เมืองปาเลา เพื่อไม่ให้เรือขนถ่านหินจากออสเตรเลียเข้าและออก มีการยื่นข้อเสนอการประท้วง แล้วเราก็ต้องถ่ายภาพ ทำงานอยู่บนเรือ ซึ่งเราเป็นช่างภาพอิสระ ไม่ใช่อาสาสมัคร หน้าที่ของเราคือบันทึกเหตุการณ์บนเรือทั่วไป ชีวิตประจำวันกับการประท้วง 

“การประท้วงมีทั้งแบบสงบ ชูป้ายธรรมดา รวมถึงตอนที่มีเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรงต่อคนในเรือหรืออาสาสมัคร เราก็ต้องบันทึกเหตุการณ์ตรงนั้น พร้อมกับต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด ลงใต้ท้องเรือ เข้าห้องวิทยุสื่อสารซึ่งเป็นประตูเหล็กอย่างหนา เพื่อที่จะส่งรูปและข่าวให้ทัน แล้วค่อยมอบตัว ห้ามซุ่มซ่าม ห้ามโดนจับ ห้ามงอแง ห้ามท้อแท้ ต้องให้ทุกอย่างครบหมด พวกอาสาสมัครก็จะมีวิธีการต่อสู้อย่างสันติ เขาก็จะนั่งลงทำตัวโอนอ่อน เอามือคล้องกันแล้วใส่กุญแจมือ เพื่อให้เห็นว่าเขาไม่ต่อสู้แล้ว จากการที่ตำรวจหรือทหารลากเขาไปทำร้าย มีทหารฟิลิปปินส์ขึ้นสปีดโบ๊ทมาล้อมเรือ เราก็ถ่ายบรรยากาศการเจรจา แต่สุดท้ายเราก็ยอมถอย เหตุการณ์ก็ไม่ได้ถึงขั้นเลือดตกยางออก แล้วก็ย้ายไปอีกเมือง ที่ถอยไม่ใช่ว่าเขายอมแพ้ แต่เขาแค่ทำเป็นสัญลักษณ์จากการปฏิบัติการ เพื่อให้โลกรู้ว่ามีโรงงานไฟฟ้าถ่านหินตรงนี้ แล้วกรีนพีซได้มาถึงแล้ว 

“พอไปอีกเมืองในฟิลิปปินส์ เราก็ลงจากเรือเรนโบว์วอร์ริเออร์แล้วนั่งสปีดโบ๊ทไปยึดพื้นที่ตรงหน้าโรงไฟฟ้า ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าที่แรกนิดหนึ่ง อาสาสมัครมีการเตรียมเหล็กที่ต่อมาอย่างดี เหมือนเอาเหล็กมาประกอบแล้วทำเป็นหอคอยขึ้นไป ทำเพื่อเป็นทาวเวอร์ มีโซลาร์เซลล์เป็นแผ่นติดตั้งไว้ เพื่อให้คนที่เห็นได้รับรู้ว่ามีทางเลือกอื่นของการใช้พลังงาน เราก็ยึดพื้นที่ตรงนั้นอยู่ 2-3 วัน 

“สไตล์ของการประท้วงที่ฟิลิปปินส์จะมีการแจกใบปลิวเพื่อชักชวนให้คนเห็นคุณค่าของพลังงานสะอาด ให้มาทดแทนพลังงานสกปรกที่จะทำให้เกิดโลกร้อน แล้วก็ชวนเด็กๆ ในหมู่บ้านมาวาดรูประบายสี ปักเป็นธงต่างๆ เหมือนงานวันเด็ก แล้วคนที่ทำงานในโรงไฟฟ้าถ่านหิน เป็นคนยากจนเยอะ หลายคนได้รับข้อมูลจากนายจ้างหรือพวกที่มีอิทธิพลที่มายุว่า หากกรีนพีซมายึดโรงงานไฟฟ้า พวกเขาจะไม่มีงานทำ ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็มาที่พวกเราอยู่พร้อมกับมีด มารื้อของ เพื่อให้เรากลับไป ก็มีการเจรจาคุยกัน แต่เราไม่รู้ว่าเขาคุยอะไร เพราะเป็นภาษาฟิลิปปินส์ แต่สิ่งที่เราต้องระวังคือ ตอนกลางคืนที่อาจมีคนบุกเข้ามาทำร้าย หรือพวกทหารที่เขาก็ไม่ชอบเราอยู่แล้ว เพราะเขาเข้าข้างนายทุน และเกลียดกรีนพีซ 

