เมื่อพูดถึงซีรีส์ไม่ว่าจะเป็น Boys’ Love หรือ Girls’ Love ทั่วโลก ‘ซีรีส์สัญชาติไทย’ มักถูกพูดถึงเป็นอย่างแรกๆ แน่นอน เพราะอุตสาหกรรมซีรีส์บ้านเรามีความหลากหลายสูง และสำหรับคนชอบเรื่องราวขมๆ อีกไม่กี่วันเราจะได้ชมซีรีส์แซฟฟิกแบบรักสามเส้า อย่าง Roller Coaster: รักขบวนนี้หัวใจเกือบวาย ที่ได้ลงจอช่อง 3 เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา จุดเด่นของซีรีส์แซฟฟิกเรื่องนี้อยู่ที่การได้นักแสดงนำเป็นแซฟฟิก 

โอกาสนี้ The Momentum ชวน เนโกะ-เนรัญชรา เลิศประเสริฐ, ออม-พันดาว ปัญญาบารมี และเชลลี่-เพชรใส จันทร์เรือง มาพูดคุยถึงเรื่องราวรักสามเส้าในซีรีส์และชีวิตจริง เล่าถึงความลื่นไหลทางเพศของตัวละคร ความท้าทายของเนโกะ คนตลกที่ต้องรับบทเป็นผู้ใหญ่สุดจริงจัง ความกดดันของพันดาว กับเชลลี่ในการเล่นซีรีส์เรื่องแรก และมิตรภาพของทั้ง 3 คน รวมถึงสิ่งที่อยากสื่อสารกับแซฟฟิกและแฟนซีรีส์ทุกคน

ความเป็นมนุษย์กับรักสามเส้า

เรื่องราวของ Roller Coaster เริ่มจากแอร์ (เนโกะ) กับเพียว (พันดาว) เป็นแฟนกัน จนกระทั่งวันหนึ่งแอร์มีเหตุจำเป็นต้องไปแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งที่แอร์ยังรักและเป็นห่วงเพียวอยู่ แอร์จึงแนะนำให้เพียวรู้จักกับลอฟต์ (เชลลี่) ที่เป็นน้องสาวของสามีตัวเอง ลอฟต์กลายเป็นคนเข้าไปฮีลใจเพียว สถานการณ์รักสามเส้าจึงเริ่มขึ้น และเผลอๆ อาจเป็นรักสี่เส้าเสียด้วยซ้ำ

“ความน่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้คือ ทุกตัวละครมีเหตุผลของตัวเอง และมีความเป็นมนุษย์สูงมาก เป็นมนุษย์ที่โหยหาความสุข” พันดาวอธิบาย โดยเธอรับบทเป็นเพียว ผู้หญิงที่เลือกจะรอคนรักโดยไม่สนว่าเขาแต่งงาน เพราะเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้เป็นความสุขของเธอ แต่ในวันที่มีผู้หญิงคนใหม่เข้ามาทำให้เพียวมีความสุขมากกว่าเดิม เพียวจึงต้องชั่งใจว่าจะเดินต่อในเส้นทางเดิมหรือเปิดรับสิ่งใหม่ กลายเป็นรักสามเส้า ทั้งที่ตัวละครโสด 

ในขณะที่เนโกะ ผู้รับบทเป็นแอร์ ขยายความว่า ตัวละครแต่ละคนมีเหตุผลเป็นของตัวเองในการตัดสินใจ แอร์เลือกแต่งงานเพราะต้องการรักษาครอบครัวและคิดว่าครอบครัวจะมีความสุข เธอจึงไม่อยากเห็นแก่ตัวเลือกความสุขของตัวเอง แต่ก็มีตัวละครอื่นที่ตั้งคำถามกลับว่า ‘ทำไมจะเห็นแก่ตัวไม่ได้’ หรือแม้บางคนที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า การตัดสินใจของตนไม่ได้เห็นแก่ตัว

“มันเป็นซีรีส์สีเทา แต่ละคนมีเหตุผลของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่เข้าข้างตัวเองโดยไม่สนใจคนอื่น หรือเหตุผลที่สนใจคนอื่นมากไปจนลืมตัวเอง” เนโกะกล่าว

