ย้อนกลับไปช่วงกลางยุคสองพัน วัยรุ่นเมืองไทยได้เฮฮาไปกับรายการทางโทรทัศน์ พุฒ ต้า เร ของสามเพื่อนซี้แห่งวงการบันเทิงอย่าง เร แม๊คโดแนลด์ ลีโอ พุฒ และต้า บาร์บี้ ที่แต่ละคนล้วนสร้างชื่อเสียงในเส้นทางของตนเองและโด่งดังมาตั้งแต่เป็นวัยทีนในยุค 90 พร้อมด้วยบุคลิก ลีลา หน้าตา และเอกลักษณ์แบบฉบับเฉพาะของแต่ละคน ทำให้ชื่อของ ‘พุฒ ต้า เร’ กลายเป็นที่จดจำในความเป็นตัวของตัวเองแบบเด็กหนุ่มสุดเฮี้ยว และเป็นไอคอนของวัยรุ่นหลายคนในยุคนั้น
ระยะหลัง ด้วยอายุอานามที่เติบโตขึ้นสู่วัยกลางคน เส้นทางของแต่ละคนจึงถูกลากต่างกันออกไป ทำให้ชื่อของ ‘พุฒ ต้า เร’ เลือนจางห่างหายไปจากหน้าจอ พร้อมกับคลื่นลูกใหม่ๆ ในวงการบันเทิง และโลกที่เปลี่ยนผ่านจากทีวีสู่ออนไลน์ แต่ทุกครั้งที่มีชื่อของเพื่อนซี้ทั้งสามปรากฏตัวทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกัน ก็กลายเป็นจุดให้ผู้คนหันมาสนใจได้เสมอ
ย้อนกลับไปช่วงกลางปีที่แล้ว (2564) รายการ ติดคุย ทางช่อง เร่ร่อน (Rayron) ของ เร แม๊คโดแนลด์ มีตอนพิเศษที่เป็นการรวมตัวกันของ ‘พุฒ ต้า เร’ อีกครั้ง หลังห่างหายไปเป็นเวลานาน สร้างความตื่นเต้นให้บรรดาแฟนๆ ของสามเพื่อนซี้ ที่ได้เห็นอดีตไอดอลกลับมารวมตัวอีกครั้ง แม้จะเป็นอีพีที่เป็นเพียงการมานั่งพูดคุยในบ้าน แต่บรรยากาศและบทสนทนาของ ‘อดีตวัยรุ่นสุดซ่า’ ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ทำให้เหล่าสาวก ‘พุฒ ต้า เร’ หายคิดถึงไม่น้อย
ก่อนที่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา รายการ ติดคุย จะปล่อยอีพีที่พา ‘พุฒ ต้า เร’ ออกเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ไปพร้อมกันจากกรุงเทพฯ สู่นครนายก พร้อมบรรยากาศการเดินทาง และบทสนทนาแบบเป็นกันเอง นั่นเองเป็นเหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจจะชวนทั้งสามมาพูดคุยกันเรื่องการเติบโต ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘กลุ่มเพื่อนซี้’ เพื่อค้นหาบทเรียนแห่งมิตรภาพและความคิดที่เปลี่ยนไป ในวันที่ชีวิตพาเดินทางจากเด็กหนุ่มมาสู่วัยกลางคน
การจะหาคิวทั้ง ‘พุฒ ต้า เร’ มารวมตัวสัมภาษณ์พร้อมกันไม่ใช่เรื่องง่าย เรารอวันเวลานั้นจนกระทั่งโอกาสมาถึงในช่วงกำลังจะหมดปี 2564 ในวันที่ทั้งสามคนพร้อมกับ ชาคริต แย้มนาม นัดกันมาถ่ายรายการ ติดคุย ที่ร้าน 274 Bed and Brew ของเร บริเวณชุมชนเก่าริมคลองตลาดหัวตะเข้ ที่เงียบสงบ และร้านค้าบางแห่งเปิดมานานเกือบร้อยปี
ในเช้าวันนั้น เราพบว่าแม้ใบหน้าและรูปร่างจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาขนาดไหน แต่ ‘ความเป็นผู้ใหญ่’ ไม่เคยเปลี่ยนมิตรภาพที่พวกเขามีให้กัน รวมถึง ‘ความเป็นตัวของตัวเอง’ ที่ฝังลึกลงในดีเอ็นเอของแต่ละคน จนเห็นได้ชัดบนใบหน้าและท่าทาง จะเปลี่ยนก็แค่ ‘ความคิด’ ที่เก๋าเกมขึ้น บนสนามที่เรียกว่าชีวิต
จะผิดอะไร ถ้า ‘เด็กซ่า’ ในวันนั้น จะกลายเป็น ‘ลุงซ่า’ ในวันนี้
*เพื่อคงอรรถรสการสนทนาแบบ ‘เพื่อนซี้’ คุยกันของทั้งสามคน บทสัมภาษณ์นี้อาจมีคำที่ทำให้ผู้อ่านบางคนเกิดความไม่สบายใจ โดยเฉพาะเด็กและสตรีมีครรภ์
วันนี้รู้สึกยินดีมากที่ได้เจอกับ ‘สามซี้ในตำนาน’
ต้า: ตำนานแปลว่าใกล้ตาย (หัวเราะ)
เร: ฉิบหาย เปลี่ยนคำพูดเดี๋ยวนี้
พุฒ: ความจริงแล้วพวกเราคือเน็ตไอดอล
เร: เน็ตไอดอลนี่ก็โบราณนะ เดี๋ยวนี้เขาใช้คำว่า ‘อินฟลูเอนเซอร์’ หรือ ‘KOL’ (Key Opinion Leader) กัน ว่าแต่มันแปลเป็นภาษาไทยว่าอะไรวะ
พุฒ: ผู้นำทางความคิดอะไรแบบนั้นหรือเปล่า ฟังดูเท่นะ
การกลับมารวมตัวของพวกคุณทั้งสามคนเกิดขึ้นได้อย่างไร
ต้า+พุฒ: เพราะเรครับ
เร: บอกตรงๆ มันก็เหมือนวงร็อก คือพอวงแตกมาถึงจุดหนึ่ง ก็จะมีความอยากกลับมารวมตัวกัน คือเราเองเริ่มมาทำคอนเทนต์ออนไลน์มากขึ้นในช่วงสองปีหลัง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราอาจเทียบว่าฟุตบอลสนามใหญ่คือช่องทีวีสามห้าเจ็ดเก้า ซึ่งขาหนึ่งเราก็มาจากสายทีวี ที่กว่าจะก้าวเข้าไปได้ก็ใช้เวลาพอสมควร แล้วพอก้าวเข้าไปได้ โลกดันเปลี่ยน ออนไลน์ซึ่งเปรียบเหมือนฟุตซอลก็กำลังมา แต่คราวนี้ฟุตซอลมันเป็นเกมที่คนดูมากที่สุด มากกว่าฟุตบอลสนามใหญ่… กูอธิบายรู้เรื่องไหมวะ