“ดังนั้น ตอนกลางคืนเราต้องเตรียมพร้อมตลอด ที่ที่พวกเราอยู่คือตรงหาด ซึ่งจะมีแพสำหรับเทียบเรือยาง เราคิดว่าถ้าหนีลงเรือยางไม่ทัน ก็ต้องวิ่งไปในป่า ต้องเอาตัวรอด ในกระเป๋าก็มีอาหารที่ให้พออยู่รอดได้ อย่าไปคิดว่าใครเชื่อใจได้ ต้องปกป้องตัวเราให้ดี อย่าให้โดนจับ อย่าให้บาดเจ็บ พอตอนเช้าเราก็ลงเรือเตรียมถอยทัพหนี ชาวบ้านก็มายืนมองเราเก็บของ มาดูเชิงเราก่อน ถ้าเกิดเราไม่เก็บเขาจะมากลุ่มใหญ่แน่ๆ เราเลยเก็บแล้วถอนตัวกลับ กรีนพีซก็เสร็จสิ้นภารกิจที่ได้เผยแพร่กิจกรรม”

3. ม็อบเสื้อแดงซ้อมเคลื่อนพลที่อีสาน

“เหตุการณ์ชุมนุมของอีสานปี 2553 เป็นช่วงที่กลุ่ม กปปส. กลุ่มเสื้อแดง จากภาคเหนือ จากอีสาน เข้ามากรุงเทพฯ เราก็รู้สึกว่าจะต้องเก็บภาพประวัติศาสตร์ช่วงนี้ แม้ว่ามันจะเป็นการซ้อมเคลื่อนพลก็ตาม ตอนนั้นไม่มีความรุนแรงอะไร แต่เราได้เห็นพลังของมวลชนในแนวทางสันติวิธี เหตุการณ์ครั้งนั้นค่อนข้างทรหด เราขี่มอเตอร์ไซค์ไปพร้อมกับผู้ชุมนุม แล้วต้องหยุดถ่ายรูป หามุม มันไม่ได้เหมือนการไลฟ์สดถ่ายไปเรื่อย เราได้เห็นบรรยากาศของคนตัวเล็กตัวน้อย เขาไม่ได้เป็นคนจน แต่เป็นคนชนชั้นกลาง บางคนก็ขับรถเก๋ง กระบะ มาจอยในกลุ่มชุมนุม 

“เรารู้สึกว่ามันเป็นภาพของชนชั้นกลางใหม่จากต่างจังหวัดที่เติบโตขึ้นและออกมาเรียกร้องผลประโยชน์ สิทธิที่พึงมีพึงได้ เพราะถูกลิดรอนจากแนวคิดของ กปปส. เหตุการณ์ครั้งนี้นอกจากจะทึ่งกับการแสดงพลังของกลุ่มคนอีสานแล้ว เรายังทึ่งกับพลังของตัวเองในการตามถ่ายภาพด้วย (หัวเราะ)” 

4. 2 ก.ย. 2551 ม็อบ นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ)

“หลังจากรัฐประหารปี 2549 ก็มีกลุ่มพลังทางการเมืองเกิดขึ้นมาเพื่อต่อต้าน ตอนนั้นยังไม่มีกลุ่มเสื้อแดง คนที่ต่อต้านรัฐประหารก็คือ นปช. ตอนนั้นมีม็อบที่สนามหลวงเคลื่อนขบวนมา มีม็อบพันธมิตรอยู่ที่ทำเนียบที่ผ่านฟ้า นปช. ก็เคลื่อนขบวนมาแถวกองทัพบก แถวหน้าสนามมวยราชดำเนิน ปรากฏว่าปะทะกับเสื้อเหลือง มีการใช้ปืน ใช้มีด ใช้ไม้ ช่วงนั้นสมัคร สุนทรเวช ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน แต่บิ๊กป้อมไม่ตอบรับ ครั้งนั้นเป็นการที่เราเห็นการปะทะระหว่างประชาชนด้วยกัน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน 

“ตอนนั้นเรายังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการเมืองนัก ตอนไปถ่ายภาพเหตุการณ์ก็เตรียมตัวไม่ดี แต่หลังจากนั้นเราก็เริ่มมีผ้าพันแผล มีอะไรต่างๆ ติดมาด้วย จนปัจจุบันนี้มีหน้ากากแก๊ส มีผ้าสามเหลี่ยมพันแขนไม่ให้กระทบกระเทือน มีที่ห้ามเลือด เราเริ่มเห็นความสำคัญของความปลอดภัยเวลาลงม็อบ” 