เช่นเดียวกับเชลลี่ที่เสริมว่า “เรื่องนี้นำเสนอความเป็นมนุษย์ในโลกใบนี้จริงๆ มีทั้งความสุข เศร้า เสียใจ ความลังเลในการตัดสินใจ หรือการเลือกแบบไม่ลังเล ทุกสถานการณ์ในซีรีส์คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในโลก” 

บทของ Roller Coaster จึงไม่ได้เล่าแค่ประเด็นรักสามเส้าเพียงเพื่อสร้างดราม่า แต่สะท้อนให้เห็นความคิด ความรู้สึก และอารณ์รักโลภโกรธหลงอันเป็นปกติของมนุษย์ ซึ่งอาจนำพาไปอยู่ในสถานการณ์รักสามเส้าได้ ทว่าทัศนคติของ 3 คนที่มีต่อรักสามเส้านั้นแตกต่างจากตัวละครที่ตัวเองสวมบทบาท

“สำหรับพันดาวจะไม่ปล่อยให้เป็นรักสามเส้าแน่นอน เราจะรู้ตัวเองดีว่าเรารู้สึกอะไร แล้วเราจะไม่ทำให้คนอื่นเสียเวลา เราจะไม่ยื้อใครสักคนไว้ในชีวิตแค่เพราะว่ายังเลือกไม่ได้ เพราะพันดาวรู้สึกว่า มันมีคนที่ใจรู้สึกรักมากกว่าอยู่แล้ว มันไม่มีเท่ากัน” พันดาวตอบ

ทั้งนี้เนโกะกับเชลลี่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์รักสามเส้าให้คำตอบไปในทิศทางเดียวกันว่า จะไม่ยอมให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ในชีวิตจริงอย่างแน่นอน

“ถ้าเนโกะเจอสถานการณ์แบบนี้คงไม่อยู่ตรงนั้น จะไม่ให้เป็นรักสามเส้าตั้งแต่แรก หรือถ้าเป็นคนที่เข้าไปเป็นรักสามเส้าก็พร้อมจะออกมา” เนโกะตอบอย่างหนักแน่น ตามด้วยเชลลี่ให้ความเห็นว่า “รักสามเส้าไม่มีทางจบแบบ Happy Ending ต้องตัดสินใจเลือก จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ไม่ควรให้มันเกิดขึ้นดีที่สุด” เชลลี่กล่าว

ความท้าทายที่มากกว่ารับบทแซฟฟิก

นอกจากทัศนคติเรื่องความรักที่แตกต่างจากตัวละครแล้ว สำหรับคาแรกเตอร์ของแอร์ ตัวละครที่เนโกะต้องสวมบทบาทยังแตกต่างกับตัวเนโกะโดยสิ้นเชิง ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในฐานะนักแสดงของเธอ

“เนโกะกับแอร์ นิสัยไม่เหมือนกันเลย แบบหน้ามือกับหลังมือก็ว่าได้ แอร์เป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ จริงจังกับชีวิต คิดเยอะ พูดน้อย แคร์ฐานะทางสังคม และให้ความสำคัญในชีวิตให้ครอบครัวเป็นลำดับแรก แต่เนโกะเป็นคนพูดเก่ง และตลกเฮฮา” เนโกะตอบด้วยเสียงหัวเราะ

ในขณะที่พันดาวกับเชลลี่ซึ่งรับบทเพียวและลอฟต์ ที่ได้เล่นซีรีส์เป็นเรื่องแรกทั้งคู่กล่าวว่า เป็นความโชคดีที่บุคลิกของตัวละครมีความคล้ายคลึงกับตนเอง

“เชลลี่เองบุคลิกใกล้เคียงกับบทลอฟต์มาก เพราะชีวิตจริงเชลลี่เป็นคนตลก ขี้เล่น มีทั้งความ Masculine กับ Feminine ความเหมือนตรงนี้ทำให้เชลลี่มาแคสต์บทนี้ เพราะอยากเล่นเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์” เชลลี่เล่า

ด้านพันดาวยิ่งมีแรงจูงใจในการรับบทเพียว เพราะตัวตนและประสบการณ์ในอดีตของเธอมีจุดร่วมกับตัวละคร 