ต้า: รู้เรื่อง
พุฒ: กูอยากให้คนอ่านได้เห็นหน้ามึงตอนพูดจัง
เร: นั่นแหละ พอมาทำออนไลน์ เราก็ทำรายการหนึ่งคือ ติดคุย ที่เป็นรายการเชิญอินฟลูเอนเซอร์มานั่งคุยวิธีคิดการทำงาน แล้วมีอยู่เทปหนึ่ง ไม่รู้จะเรียกใครมาดี มันไม่มีใครมาแล้วไง ก็เลยเรียกไอ้สองตัวนี้มา
ต้า: เอาหมูกระทะมาล่อ กูจำได้ (หัวเราะ)
เร: มีหมูกระทะ มีเบียร์ ถ่ายกันโง่ๆ ในห้องครัว ไฟก็ไม่มี ถ่ายกันปัญญาอ่อน คือทุเรศอะ แต่เราคุยกันสนุกเหมือนเดิม แล้วเราก็ดองเทปนี้ไว้นาน เพราะคำหยาบมันเยอะ เรายังติดตรงนั้น เพราะเรามาจากโลกทีวี อีกอย่างเราเป็นพ่อคนแล้ว เราไม่อยากให้คำพวกนี้ออกไป ทีนี้ พวกน้องทีมงานดูแล้วก็ขำ เพราะพวกเขาโตทัน พุฒ ต้า เร หรือ หนังเรื่อง Fake เขาก็บอกว่าพี่ปล่อยเทปนี้เถอะ แล้วพอดีช่วงนั้นติดโควิด ไม่มีอะไรปล่อยด้วย ก็เลยบอกให้น้องๆ ปล่อยให้หน่อย เราไม่กล้า พอปล่อยเทปนั้นไปก็มีคนดู คอมเมนต์ก็มาดี
พุฒ: เช่น
เร: “พวกมึงยังไม่เลิกอีกเหรอ” “เป็นลุงแล้ว พอเหอะ ให้โอกาสน้องเขาบ้าง” “พูดจาหยาบคายจัง” อะไรแบบนี้ ก็ดีๆ ทั้งนั้น
แสดงว่าความจริงแล้ว การกลับมารวมตัวของทั้งสามคนคือความบังเอิญ เพราะพี่เรไม่รู้จะชวนใครมาออกรายการแล้ว และพอถ่ายเสร็จก็เกือบไม่ได้ปล่อยด้วยซ้ำ
เร: ถ้าเมื่อไรตั้งใจจะไม่เวิร์ก มันจะมีความกดดัน
ต้า: ถ้าไปเน้นอะไรมาก ด้วยธรรมชาติมันจะออกมาแย่เสมอ เพราะฉะนั้น พยายามหลอกตัวเองว่าไม่เน้นดีกว่า อย่างวันนั้นที่ไปถ่าย ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร เหมือนไปนั่งกินหมูกระทะ กินเบียร์ ไปนั่งคุย แล้วถามเรว่า มึงจะตัดต่อออกมาได้ยังไงวะ แล้วบอกตรงๆ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ดูเทปนั้นนะ ไม่กล้าดู (หัวเราะ)
เร: แต่ข้อดีคือมันเป็นธรรมชาติไง อะไรจะเกิดก็เกิด สักพักแหม่ม (ภรรยาเร) ก็เดินเข้าครัวล้างจานเฉยเลย คือดองเทปนี้ไว้หนึ่งปีเลยนะ พอปล่อยไปก็ยังมีคนดูอยู่ ช่องเรา (Rayron เร่ร่อน) ถ้าคนดูหลักแสนหรือแตะสองแสน แล้วคอมเมนต์เป็นพัน สำหรับดาราตกอับอย่างเรา มันโอเคนะ
ต้า: ยอดวิวแสน แม่กูดูสองรอบ
เร: เออ ก็ช่วยๆ กันกด คนดูที่ยูกันดานี่เยอะมากนะ เพราะซื้อแอด
พอได้กลับมารวมตัวอย่างเป็นทางการหลังจากเทปรายการ ติดคุย ความรู้สึกแต่ละคนเป็นอย่างไร บรรยากาศเดิมๆ มันกลับมาไหม
พุฒ: เอาเข้าจริง จากวันที่ไปนั่งกินหมูกระทะแล้วถ่ายกัน ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันออกสื่อแล้ว หรือว่าพอมีคนรู้แล้วอะไรจะเปลี่ยนไป ก็คงเป็นแบบนี้แหละ แล้วเราอยากให้เป็นแบบนี้ด้วย มันดีอยู่แล้ว คืออาจจะไม่ได้ดีในสายตาคนอื่น แต่ในความรู้สึกเรา แบบนี้มันเป็นธรรมชาติดี
เร: เราเขียนแคปชันเทปนั้นไปว่า คลิปนี้ดิบๆ เลย ดิบกว่านี้ก็ก้อยแล้ว หลังจากนั้นเราก็คิดต่อว่า ถ้าจะทำต่อ ก็อาจจะมีอะไรมาเพิ่มเติมแต่งหน่อย แต่ไม่ได้ไปถึงขั้นทอล์กโชว์ แล้วเต็มที่เราทำได้เดือนละเทป
ต้า: พูดง่ายๆ ว่าเราอาจจะตายด้านกับความรู้สึกไปแล้ว คือพอปล่อยเทปนั้นไปแล้ว ชีวิตก็เหมือนเดิม กูยังกินก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ทุกอย่างเหมือนเดิมปกติ
เร: สุดท้ายมันก็เหมือนได้คุยกับเพื่อน แล้วพอได้คุยกัน เคมีแม่งก็เหมือนเดิม
ต้า: แต่มีเพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนไลน์มาคุยในกลุ่ม “เฮ้ย มึงทำไรกันวะ มึงพูดอะไรกันวะ มึงจะห้าสิบแล้วนะ ยังพูดไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม” (หัวเราะ) ไอ้ห่า เขาเรียกเพื่อนแท้
ที่บอกว่ามีคอมเมนต์หลายๆ อย่างหลังจากเทป ติดคุย ตอนพิเศษที่ปล่อยออกไป พวกคุณรออ่านคอมเมนต์กันทุกคนเลยไหม
ต้า: เราไม่อ่านคอมเมนต์เลย
เร: สำหรับต้า ส่วนมาก ไม่ว่าอะไรที่เขาทำที่ออกสื่อ เขาจะไม่ดูเลย
ต้า: หนังตัวเองยังไม่เคยดูเลย เรากลัว วันที่ถ่าย Fake เสร็จ กูหนีไปเรียนเลย (หัวเราะ)
