ไม่นานมานี้เราได้เห็นหน้า 2 นักแสดง เต้ย-พงศกร เมตตาริกานนท์ และแก๊ป-ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล บนจอเงินกันมาแล้ว ทั้งเต้ยในบทหนุ่มนักรักจากเรื่องวิมานหนาม (2567) ที่กวาดรางวัลหลายเวที และแก๊ปในภาพยนตร์สุสานคนเป็น (2568) ที่สร้างจากบทละครสุดคลาสสิก ซึ่งในเดือนนี้เรากำลังจะได้เห็นทั้งคู่ในผลงานภาพยนตร์เรื่องพระร่วง..มหาศึกสุโขทัย ภาพยนตร์ดราม่า-แอ็กชัน ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์จากฝีมือผู้กำกับ แน็ต-ชาติชาย เกษนัส ที่หลายคนรอชมในโรงภาพยนตร์วันที่ 29 พฤษภาคมนี้
ก่อนจะถึงวันที่ได้ดูหนังเรื่องพระร่วง..มหาศึกสุโขทัย The Momentum ชวน 2 พี่น้องในหนังมานั่งพูดคุยถึงเบื้องหลังการถ่ายทำ ที่ต้องฝึกฝนศิลปะวิทยายุทธ เพื่อบทบาทของพ่อขุนบางกลางหาวและพรญาผาเมือง รวมถึงเล่าบรรยากาศในกองถ่ายและความประทับใจเมื่อได้ร่วมงานกัน
กองถ่ายที่มีแต่ความท้าทาย
เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ และเล่าเรื่องในอดีตยุคอาณาจักรสุโขทัย แม้ว่าเนื้อหาของภาพยนตร์อ้างอิงมาจากบทละครพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) แต่ไม่ว่าจะด้วยเรื่องวัฒนธรรม วิถีชีวิต เครื่องแต่งกาย ภาษาพูด ย่อมแตกต่างจากปัจจุบัน
แล้วในฐานะนักแสดงที่ต้องมารับบทเป็นตัวละครที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ มีความยากและความท้าทายอย่างไรบ้าง ซึ่งข้อนี้แก๊ปที่รับบทเป็นขุนบางกลางหาวเล่าว่า ตนเองต้องฝึกขี่ม้าเพื่อฉากรบในหนังเรื่องนี้
“ความท้าทายของพี่คือฉากแอ็กชัน ซึ่งบทของพี่คือขุนบางกลางหาว ตัวละครจะใจร้อน บ้าพลัง จะมีฉากแอ็กชันเยอะ ต้องซ้อมคิวบู๊ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ถนัดมาก และต้องเรียนขี่ม้าด้วย เราต้องฝึกในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างขี่ม้าเขาก็จะมีเวลาให้แค่ประมาณ 2 วัน วันละ 3-4 ชั่วโมงประมาณนี้ แต่ยังโชคดีที่ตอนถ่ายฉากจริงม้าไม่ต้องวิ่งเร็วมาก” แก๊ปเล่าถึงความท้าทายแรก
นอกจากความท้าทายทางด้านร่างกายของแก๊ปแล้ว ในมุมของเต้ยที่รับบทพรญาผาเมืองเล่าว่า อีกหนึ่งความยากคือทั้งคู่ต้องหัดพูดภาษาสุโขทัย ซึ่งมีอาจารย์สอนให้ตั้งแต่ตอนอ่านบท ก่อนเริ่มการถ่ายทำจริง
ถึงแม้จะยากสำหรับนักแสดง แต่เต้ยกล่าวว่า สำหรับคนดูแล้วไม่ต้องกังวลเลยว่าจะฟังไม่เข้าใจ เนื่องจากภาษาสุโขทัยมีความแตกต่างที่สำเนียง ซึ่งในเรื่องคำศัพท์ทั่วไปนั้นยังคงเดิม
“ในเรื่องของภาษา ถามว่ายากไหม มันก็ยาก เพราะมันต้องพูดให้ชินปากด้วย แล้วเราก็ต้องอินกับคาแรกเตอร์ของตัวละคร พอเราเข้าฉากแล้ว เราจะมาพะวงว่าต้องพูดอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เราต้องกลืนภาษาเข้าไปแล้ว ผมอาจจะรู้สึกว่าพูดยาก แต่คนฟังฟังออกแน่นอน” เต้ยเน้นย้ำ