“พันดาวเป็นแซฟฟิก บทเพียวก็เป็นแซฟฟิกเหมือนกัน แล้วเราอาจเคยประสบปัญหาความรักคล้ายๆ กัน อาจทำให้พันดาวเข้าใจตัวละครว่า สิ่งที่เผชิญอยู่มันรู้สึกอย่างไร จะค่อนข้างอินกับตัวละครนี้มาก แล้วกิจกรรมหลายๆ อย่างของตัวละครก็เหมือนเรามาก เป็นอีกเหตุผลที่เลือกแคสต์บทนี้ด้วย” พันดาวกล่าว

Roller Coaster ไม่เพียงพาผู้ชมเข้าสู่ความสัมพันธ์รักสามเส้า แต่ยังสะท้อนภาพของความลื่นไหลทางเพศ ผ่านตัวละครที่ไม่จำกัดตัวเองอยู่ในกรอบของโพสิชันใดโพสิชันหนึ่ง โดยเฉพาะตัวละครเพียวที่แสดงออกในลักษณะโบท (Both)

“สังคมเราจะชอบพูดถึงเรื่องโพสิชันกัน ความเป็นรุก-รับ หรือซ้าย-ขวา ซึ่งตัวละครของเพียวมีความลื่นไหลที่ชัดเจน สมมติอยู่กับพี่แอร์จะมีความเป็นรุกมากกว่า หรืออยู่กับลอฟต์จะมีความเป็นรับมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่พันดาวอยากให้มองเป็นปกติ เพราะมันมีตัวตนของคนแบบนี้จริงๆ ที่เป็นโบทได้ทั้งรุกและรับ และตัวละครลอฟต์กับพี่แอร์ก็มีความลื่นไหลเหมือนกัน”

พันดาวยังสะท้อนประสบการณ์ตรงที่เคยเจอการตั้งคำถามจากคนในคอมมูนิตี้เดียวกัน เช่น ‘แกโบทเหรอ’ หรือ ‘หน้าหวานๆ อย่างแก ได้เหรอ’

“เขาดูไม่เชื่อในสิ่งที่เราเป็น ซึ่งรู้สึกแย่นะ” พันดาวกล่าว

อย่างไรก็ตาม พันดาวที่ก่อนหน้านี้มีชื่อเสียงในคอมมูนิตี้แซฟฟิกอยู่แล้ว เมื่อได้มาเล่นซีรีส์แซฟฟิก แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดีในคอมมูนิตี้ แต่ในอีกแง่หนึ่งกลับกลายเป็นดาบสองคมที่แม้จะมีคนรอชม แต่มีคนสบประมาท

“ชาวเน็ตอาจจะรู้จักพันดาวในฐานะแซฟฟิก ซึ่งตอนที่พันดาวมาร่วมโปรเจกต์ซีรีส์นี้ ก็มีคอมเมนต์ที่บอก ‘ฉันรู้สึกว่าไม่โอเคกับคนนี้ เพราะคนนี้ต้องเล่นแข็งแน่นอน’ มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้กดดันในตอนแรกเหมือนกัน แค่เพราะว่าพันดาวมีแสงแล้วเขาตัดสินเราก่อน อยากบอกว่า แม้ช่วงนี้ซีรีส์ Girls’ Love จะเป็นกระแส แต่ที่พันดาวเลือกมาแคสต์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ไม่ได้แคสต์เรื่องอื่นเลย เพราะคิดมาแล้วว่าอยากเป็นนักแสดง ถ้าเล่นซีรีส์เรื่องแรกอยากจะเล่นบทที่เป็นเรา อยากให้คิดว่าพันดาวแค่อยากทำตามความฝันแล้วแค่เริ่มจากเรื่องใกล้ตัวเท่านั้นเอง แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือการพิสูจน์ตัวเองในเส้นทางนี้เหมือนกัน” พันดาวเล่าถึงสิ่งที่อยู่ในใจ

ซึ่งความตั้งใจและความพยายามพัฒนาตัวเองบนเส้นทางนักแสดงของพันดาว ผู้คนที่มองเห็นความมุมานะของเธอได้ชัดเจนที่สุดคือ เพื่อนร่วมงานอย่างเชลลี่และเนโกะ รวมถึงทีมงานของซีรีส์