เร: คือพวกเราจะมีอะไรคล้ายๆ กัน เช่น วันที่ต้องออกงานหนังรอบสื่อมวลชน มันก็จะมีตัวเบ้งๆ นักแสดง ผู้กำกับ มีเรื่องของพวกคำวิจารณ์หนัง “เฮ้ย เล่นได้ดีมาก” หรือบางคนก็พูดตรงดี แบบ มึงน่าจะอย่างนั้นอย่างนี้นะ แต่ส่วนมากคำชมจะเป็นคำชมจอมปลอม สำหรับเรา มีแค่เรื่องเดียวที่เงียบสนิท แต่ไม่บอกว่าเรื่องไหน
ต้า: เราเป็นคนขี้อาย เขินสิ่งที่ตัวเองทำ บางทีมันจะมีโมเมนต์แบบ แหม ถ้าตอนนั้นกูหันหน้าอีกหน่อย ดึงอารมณ์อีกหน่อยน่าจะดีนะ ตอนนั้นไม่น่ากินข้าวเยอะเลย เหนียงออกเลย เวลาดูหนังที่ตัวเองแสดงมันจะกลายเป็นคิดแบบนี้แทน
ถ้ามีคนมาบอกว่าที่จริงแล้วพวกคุณแค่กลัวรับคำวิจารณ์ไม่ได้ล่ะ
เร: เราโดนตลอดตั้งแต่อายุ 14 แล้ว เช่น ไม่แมส พวกอัลเทอร์ฯ สารพัด เราโดนกันให้อยู่รอบนอกตลอด ไอ้เรไม่ใช่สายหลัก แต่เราคิดว่าช่างแม่งดิ สายแมสไม่คูลว่ะ
ต้า: หรืออย่างพุฒเขาอยู่ค่ายเพลงใหญ่ด้วยไง แต่ในมุมเรา เราไม่ได้อยู่ค่ายใหญ่ เป็นคนอยู่นอกวงไปอีก เลยเฉยๆ กับคำพูดที่ว่าไม่แมส
พุฒ: เราเป็นคนไม่ค่อยดูงานตัวเองอยู่แล้ว ถามว่ารับไม่ได้กับคำวิจารณ์ไหม ในเมื่อไม่ดูมันก็ไม่เห็น แต่ก็เห็นบ้างผ่านๆ ตา แต่ส่วนใหญ่จะชมนะ (หัวเราะ) หยอกๆ ความจริงแล้วรับได้ ถ้ามีคำวิจารณ์เราก็อ่านแหละ
เร: ความจริงในแง่คำวิจารณ์เราชอบด้วยซ้ำ เพราะมันเติมเชื้อไฟให้เราว่าครั้งหน้าต้องทำให้ดีขึ้น สมมติมีนักวิจารณ์สองสามคนวิจารณ์ในบริบทเดียวกัน แสดงว่าแม่งใช่แล้ว แต่ต้องระวัง เพราะมันมี ‘วิจารณ์’ กับ ‘ด่า’ นะ ด่าแบบไม่สร้างสรรค์อะ
ต้า: แต่ถามว่ารู้สึกกับคำวิจารณ์ไหม เรารู้สึก เพราะเราเป็นคนรู้สึกเยอะ แต่ตอนที่เราทำ เราทำเต็มที่สุดความสามารถแล้ว แต่เพราะเราเจ็บปวดง่าย เลยเลือกที่จะไม่อ่านดีกว่า ไม่ได้เป็นคนดราม่านะ คือในเมื่อกูรู้ตัวว่ากูเจ็บปวดง่าย กูเลยเลือกไม่อ่านดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งวิตกกังวลอะไร นี่เป็นทางออกกูไง
เร: กูอาจจะเหมือนมึง โปรเจ็กต์ไหนที่ทุ่มเทฉิบหาย ส่วนมากจะไม่มีคนดู แล้วกูรู้เลย กูทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่ได้หมายว่าโปรเจ็กต์อื่นไม่ทำเต็มที่นะ แต่อาจจะน้อยกว่านิดหนึ่ง หรือบางอันที่กูไม่ได้ทุ่มขนาดนั้น แต่มันพุ่ง ก็จะมีความรู้สึกแบบ เชี่ยอะไรวะ แต่กูไม่รู้สึกเฟลเลย เพราะกูทุ่มหมดจนจะเข้าโรงพยาบาลอยู่แล้ว
ต้า: ที่ตลกคือ อาจจะเป็นเพราะเราอยู่สายงานบันเทิงด้วยมั้ง สิ่งที่ทำก็เป็นเรื่องบันเทิงปนศิลปะนิดหน่อย เรพูดถูก คืองานที่คนชอบ ส่วนมากจะเป็นงานที่เคี้ยวง่าย เสพง่าย ซึ่งจะได้รับความนิยมมากกว่าสิ่งที่เราพยายามปั้นเสมอ แล้วธรรมชาติเราเสือกเป็นคนชอบปั้นงาน มันเลยกลายเป็นว่าสิ่งที่เราปั้นคนมักไม่ค่อยชอบ อย่างสมัยที่ทำ พุฒ ต้า เร ก็เหมือนกัน เทปที่ปั้นๆ จะไม่ค่อยเวิร์ก แต่เทปที่คิดอะไรไม่ออก ถ่ายเรื่องผีดีกว่า แม่งเวิร์กทุกที (หัวเราะ)
ไม่นานมานี้ก็มี ติดคุย EP. พุต ต้า เร ออนทัวร์ ที่พวกคุณไปขับมอเตอร์ไซค์เที่ยวกัน มันเป็นการรวมตัวเดินทางพร้อมกันสามคนครั้งแรกๆ หลังจากไม่ได้เดินทางพร้อมกันนานเลยหรือเปล่า
พุฒ: แต่ก่อนเราเดินทางด้วยกันนะ แต่ไม่ใช่ด้วยมอเตอร์ไซค์แบบนี้
ต้า: เมื่อก่อนเหมือนนั่งรถตู้ไปออกกองกัน ไม่รู้จะเรียกว่าเดินทางด้วยกันไหม สำหรับเรา แค่ไปกินก๋วยเตี๋ยวก็เรียกว่าเดินทางแล้ว (หัวเราะ) เพราะเราเป็นคนเดินทางน้อย อย่างติดคุยออนทัวร์ที่ไปขี่มอเตอร์ไซค์ เขาจ้างไปก็ไป สนุกดีนะ
เร: พูดว่าเขาจ้างก็ตรงไป แต่โอเค คือสำหรับเรา พอปล่อยเทป ติดคุย ที่เราสามคนคุยกันในห้องครัวไป มันก็ถือว่าประสบความสำเร็จสำหรับช่องเรา ซึ่งต้องขอบคุณมากๆ เราเลยคุยกันว่า คงมีสักเทปหนึ่งที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศออกไปข้างนอกกัน พอดีก็ลงเอยที่มีพี่ๆ ใจดีมาสนับสนุน
พุฒ: แต่อยากไปอีกนะ
เร: อยากใช่ปะ คือพุฒจะบ่นตลอดว่า ไปกันเหอะๆ
ต้า: เหมือนคนเบื่อบ้าน