ในส่วนฉากบู๊แอ็กชันสำหรับเต้ยถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหม่นัก เพราะเขาเคยเล่นละครพีเรียดแอ็กชันทั้งบางระจันและพันท้ายนรสิงห์มาแล้ว แต่เรื่องที่ท้าทายสำหรับเต้ยคือการปรับการแสดงจากจอแก้วมาสู่จอเงิน
“แอ็กติงของภาพยนตร์มันก็จะไม่ได้ขยายใหญ่เท่าละครขนาดนั้น ผมต้องมาปรับให้มันเล็กลงนิดหนึ่ง” เต้ยกล่าว
นอกจากนี้เต้ยยังเล่าอีกว่า หนังเรื่องพระร่วง..มหาศึกสุโขทัยมีเครื่องแต่งกายที่ต่างออกไปจากละครที่เขาเคยเล่น
“ชุดในเรื่อง ทางทีมคอสตูมเขาก็มีการรีเสิร์ช โดยอ้างอิงจากเรื่องเล่า หลักฐาน ภาพวาด หลากหลายส่วนมาตีความใหม่ แล้วออกแบบให้สวยงาม ใช้งานได้จริงในการถ่ายทำ มันเลยจะมีความแตกต่างจากพีเรียดในหลายๆ เรื่อง ที่ผมเคยเล่น เพราะเรื่องนี้มีทั้งโพกหัว ใส่วิกด้วย ตอนออกรบก็เป็นอีกชุดหนึ่งที่ไม่ได้ใส่เกราะด้วย” เต้ยกล่าว
ทั้งนี้แก๊ปเสริมถึงการทำงานกับผู้กำกับแน็ต ชาติชาย ซึ่งเป็นคนละเอียดทั้งในแง่ของบท และเครื่องแต่งกาย รวมถึงศาสตร์และศิลป์แขนงอื่นในหนังก็มีความน่าตื่นเต้นในรูปแบบหนึ่ง
“เราเคยร่วมงานกับพี่แน็ตในจากเจ้าพระยาสู่อิรวดี (2565) พี่แน็ตเองก็ทำพีเรียดมาหลายเรื่องเหมือนกัน อย่างเรื่องลับแล (2567) แล้วก่อนหน้านั้นพี่แน็ตก็ทำหนังในประเทศเพื่อนบ้านด้วยอย่าง From Bangkok to Mandalay (2559) ซึ่งเขาจะมีความลึกซึ้ง สนใจในวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ เขาค่อนข้างมีข้อมูลเยอะ สิ่งที่จำได้ตอนกำกับคือ พี่แน็ตจะพูดบ่อยๆ ว่า อยากให้มีความเข้มข้นในการแสดงเราจะต้องลึกขึ้น อินขึ้นอะไรแบบนี้” แก๊ปเล่าถึงการทำงานร่วมกับผู้กำกับ
ในฐานะผู้กำกับแน็ต ชาติชายเป็นบุคคลที่มีแฟนหนัง-แฟนละครรอติดตามชมผลงานอยู่ไม่น้อย แล้วสำหรับเต้ยที่ร่วมงานกับผู้กำกับท่านนี้เป็นครั้งแรก และเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ หลายคนอาจสงสัยว่า เขาจะรู้สึกกดดันหรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้เต้ยตอบว่า เขารู้สึกสนุกที่ได้แสดงมากกว่า
“ผมทำหน้าที่โฟกัสในสิ่งที่เขาให้เล่นเป็นตัวละครตัวนี้ ก็ทำเต็มที่ในส่วนของเราไป เพราะพี่แน็ตเขาจะเน้นแบบสมจริงมากๆ เลยนะ ต้องรู้สึกจริง ถ้าไม่รู้สึกก็ไม่ต้องเล่น จะเน้นประมาณนั้น แล้วพี่แน็ตเป็นคนที่ศึกษาข้อมูลมาเยอะพอสมควร คือถ้าเราถามไปเขาก็ตอบได้หมดเลย” เต้ยบอกกับเรา
แต่ในทางกลับกันเป็นแก๊ปเองที่บอกว่า รู้สึกกดดัน
“กดดัน เพราะจริงๆ ในทุกเรื่องที่เราเล่นก็จะมีความตื่นเต้น ความกดดัน ความคาดหวัง แต่ว่าสุดท้ายก็จะคิดเหมือนเต้ยว่า ถึงเวลาทำหน้าที่ของตัวเองก็ทำเต็มที่ ส่วนคนที่ดูหนังพี่แน็ต ส่วนตัวคิดว่า คงมีความคาดหวังอยู่เหมือนกัน”