“เชลลี่เห็นความตั้งใจของเขาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย เราทุกคนพูดกับเขามาตลอดว่า พี่ทำได้ แล้วพี่ทำได้จริงๆ” เชลลี่ยืนยัน

“ในอนาคตพันดาวคงพัฒนาขึ้น แต่ว่าที่ให้ไปมันคือมากที่สุดเท่าที่เรามีตอนนี้แล้ว และพูดได้เต็มปากว่าเราไม่อยากดูถูกคนดูจริงๆ เราทั้ง 3 คนตั้งใจมากทำตรงนี้จริงๆ” พันดาวเน้นย้ำ

Empower Sapphic

อีกหนึ่งความท้าทายของนักแสดงซีรีส์แซฟฟิก หรือกระทั่งซีรีส์วาย Boys’ Love ไม่ได้อยู่แค่ในบทบาทที่ต้องแสดงให้สมจริง แต่คือการทำตามความคาดหวังของสังคมที่ต้องเป็นกระบอกเสียงให้กับคอมมูนิตี้นี้ และมอบแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น โดยเชลลี่ เนโกะ และพันดาวกล่าวว่า เธอทั้ง 3 คนพร้อมซัพพอร์ตคนในคอมมูนิตี้เสมอ รวมถึงคนที่ยังไม่พร้อมเปิดเผยตัวตน

“ในฐานะที่พันดาวเป็นแซฟฟิก แล้วมาเล่นซีรีส์แซฟฟิก ก็ขอบคุณมากๆ ที่เปิดโอกาสให้คนอย่างพันดาวได้มาอยู่ตรงนี้ พันดาวอาจไม่ใช่คนที่สวยที่สุด แต่แค่วันนี้ค่ายให้โอกาส ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากแล้ว และขอบคุณทุกคนที่รอชมและเชื่อในตัวเรา” พันดาวกล่าว

ถึงตรงนี้เนโกะได้ให้กำลังใจทุกคนว่าไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็คือมนุษย์เหมือนกัน และสามารถผิดพลาดได้ 

“การที่เราเป็นแซฟฟิกไม่ได้ทำให้ความเป็นมนุษย์ของเราน้อยลง เราไม่จำเป็นต้องทำดีเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เพราะสมัยก่อนจะมีคำว่า ‘ต้องเรียนให้เก่งนะ เพื่อมาชดเชยตรงนี้’ ไม่มีอะไรที่เราต้องชดเชยทั้งสิ้น เราสามารถเป็นคนที่เก่งหรือไม่เก่งก็ได้ ฉลาดหรือไม่ฉลาดก็ได้ สุดท้ายแล้วเราก็คือมนุษย์คนหนึ่ง สิ่งเดียวที่อยากให้เชื่อมั่นคือ อย่ากดตัวเองลง หรือถ้าคนอื่นจะกดเราก็อย่าลงตามที่เขากด เราต้องยืนหยัดด้วยตัวเองไว้ก่อน เคารพตัวเอง เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมทุกวันนี้ได้คือเราเก่งมากๆ แล้ว” เนโกะให้พลังใจ

เช่นเดียวกับเชลลี่กล่าวว่า อยากเป็นกำลังใจให้กับคนที่ยังไม่พร้อม Come Out หรือเปิดเผยตัวตน

“เชลลี่อยากให้ซีรีส์ของเราเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ไม่กล้าเปิดเผยตัวเอง เข้าใจว่าบริบทชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งมันไม่ถูกผิด อยากให้ ‘Stand for yourself and proud to be who you are’ แค่นั้นเอง มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็น เป็นอะไรก็ได้ อยากให้คุณมั่นใจ เชื่อมั่นในตัวเอง เคารพตัวเอง และอยากบอกว่าจริงๆ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณไม่ได้โดดเดี่ยว คุณมีพวกเรา และมีอีกหลายคนมาก ทุกคนก็พร้อมซัพพอร์ต” เชลลี่กล่าว