พุฒ: แต่ก่อนเราก็ชอบเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยขี่เวสป้าตอนเด็กๆ บีเอ็ม ฮาร์ลีย์ จนวนครบ แล้วก็หยุดไปตอนมีลูก เพราะเรารู้สึกว่าอาจจะเสี่ยงไปนิดหนึ่งหรือเปล่า จนกระทั่งล่าสุด อย่างที่หลายคนอาจเคยได้ยินข่าว เราเข้าผ่าตัดหัวใจเพราะตรวจพบเส้นเลือดหัวใจตีบ พอการผ่าตัดเรียบร้อย เรารู้สึกเหมือนได้ผ่านความเป็นความตายมา คือตอนที่อยู่ในห้องผ่าตัด อันนี้เรื่องจริงเลยนะ สาบานเลย คือ…
เร: มึงคิดถึงหน้ากู
ต้า: เขาอุตส่าห์จะดึง (หัวเราะ)
เร: โทษๆ เพลงแม่งกำลังคลอเลย
พุฒ: คือเรานึกถึงที่กว้างๆ แล้วอยากกลับไปทำอะไรแบบนั้นอีก ก็เลยตัดสินใจซื้อมอเตอร์ไซค์คันล่าสุด เพราะอยากให้รางวัลตัวเอง แล้วอยากผลักให้ตัวเองให้กลับไปทำอะไรแบบนั้นอีกสักครั้ง ได้ขับมอเตอร์ไซค์เที่ยว เหมือนพระเจ้าให้โอกาสมาอีกครั้ง
ต้า: เหมือนแบบเป็น Bucket List หนังที่อยากดู
พุฒ: ใช่ๆ แล้วอยากขี่เที่ยว อาจจะสักช่วงหนึ่ง ไม่ได้คิดว่าจะขี่ไปจนตายอะไรขนาดนั้น แต่อยากไปหาอากาศดีๆ อยากไปหาที่กว้างๆ
อย่างพี่เรเราเห็นเดินทางบ่อยอยู่แล้ว พี่พุฒก็เล่าแล้ว พี่ต้าล่ะ
ต้า: เราไม่ได้เป็นคนฝืนตัวเองเพื่อออกไปเที่ยวขนาดนั้น แต่ให้ไปก็ไปได้ คือทุกวันนี้แค่ค้นหาการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขก็เหนื่อยแล้ว (หัวเราะ) แต่ถามว่าที่ไปขี่มอเตอร์ไซค์กันสนุกไหม สนุกนะ แต่ว่าก่อนไปเรากังวลนิดหน่อย เพราะไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไกลๆ มานานแล้ว ก็จะมีความรู้สึกแบบ ถ้าหลงจะทำยังไงวะ
เร: อย่างมึงเต็มที่คือไปสนามกอล์ฟ (หัวเราะ)
ต้า: ลาดปลาเค้าก็ไกลแล้ว (หัวเราะ) คือเราว่าไม่มีใครไม่ชอบเที่ยวหรอก คนไม่ชอบเที่ยวนี่แปลกนะ แต่ว่าชอบมากขนาดไหนเท่านั้นเอง
เทียบการเดินทางพร้อมกันสามคนตอนวัยรุ่นกับตอนในวัยนี้ ความรู้สึกมันต่างกันไหม
พุฒ: สำหรับเราไม่ต่างนะ
ต้า: แต่ที่กูรู้สึกต่างคือ ไอ้นี่ต่าง (ชี้ไปที่พุฒ)
เร: ใช่ มึงไม่แดกเหล้า คือสมัยก่อน ถ้าเป็นการเที่ยวและเจอกันตลอด ก็คือที่ร้านเหล้า จบ ไม่ออกเดินทาง ชีวิตกลางวันไม่มีเลย เจอกันกลางคืนอย่างเดียว ส่วนมากคือเวลาเราไปถ่ายรายการด้วยกัน ก็ทำให้ได้ไปต่างจังหวัดบ้าง เราก็รู้สึกเหมือนได้ผ่อนคลาย ได้เปลี่ยนที่กินเหล้า
ต้า: มึงเล่าให้จบสิ ผ่อนคลายแล้วโดดกอง เหลือกูสองคน (หัวเราะ) ตื่นเช้ามา ไอ้เรหายไปไหนวะ เหลือถ่ายกันสองคน ไปไม่เป็นเลย
ภาพพวกคุณดูซี้กันมาก เคยถ่ายหนังด้วยกัน ทำรายการด้วยกัน แต่เคยมีบางคนบอกว่าอย่าทำอะไรร่วมกับเพื่อน เช่น ธุรกิจ เพราะอาจจะแตกคอกัน พวกคุณเคยมีประสบการณ์ที่เรียกได้ว่า ‘ทะเลาะ’ กันบ้างไหม
เร: ถ้าพูดตามตรงมันก็เป็นแหละ ตอนที่เริ่มทำ พุฒ ต้า เร แรกๆ ก็สนุก แต่พอมันเริ่มเป็นทุกสัปดาห์ เริ่มกลายเป็นงาน มันก็เริ่มไม่สนุก แน่นอน Conflict มันเกิดขึ้น
ต้า: ช่วงนั้นต้องมีทะเลาะกันเป็นปกติ เพราะถ่ายทุกอาทิตย์ ออนแอร์ทุกวีก ไปดูการตัด มานั่งประชุมกันว่าจะถ่ายอะไร อาทิตย์นึงเอาเวลาไปสี่ห้าวัน เราแทบไม่เหลืออะไร แล้วเจอหน้ากันทุกวัน มันก็มีอารมณ์แบบ กูไปดูตัดต่องานมึงยังตามมาดูกันอีก (หัวเราะ) ไม่จบไม่สิ้น ช่วงหลังคืออาทิตย์หน้าต้องถ่ายแล้ว แต่ยังคิดไม่ออกจะถ่ายอะไร คนนั้นอยากได้นั่น อยากได้นี่ แล้วไม่มีสต็อกเหลือ ความอยากได้อยากออกไปถ่ายรายการมันเริ่มไม่ตรงกัน ทำให้เราต้องมานั่งคุยกัน
เร: แต่มันก็กดดันนะ ตอนที่เราจะได้ก้าวเข้าไปสู่ช่องทีวีที่สมัยก่อนมีไม่กี่ช่อง มันไม่ได้เป็นเรื่องง่าย แต่เราก็ได้เข้าไป แล้วเทป Pilot รายการที่ทำเรารู้สึกว่ามันเป็นเทปที่ดีมาก แล้วก็คิดว่าจะทำอย่างนั้นได้อีกทุกสัปดาห์ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเทป Pilot อันนั้นมันมีเวลาตัด มีเวลาถ่ายค่อนข้างนาน
ต้า: คือเราอาจจะทำงานที่เป็นระบบรูทีน เราอาจจะคิดผิดว่าทำไหว ซึ่งถ้าตอนนี้ต้องทำรายการที่มีรูปแบบชัดเจนอาจจะพอรอด แต่ตอนนั้นคิดแบบนี้ไม่ได้ไง
เร: แต่บอกตรงๆ ถ้าตอนนี้ต้องทำเป็นรายสัปดาห์กูก็ทำไม่ไหวนะ
สมัยนั้น เวลาเกิดข้อขัดแย้ง พวกคุณแต่ละคนมีวิธีพูดคุยกันอย่างไร