5. ม็อบเสื้อแดงบุกล้อมไทยคม 

“เหตุเกิดช่วงวันที่ 9 เมษายน 2553 ที่ นปช. เคลื่อนพลไปปิดล้อมที่สถานีไทยคม เพราะรัฐบาลไปปิดล้อมกลุ่มเสื้อแดง เขาเลยไม่พอใจ ตอนนั้นเราอยู่หน้างานเลย ต้องวางแผนสเต็ปการวิ่ง จะไปล้มให้เขาเหยียบไม่ได้ เราเห็นรถที่เขาเอามากั้นเป็นแนวปราการ เห็นรถฉีดน้ำ ก็คิดว่าจะวิ่งไปบนนั้นเพื่อถ่ายรูปจากมุมสูง เห็นภาพทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เหมือนในหนังจีนที่ฟันดาบกัน พอถ่ายเสร็จก็ต้องกระโดดหนีทหารที่จะฉีดน้ำ ต้องวิ่งไปถ่ายไป และหลบอยู่ตรงป้อมยามเพื่อให้มีที่กำบัง เหตุการณ์ก็วุ่นวาย มีการใช้ปืนกระสุนยางยิงกัน มีแก๊สน้ำตา แต่เราไม่มีอะไรป้องกันเลย มีแค่ผ้าชุบน้ำ ถ้าไม่ไหวก็ถอยออกมาหายใจแล้วก็วิ่งกลับเข้าไปใหม่ 

“ถามว่าทำไมต้องทำขนาดนั้น เพราะเราเห็นว่าตรงนี้มันคือคีย์เวิร์ดสำคัญของการถ่าย วันที่ 9 ที่ไทยคม ก็ค่อนข้างรุนแรง แต่พอมาถึงวันที่ 10  ก็เกิดเหตุการณ์เอาคืนการสลายการชุมนุม ทหารเคลื่อนขบวนมาพร้อมปืน มีกระสุนยาง พอปะทะกันแล้วเรารู้สึกว่าโดนยิงที่ขา คนต่างจังหวัดที่เป็นชาวบ้านจะมาช่วย จะขี่รถพาเราออกไป เราก็บอกว่าไม่ได้ เดี๋ยวขับไปเจอทหารตำรวจ หรือไปเจอมวลชนฝ่ายตรงข้ามที่คิดว่าเราเป็นเสื้อแดง 

“ตอนนั้นเราโดนยิงทะลุขาที่สะพานมัฆวาน ไม่มีการห้ามเลือด เพราะมีแค่ผ้าพันคอ แต่เราจำได้ว่าจุดไหนมีพยาบาล เราก็บอกเขาให้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่ผ่านฟ้า ตอนนั้นเลือดก็ไหลเยอะ รู้สึกหนาวและตามองไม่ค่อยชัด หูวิ้งๆ เหมือนร่างกายมันเสียเลือด พอไปถึงก็เจอพยาบาล เขาเอาผ้าพันแผลมาพัน มีคนอื่นนั่งเรียงกันอยู่ ในเต็นท์ก็มีป้ายไวนิลที่เหมือนกันแดด เราก็บอกว่าอย่าวางเราตรงนี้เลย เพราะว่าถ้าเกิดเต็นท์มันล้ม แล้วป้ายทับเรา เราจะกลายเป็นบุคคลที่ถูกลืม 

“เราต้องอธิบายเขาว่าเราไม่ใช่สื่อทางทหาร เพราะคนเสื้อแดงไม่ชอบ แต่เราก็มีนามบัตรเตรียมไปว่าเราทำงานให้กับสื่ออะไร เพื่อจะสื่อสารให้เขารู้ แต่เราก็กลัวว่ารถพยาบาลของเราจะถูกยิงหรือถูกสกัดกั้น ท้ายสุด เขาก็พาเราไปโรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาล หมอก็ดูไม่ชอบเรา คิดว่าเราเป็นคนเสื้อแดง ตอนที่เขาทำแผลก็บ่นด่าผู้ชุมนุมไปด้วย 

“ตอนนั้นเราอยู่บนตึกสูงในโรงพยาบาลที่มีระเบียง พอมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นท้องฟ้าเดือนเมษายนเป็นสีแดง มีเสียงปืนเสียงอะไร มีกลุ่มควันไฟ ฉากมันงดงามแต่ก็ดูเศร้ามาก ซึ่งเราก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นั้นด้วย”

Fact Box

  • ‘ทางราษฎร์กิโลเมตรที่ 0’ เป็นนิทรรศการภาพถ่ายโดย วินัย ดิษฐจร ซึ่งจะถ่ายทอดเรื่องราวของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่มีอายุยืนยาวกว่า 8 ทศวรรษ ในฐานะสถานที่ซึ่งผู้คนต่างความคิด ต่างความเชื่อทางการเมือง พยายามที่จะยื้อแย่งสิทธิความเป็นเจ้าของต่อสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตย
  • นิทรรศการจัดแสดงที่ VS Gallery ซอยนราธิวาส 22 เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป
Tags: , , , ,