‘การจิ้น’ ที่นักแสดงเต็มใจ

เมื่อซีรีส์ลงจอ ความสนุกที่มาพร้อมกับการดูซีรีส์วายก็คือ ‘การจิ้น’ ซึ่งแฟนซีรีส์มีอิสระในการจับคู่นักแสดงจิ้นกัน ชอบมองดูแล้วมีความสุขไปกับโมเมนต์น่ารัก เมื่อนักแสดงทำกิจกรรมด้วยกันนอกจอ ไม่ว่าจะเป็นคู่หลัก คู่รอง หรือคู่นอกกระแสที่บางกลุ่มมองว่ามีเคมีเข้ากัน ซึ่งการจิ้นหมายความว่า แฟนซีรีส์สนใจมากกว่าเนื้อหาของบท แต่ให้ความสำคัญกับชีวิตจริงของนักแสดงด้วย 

นำมาสู่คำถามที่ว่า แล้วนักแสดงรู้สึกอย่างไรกับการจิ้น

“เรื่องจิ้นเชลลี่มองว่า เราทั้ง 3 คนยินดี แฮปปี้มาก เพราะเรารู้สึกว่าคนจิ้นเพราะเขาดูซีรีส์แล้วเขาอิน เราทำให้เขาอินได้ก็หมายความว่า เราประสบความสำเร็จอีกขั้น” เชลลี่ตอบด้วยรอยยิ้ม

เช่นเดียวกับเนโกะที่เสริมในทางเดียวกัน “การจิ้นคือฟีดแบ็กจากแฟนคลับ เป็นสัญญาณว่า คนดูเชื่อว่าเราเป็นตัวละครนั้นจริงๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งดีมากๆ สำหรับนักแสดงค่ะ”

อย่างไรก็ตามแฟนคลับที่ชอบการจิ้นอาจคาดหวังให้นักแสดงต้องแสดงความรักหวานๆ นอกจอกับคู่จิ้นด้วย ซึ่งนักแสดงคู่ไหนที่โพสต์รูปคู่ด้วยกันบ่อยครั้ง หรือถูกเนื้อต้องตัวกันเป็นประจำ มักถูกมองว่าเป็นการเซอร์วิสแฟนคลับ

สำหรับเนโกะ พันดาว และเชลลี่ อธิบายว่า ระหว่างพวกเธอ 3 คน ไม่ได้เป็นแค่การเซอร์วิส แต่เป็นมิตรภาพที่เติบโตไปพร้อมกับการทำงาน

“แน่นอนว่ารูปคู่ที่โพสต์มีคอนเทนต์โปรโมตซีรีส์อยู่แล้ว แต่คอนเทนต์ที่พันดาวลงจริงๆ แค่อยากแบ่งปันโมเมนต์ว่า อยู่กับเชลลี่กับพี่เนโกะแล้วเขาน่ารักกับเราขนาดไหน เราไปสวนสัตว์ด้วยกัน หรือเชลลี่เซอร์ไพรส์วันเกิด อยากโชว์ว่าพาร์ตเนอร์ของเราน่ารักมากเลย พันดาวเองก็ชอบนั่งตัดต่อคลิป ถ้าพูดว่าคลิปที่ตั้งใจตัดต่อเป็นแฟนเซอร์วิส หรือโดนบอกกลับมาว่าขายจิ้น เราก็แอบเสียใจเหมือนกันนะ” พันดาวกล่าว

ซึ่งสุดท้ายนี้ เนโกะและเชลลี่เสริมทิ้งท้ายว่า ด้วยความสนิททำให้ได้ใช้เวลาด้วยกันเป็นประจำ จึงแชร์ให้แฟนคลับดูบนโซเชียลฯ

“ในชีวิตจริงเราสนิทกัน 3 คน เราเป็นความสบายใจให้กันไปแล้ว” เนโกะพูดถึงความสัมพันธ์

เชื่อว่าเมื่อได้ฟังคำตอบเหล่านี้ จะทำให้แฟนซีรีส์สบายใจในการจิ้น และพร้อมมอบความรักให้กับนักแสดงทั้ง 3 คนต่อไป แม้ซีรีส์จะจบลง

Tags: , , , , , , , , , , , , , , , ,