ต้า: กินเหล้ามันช่วยได้จริงๆ นะ
พุฒ: ต้องตาปูดอง
เร: ร้านข้าวต้ม
ต้า: เบียร์นิดหน่อย ได้ด่านิดหน่อยก็โอเคแล้ว
เร: ถ้าเป็นช่วงนั้น จังหวะพุฒเขาจะดีมาก เขาคม มีครั้งหนึ่งที่เขาด่าเราทีเดียว แต่ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้
พุฒ: กูด่าอะไรวะ กูยังจำไม่ได้เลย (หัวเราะ)
เร: กูจำได้ กูจะเคลียร์กับมึงตอนนี้แหละ คือพูดว่า “มึงอย่ายึดตัวเองเป็นบรรทัดฐานหรืออะไรสิ” แต่มันพูดเพราะกว่านี้นะ ด้วยเสียง ด้วยบุคลิกอะไรของมัน ไม่ใช่การด่าหรอก แต่ว่าแม่งจี้เข้ามาในใจ แล้วกูยังจำได้ หลังจากนั้นกูเปลี่ยนไปเลย แดกเหล้ากระจาย (หัวเราะ) เหมือนโดนแทง แล้วก็คิดได้ว่า เออว่ะ กูแม่งเอาแต่ใจ เพราะพุฒก็มีไอเดียแปลกๆ เยอะ แล้วตอนหลังบางทีโดนปัดตก มันก็เริ่มถอย แต่มันทำให้เราเห็นว่า บางคนอยากได้ไอ้นั่นไอ้นี่มาก อีกสองคนก็ถอย ต้องปล่อยซึ่งกันและกันบ้าง
แสดงว่าพวกคุณสามารถพูดใส่กันตรงๆ ได้
พุฒ: มันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่ต้องอ้อมค้อมนะ ส่วนมากก็คุยกันตรงๆ
ต้า: แต่จริงๆ ปัญหาเราสามคนถือว่าน้อยนะ
เร: หรือถ้าเราประสบความสำเร็จมากกว่านั้น แบบมีเงินถุงเงินถังเข้ามา อันนั้นก็ไม่แน่
ต้า: สมมติเทียบกับเรา เรามีสมาชิกในวงดนตรีที่เล่น 5-6 คน ทะเลาะกันมากกว่าสามคนอีก คือวงดนตรีมันไม่มีคำตอบอะไรมาก มันเป็นเรื่องที่เป็นนามธรรม มีแค่เรื่องชอบหรือไม่ชอบ
เร: อันนี้กูสงสัย เวลาทะเลาะกันเสร็จแล้ว พวกมึงได้คุยกันประมาณว่า “ขอลองก่อน ถ้าไม่เวิร์ก ทำให้ไปทางมึงก็ได้” มีแบบนั้นไหม
ต้า: เออ มันจะมีคำนั้น ลองก่อนได้ไหม แต่ถ้าลองแล้วไม่ได้อย่างอแงนะ คือสมมติว่าออกมาดีก็จะเงียบๆ แต่ถ้าไม่ดีก็จะแบบ เห็นมั้ยล่ะ (หัวเราะ) จะเป็นสไตล์นั้นมากกว่า
พุฒ: ออกมาดีก็ไม่ชมด้วยนะ
ภาพลักษณ์ของพวกคุณแต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเองชัดมาก ซึ่งอาจจะต่างจากคนในวงการคนอื่นๆ ที่ต้องรักษาบุคลิก ย้อนกลับไปในช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น ยากไหมกับการเป็นตัวของตัวเองในวงการที่คนคาดหวังให้มี ‘ภาพลักษณ์’ อะไรบางอย่าง
ต้า: เรามองเรื่องนี้ในมุมกลับ เพราะสมัยก่อน เราอยากจะปรับงานให้ป็อปขึ้น ให้รู้เรื่องขึ้น แต่มันทำไม่เป็น ทำไม่ได้ ทำไปก็ไม่เวิร์ก มันเลยกลายเป็นว่าเราต้องเป็นแบบนี้ ก็ช่างแม่ง ไม่ได้รู้สึกว่าฉันต้องเซอร์อะไร ไม่ได้อยู่ยากเลย เราอยู่ง่าย เพราะว่าเคยพยายามแล้วทำไม่ได้ ใครๆ ก็อยากเป็นเสก โลโซ เราก็อยากมีเพลงดังเหมือนพี่เสก แต่เราเขียนเพลงเท่าพี่เสกไม่ได้ไง เราก็ยอมรับ
พุฒ: เราคิดเองคนเดียว ไม่มีใครมาสอนนะ คือเราคิดว่าเราเลือกที่จะเป็นธรรมชาติของตัวเอง เพราะรู้สึกว่ามันง่ายดีในการดำรงชีวิต แต่ถ้าเกิดเรายอมเป็นไปตามแพทเทิร์นที่มันควรจะเป็น เราก็เชื่อว่าตอนนั้นเราไปได้ไกลกว่านี้ในสายอาชีพนะ แต่เรารู้สึกว่าชอบแบบนี้มากกว่า แล้วมันก็ไม่ได้ไปเดือดร้อนใคร หรือก่อปัญหาอะไร
เร: เพราะเราเป็นคนอื่นไม่ได้ หรือเราพยายามเป็นคนอื่นไม่ได้ ไม่เป็นตัวเองแล้วจะเป็นใคร
พุฒ: กูกลับคิดแบบนี้ มันอาจจะเป็นความคิดอีกชั้นหนึ่ง คือเท่าที่กูเห็นมา บางคนแม่งไม่ได้เป็นตัวเอง แต่เลือกเป็นคนอื่น คือรู้ความต้องการของตัวเอง ว่าจะเป็นคนอื่น เพื่อที่จะไปสู่เป้าหมายนี้ ซึ่งก็เป็นอีกแบบหนึ่งนะ
เร: เออ อันนั้นเป็นอีกเลเวลที่กูไม่เคยคิดไปถึง มันก็มีหลายคนเป็นแบบนั้น ซึ่งก็ทางใครทางมัน
ต้า: เอาง่ายๆ สมมติจะแต่งตัวเพื่อไปร่วมงาน มีเสื้อหลายแบบให้เลือกใส่ ทั้งเสื้อเชิ้ต เสื้อที่ใส่แล้วดูโดดเด่น เราหยิบมาลอง แต่สุดท้ายก็หยิบตัวที่คุ้นมาใส่อยู่ดี คือกูเป็นแบบนั้นนะ แต่ถามว่ากูเคยลองจะใส่ชุดที่มันโดดเด่นมั้ย กูลองนะ แต่สุดท้ายก็หยิบห่านคู่มาใส่อยู่ดี
เร: แต่ถ้าย้อนไปช่วงพีกที่สุดสมัยวัยรุ่น ซึ่งอาจจะเป็นช่วงพีกสั้นๆ ของเรา ตอนนั้นเรายังไม่รู้อย่างลึกซึ้งหรอกว่าตัวตนของเราจริงๆ แล้วเป็นยังไง เป็นใคร มันก็จะมีคนมาเป่าหูว่า มึงต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องไปอย่างนั้น ต้องไปอย่างนี้ บางทีเราก็เหมือนผ้าขาว ทั้งที่ตอนนั้นอายุยี่สิบกว่าแล้ว เราก็อาจจะมีเป๋ไปบ้าง แต่สุดท้าย มันไม่มีปัญหากับการเป็นตัวของตัวเอง ทุกคนควรจะเป็นตัวของตัวเอง เพราะว่ามันมีหนึ่งเดียวในโลก ทุกคนมีหนึ่งเดียว มึงเป็นสเปิร์มที่พุ่งออกมาชนะอีกพันล้านตัว
ต้า: (หันไปถามเร) แล้วตอนนั้นมีบางช่วงบางสถานการณ์มั้ยแบบว่า เชี่ย ตรงนี้น่าไป หมายถึงในงานสายบันเทิงนะ
เร: ถ้าคิดเร็วๆ ตอนนี้ไม่มี กูบอกเลยว่าถ้าต้องตายตอนนี้ กูโอเค เพราะงาน 99.99 เปอร์เซ็นต์ กูเป็นคนเลือกเอง อ๋อ มีอันเดียวเลย คือกูไม่ได้ออกเพลงหมอลำ
ต้า: แต่กูมี คือตอนที่เป็นเด็ก กูเคยคิดว่าคนเรามันต้องสายหนังสิวะ แล้วก็มองสายละครอีกแบบ เคยมีละครมาชวน แต่กูรู้สึกว่าละครแมสไป แต่มาตอนนี้กูคิดว่าตอนนั้นไม่น่าไปปิดโอกาสตัวเองเลย
พุฒ: จำได้ไหมว่าที่เขามาชวนเป็นบทอะไร
ต้า: หลายเรื่อง ตั้งแต่ รักเกิดในตลาดสด เลย ที่แอนดริว (แอนดริว เกร้กสัน) เล่น
พุฒ: บท รักเกิดในตลาดสด ยังใกล้เคียงกับมึง แล้วบทไกลตัว เช่น คุณชาย เคยมีคนมาชวนมั้ย
ต้า: ไม่มี แต่เคยมีคนชวนไปเล่น น้ำพุ แต่ก็ไม่ได้ ตอนนั้นเป็นน้ำพุเวอร์ชันใหม่ อันนั้นเป็นเรื่องแรกเลยที่ยอมไปแคสติ้ง
เร: โห เรื่อง น้ำพุ ถ้ามีใครชวนกูตอนไหนก็แล้วแต่นะ… นึกออกไหม คือมันอยู่ดีแล้ว อย่าไปแตะเลย
พวกคุณเคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกสั่นคลอนกับความเชื่อหรือความเป็นตัวเองบ้างไหม แม้กระทั่งเวลามีใครมาบอกว่าสิ่งที่พวกคุณทำมันไม่ถูกต้อง
เร: ประจำเลย ก็มนุษย์อะ
ต้า: แม่กูนี่แหละ ชอบบอกว่า “มึงเป็นแบบนี้ ตอนแก่จะเสียใจ แล้วจะหาว่ากูไม่เตือน” (หัวเราะ)
พุฒ: ที่ไขว้เขวไม่มี แต่มีครั้งหนึ่งที่เคยเจอแล้วจำได้ไม่ลืม วันนั้นเราไปคัดใบเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารที่ศาล แล้วก็ไปเจอป้าคนหนึ่งในลิฟต์ เราใส่กางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ต แล้วเอาชายเสื้อใส่เข้าในกางเกง เราว่าเราเรียบร้อยสุดแล้ว ปรากฏเขามาทัก “ทำไมไม่ใส่เข็มขัด” เราก็รู้สึกว่า กางเกงก็ไม่ได้หลวมนะ ทำไมต้องใส่วะ ไม่เข้าใจ แต่เราไม่ได้ตอบไปนะ
เร: ถ้ามึงตอบไป ตอบแบบสุภาพด้วยนะ ป้าแม่งเป็นลมไปเลย กูเชื่อ
พุฒ: แต่กางเกงไม่หลวมจริงๆ นะ ก็ไม่แน่ใจว่าไม่ใส่เข็มขัดคือไม่สุภาพเหรอ ก็ไม่นะ
แต่ละคนมองคำว่า ‘ผู้ใหญ่’ ในแต่ละช่วงวัยแตกต่างกันไปอย่างไรบ้าง มีหลายคนที่กลัวการเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะกลัวการกลายเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่ตัวเองเคยเกลียด หรือเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ต้า: ไม่ต้องกลัว เราเป็นอยู่ ก็ไม่ได้เลวร้ายมาก ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่มีใครหนีพ้นหรอก เป็นผู้ใหญ่มีข้อดีนะ คือได้กลั่นกรองอะไรมากขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น
เร: โห ถ้าผ่านมา 20 ปี แล้วมึงยังเข้าใจเหมือนเดิม หรือไม่ได้เรียนรู้อะไรตลอด 20 ปีที่ผ่านมา มึงควรจะพิจารณาตัวเอง เวลามันก็ผ่านไป เราก็โตขึ้น แต่เอาเข้าจริง คำว่าผู้ใหญ่มันเป็นแค่คำเฉยๆ คืออายุ 40 กว่า มันจะมาเอง มันอยู่ในดีเอ็นเอ ซึ่งพอได้เป็นพ่อคน เราก็ได้เรียนรู้จากลูก จากน้องๆ เยอะเหมือนกัน
พุฒ: ชีวิตจะสอนเอง ไม่ต้องไปเกร็ง หรือไปรอรับแรงกระแทกการเป็นผู้ใหญ่อะไรขนาดนั้นหรอก
ต้า: ความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ดูแย่หรอก แต่ถ้ามีคนมาทัก “เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ” อันนั้นไม่ค่อยดี (หัวเราะ)
เร: คือเราเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น แต่อาจจะด้วยอาชีพหรือสายงาน เราอาจจะไม่ต้องวางตัวเป็นบอสใหญ่ มีลิฟต์ส่วนตัวหรืออะไร ซึ่งก็คงไม่มีแล้วมั้ง
ต้า: อย่างมึงคือรอรถเข็นแล้ว
มีอะไรบ้างไหมที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วพวกคุณก็ยังทิ้งไม่ได้
เร: การเป็นตัวของตัวเอง ถุย (หัวเราะ)
พุฒ: เรากลับมองว่าไม่มี คือสำหรับเรา ยิ่งแก่ต้องยิ่งไม่อะไรทั้งนั้น แล้วชีวิตมันจะง่าย อยากจะกินอะไร อยากจะแต่งตัวยังไง ก็ไม่ต้องไปสนใจว่าคนจะมองยังไง สนใจในเรื่องที่ควรสนใจ เช่นพ่อแม่พี่น้อง อะไรอย่างนั้นดีกว่า
เร: ตอนเป็นวัยรุ่นเราอาจทิ้งคนข้างๆ ที่ดูแลเรามา พ่อแม่พี่น้อง ที่เราทำให้เขาผิดใจเยอะเหมือนกัน แต่ก็ยังกลับมาทันมั้ง ถึงจะช้าไปหน่อย
พุฒ: สิ่งนี้น่าจะเป็นอะไรที่พวกเราได้เรียนรู้เนอะ
ต้า: เอาง่ายๆ สมัยเด็กๆ เราไม่เคยกินข้าวกับที่บ้านเลย ตอนนี้กินข้าวกับที่บ้านบ่อยขึ้น เริ่มมาอยู่กับที่บ้านมากขึ้น ทุกวันนี้โดนใช้งานแหลกเลย แต่เรากลับรู้สึกดี ที่เรพูดน่ะจริง คือเหมือนจะช้าไปนิดหนึ่ง ควรจะรู้สึกได้เร็วกว่านี้หน่อย แต่ยังดีที่รู้สึกตัวทัน
พุฒ: คนเรามันโตเร็วไม่เท่ากัน
เร: พอใบหน้าเริ่มเป็นน้าๆ ลุงๆ พุงเริ่มโต มันจะเหมือนผีเห็นผี เหมือนเราจะดึงดูดเด็กรุ่นๆ สิบกว่า สิบเก้า ยี่สิบ หรือเด็กที่มีปัญหาตลอดเวลา ซึ่งเราก็ยินดีช่วย เราไม่ได้บอกว่ามองทะลุทุกเรื่อง แต่บางคน ถ้าบอกว่ามันร้อน ยังไงมันก็จับ มันจะถูกเผาไหม้ขนาดไหน ก็ต้องลองเอง เพราะเราก็เคยเป็นเด็กคนนั้นมาก่อน เราก็บอกไปเท่าที่บอกได้ ว่ามันเป็นอย่างนี้ แต่มึงไม่ต้องเชื่อกูหรอก ลองใช้ชีวิตดู
แล้วความเป็นผู้ใหญ่ทำให้พวกคุณปล่อยวางกับคนที่ไม่ชอบได้ไหม
เร: มันเสียเวลา คือเวลาผ่านมาขนาดนี้ เรายังคุยกันได้สามคนนี้ เราถือว่าเป็นบุญมากแล้ว อย่างคริต (ชาคริต แย้มนาม) อีกคน ก็ยังคุยกับเราอยู่ ทั้งที่เราเลวกับมันมากตั้งแต่เด็กๆ คือเราเหลือ 3-4 คน แค่นี้ก็เป็นบุญนักหนาแล้ว
ต้า: ไม่ได้ผูกใจเจ็บ แต่ก็ไม่ได้มีความพยายามต้องไปเจอกัน โลกมันกว้างใหญ่ แล้วเวลามันเหลือน้อยกว่าที่จะมานั่งเกลียดนั่งแค้นกัน คือไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ต่างคนต่างอยู่ มีพื้นที่เยอะแยะให้เราเลือกนั่งเลือกมอง
เร: ถ้ามันไปกันไม่ได้ในแง่งานหรืออะไรก็แล้วแต่ โตขึ้นมันมีเหตุและผล แค่ต้องเปิดใจให้กว้างแล้วคุยกัน แต่กับบางคนเหมือนปิดหูปิดตา มันไม่มีอะไรเข้าไปแล้ว อันนี้เราคิดว่าคุณก็จงไปในทางที่คิดว่าดี แล้วหวังว่าทางของคุณจะถูกนะ ทางของเราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเดินถูกไหม แต่มันไปด้วยกันไม่ได้
พุฒ: เราจะเสริมนิดหนึ่ง พอเราแก่แล้วเริ่มมีความรู้สึกว่า ถึงแม้จะไม่ชอบกัน หรือยังไงก็แล้วแต่ แต่ก็ขอส่งให้แม่งไปในทางที่ในความรู้สึกเราคือยังเมตตาอยู่นะ เราก็อวยชัยให้พร ไม่ได้ไปด่าไล่หลัง หรือว่าเอามาด่าลับหลัง หรือเอาเขาไปทำลาย แต่ก็แค่ไม่ต้องมายุ่งกัน
ต้า: มึงธรรมะนะ สามารถให้ความรู้สึกดีๆ ส่งกลับไปด้วยซ้ำ
พุฒ: กูเชื่อว่ายิ่งเกลียดยิ่งต้องแผ่บุญให้แม่งเลยนะ
เร: ความเกลียดหรืออิจฉาริษยา ยิ่งมันออกมาจากตัวเราเยอะ มันยิ่งทำลายตัวเรา แล้วเสียเวลาที่เราจะเดินหน้าต่อไป ก็จงอวยพรขอให้เขาไปถูกทาง แต่ยังไม่มีนะ ที่ชาตินี้อย่ามาเจอกันอีกเลย แต่วันนี้อาจจะมีก็ได้
พุฒ: หมายถึงคริตเหรอ (หัวเราะ) คือจะไม่ชอบยังไง ก็ยังมีความเป็นผู้ใหญ่มาคาน ถ้าบังเอิญเดินไปเจอกัน มันก็มีมารยาทพอที่จะทักทายกันในระดับหนึ่ง
พวกคุณสามคนกลัวการตกยุคไหม
ต้า: ตกไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว
พุฒ: นี่ยังงงอยู่เลยว่าทำไมถึงมาสัมภาษณ์ (หัวเราะ)
เร: มันตกไปตั้งนานแล้ว คือกราฟในอาชีพเรา กว่ามันจะขึ้นมาทีละนิด แป๊บเดียวมันก็ลงไป แล้วก็มีอีกดอกหนึ่ง ขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ถูกหวยอีกนิดหนึ่ง แล้วก็ลงไป คือมันเอาต์ มันหลุดไปตั้งนานแล้ว
ต้า: มันวัดง่ายๆ จากโทรศัพท์ อันนี้ไม่เคยบอกใครนะ ถ้าช่วงฮ็อต โทรศัพท์จะดังบ่อยๆ แต่โทรศัพท์ไม่ได้ดังมาตั้งนานแล้ว ก็ตามนั้น
พุฒ: เรามองว่ามันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลย ที่ผ่านมา คนเจนเราในทุกยุคทุกสมัยของประเทศไทย ซึ่งเยอะนะ ได้มาทำแบบนี้กันอยู่ไม่กี่คน เพราะฉะนั้น มันกำไรมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าเกิดวันหนึ่งมันจะหายไป มันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรชีวิต เราก็มาจากการไม่มีอะไรอยู่แล้ว
ต้า: ถ้าจะให้แนะนำเด็กรุ่นใหม่ๆ คือ อย่างน้อยพอคุณขึ้น คุณดูแลตัวเองให้ดี พยายามเลี้ยงไว้ให้นานที่สุด แล้วตอนลง ยังไงมันลงแน่ ลงให้เป็น แล้วอยู่ให้ได้
เร: เพื่อนเราคนหนึ่ง ไม่บอกว่าใคร แต่ดังเลย อยู่ค่ายใหญ่ บทจะต้องลง ทำอะไรไม่เป็นเลยเว้ย อยู่ไม่เป็น ไม่มีคอนเนกชัน เฮ้ย มึงอยู่วงการมายี่สิบปี มึงไม่รู้จักใครเลยเหรอ ต้องมาถามกูที่เป็นดาราเกรดอี ซึ่งก็ไม่ได้เก็บคอนเนกชันใหญ่โตอะไรขนาดนั้น เราคิดอย่างเดียวเลย เปรียบเทียบกับนักบอล เรารู้ว่าอายุการใช้งานมันเท่านี้ ต้องปรับตัว มันมีขึ้นและมีลง เราพยายามบอกเพื่อนหลายคน เพราะเราลงก่อน เฮ้ย มึงระวังนะ อะไรที่มึงทำลงไป มึงไปสาย มึงกวนตีนเขา มึงเอาแต่ใจ หรืออะไรก็แล้วแต่
ต้า: อันนี้มึงทั้งหมดเลย (หัวเราะ)
เร: โชคดีกูไปขอโทษเขาทัน นั่นแหละ มันจะกลับมาหามึงเร็วมาก
ต้า: แต่สมัยที่อยู่ค่ายเพลง แล้วไปเจอนักร้องรุ่นน้อง เขาก็จะมีงานเยอะ เขาชอบมาถามว่า “พี่ งานนี้รับดีไหม แต่มันไม่ค่อยเท่เลย” เราก็จะบอกว่า จากความรู้สึกกูเลยนะ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง มึงทำไปเถอะ
เร: คือห่วงเท่เราก็เป็น ไม่คูลว่ะ ไม่ไปว่ะ แต่พออายุมาก ไม่สนใจแล้ว ไม่ห่วงเท่แล้ว
พุฒ: มันอยากมีความสุขมากกว่า
เร: แต่มันก็อยู่ในดีเอ็นเอที่คนรุ่นนี้ต้องห่วงลุก ห่วงเท่ เดี๋ยวสังคมจะไม่ยอมรับ มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอเป็นรุ่นเรา เดินไปตดไป
พุฒ: มันไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้วไง มันผ่านอะไรมาเยอะแล้ว
เร: คือถ้ารุ่นนี้แล้วยังมาเท่อยู่ เด็กมันจะเกิดเหรอ อันนี้วงเล็บไปด้วยนะว่าพูดเล่น
พุฒ: (หัวเราะ) พูดจริง เขียนเลยว่าพี่เรเป็นคนพูด แล้วใส่วงเล็บเสียงหัวเราะไปด้วย
เร: พูดเล่น เดี๋ยวคนจะหมั่นไส้
ในวัยที่แต่ละคนอายุสี่สิบบวก ช่วงเวลาที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน หรือเวลามองหน้ากัน พวกคุณคิดอะไรหรือมองเห็นอะไรจากมิตรภาพอันยาวนานบ้าง
พุฒ: อันนี้เราคนเดียวนะ ไม่รู้คนอื่นเหมือนกันไหม เรามองเหมือนเดิม คนอื่นอาจจะมองว่าเราแก่ ด้วยตัวเลขอายุ แต่ข้างในก็รู้สึกเหมือนตอนยี่สิบ เราไม่ได้รู้สึกว่า ไอ้นี่จะทำไม่ได้ ไอ้นั่นจะทำไม่ได้ หรือมีข้อแม้เยอะ ยิ่งมาเจอเพื่อนซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ก็จะจำภาพตั้งแต่ตอนนั้น และไม่รู้สึกว่าต่าง ไม่เห็นเหรอ ไปงานเลี้ยงรุ่น แก่ยังไงก็ตบกบาล ล้อชื่อพ่อกัน มันเป็นเรื่องปกติ
ต้า: ไม่มีอะไรเสริม แค่รู้สึกว่ากินเหล้าได้น้อยลง
พุฒ: เรียนรู้ในการที่จะดื่ม ไม่ใช่แดก
ต้า: ไม่หรอก เพราะมันเมาเร็วขึ้น แล้วอยากนอน (หัวเราะ) ถ้าเป็นเมื่อก่อนเหรอ ไม่มีหยุด
เร: แต่อีกอย่างมันอาจจะเป็นสัญชาตญาณตามวัย เช่น วิธีการตักเตือนของเราไม่เหมือนชาวบ้าน บางคนบอก “เฮ้ย ต้องวางตัวให้เด็กมันดูหน่อยเว้ย” ไม่มีอะ เพราะเราไม่ได้สนใจเรื่องเจเนเรชัน ถ้าอายุเกิน 18 ปี คือมึงโตแล้ว มึงคุยกับกูแบบผู้ใหญ่ ไม่ต้องมามีเด็ก มีเจเนเรชันเลย บางคนอายุ 15 วิธีคิดยังโตกว่าเราอีก เราเท่ากันหมด ไม่ต้องเอาเจเนอเรชันมาวัดใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องมีโซตุสโซตัส ห่าเหวอะไรทั้งสิ้น กำแพงทลายไปเลย โตกันแล้ว
แล้วในวัยนี้ อะไรบ้างที่จะทำให้อดีตเด็กซ่าอย่างพวกคุณยังตื่นเต้นจนอะดรีนาลีนหลั่ง
เร: รู้ไหม ตอนนี้ที่ทำมาทั้งหมด เราตื่นเต้นที่จะได้มาถ่ายรายการบ๊องๆ กับสองคนนี้ที่สุดเลย
พุฒ: วันนี้จะถ่ายรายการ เมื่อคืนกูก็นอนไม่หลับนะ แต่ที่จริงคำตอบแรกของกูเป็นอีกเรื่อง มันเอาไปลงไม่ได้หรอก (หัวเราะ)
เร: เรื่องอะไร
พุฒ: ไม่บอก มันเขียนไม่ได้
ต้า: ส่วนของกูเหรอ (นิ่งคิด) ชุดนอนไม่ได้นอน
Tags: พุฒต้าเร, Rayron, ติดคุย, เร แม๊คโดแนลด์, ลีโอ พุฒ, ต้า บาร์บี้, The Frame