อย่างไรก็ตามในครั้งนี้แก๊ปและเต้ยถือเป็นการร่วมงานกันครั้งแรก และเป็นบทพี่น้องกัน จึงน่าสนใจว่า ตลอดช่วงเวลาที่ถ่ายทำในกองถ่ายจนถึงวันนี้ ทั้งคู่มีความประทับใจซึ่งกันและกันอย่างไรบ้าง ซึ่งเต้ยเริ่มเล่าถึงความรู้สึกที่มีต่อแก๊ปก่อน
“ผมมองว่าพี่แก๊ปเขามาสายหนัง เพราะฉะนั้นเขาจะเล่นได้เป็นธรรมชาติมากๆ เลย อันนี้ก็ต้องยกให้เขาเลย เช่นในเรื่องสืบสันดาน (2567) หรือในหลายเรื่อง ผมว่าทุกคนก็คงเห็นว่า พี่แก๊ปมาทางสายหนังได้ดีมากๆ แล้วก็เป็นคนที่ทำการบ้านหนักเพื่ออินไปกับคาแรกเตอร์ตัวละครตัวนั้น ในเรื่องนี้ก็ด้วย ทุกคนก็จะสงสัยว่า พี่แก๊ปจะเล่นหนังพีเรียดออกมาเป็นอย่างไร ทุกคนก็จะได้เห็นฝีมือพี่แก๊ปในเรื่องนี้ว่าพี่แก๊ปก็บู๊ได้ด้วย”
ในขณะเดียวกันแก๊ปบอกว่า เขาชอบที่เต้ยเป็นคนสบายๆ และตั้งใจทำงาน
“ประทับใจในความตั้งใจ เรากับเต้ยพอทำงานเป็นพาร์ตเนอร์กันก็จะสบายใจ เพราะเต้ยมีความตั้งใจ มีการเตรียมงาน ทำการบ้านมาเหมือนกัน แล้วเต้ยเคยเล่นละครบางระจัน เล่นละครพันท้ายนรสิงห์ เราก็จะรู้สึกว่า เต้ยมีประสบการณ์ในเรื่องของการบู๊เยอะ มีสกิลมาก่อนแล้วในฉากแอ็กชัน ตอนที่ไปซ้อมคิวบู๊ เต้ยก็จะสอนเรา นอกจากความตั้งใจที่เห็นจากเต้ยในทุกครั้ง คือเต้ยค่อนข้างที่เป็นคนง่ายๆ สบายๆ แล้วพี่ก็รู้สึกสบายด้วย สื่อสารด้วยง่าย” แก๊ปตอบ
หนังพีเรียดที่ถ่ายทอดเรื่องเก่าด้วยวิธีเล่าแบบใหม่
คงต้องกล่าวตามตรงว่า เราไม่ได้เห็นภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์สร้างเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ยิ่งใหญ่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งในอีกแง่หนึ่ง คนดูอาจมองว่าภาพยนตร์ประเภทนี้มีเนื้อหาที่ค่อนข้างน่าเบื่อไปสักนิด เพราะสามารถหาอ่านได้ตามหนังสือประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ทั้งยังมีความกังวลถึงว่า จะบิดเบือนประวัติศาสตร์ที่ตนเคยร่ำเรียนมา จึงน่าสนใจว่า เมื่อเกิดประเด็นเช่นนี้ ทางนักแสดงเองมีความคิดเห็นอย่างไร ซึ่งตัวเต้ยเองบอกว่าความจริงภาพยนตร์เรื่องนี้มีความแปลกใหม่มากกว่านั้น อีกทั้งในด้านของงานภาพก็มีความงดงามดึงดูด
“หนังปรับมาจากบทพระราชนิพนธ์จากรัชกาลที่ 6 เป็นบทละคร แล้วนำมาปรับกับหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ และปรับบทให้เป็นปัจจุบัน จนกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งตอนที่ผมรับเล่นเรื่องนี้ เป็นเพราะความแปลกใหม่ของบท มันมีการนำเสนออีกแบบหนึ่งที่ไม่เคยเห็น เพราะเป็นภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ที่ถ่ายทอดผ่านศาสตร์และศิลป์หลายๆ แขนงมารวมกัน และเป็นการเล่าให้คนดูเข้าถึงง่ายในอีกรูปแบบหนึ่ง” เต้ยเล่า
แม้เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ กับบทพระราชนิพนธ์มาอีกทีหนึ่ง แต่นำมาเล่าให้เข้าถึงง่าย และอาจไม่ได้เล่าประวัติศาสตร์กระแสหลักในทุกอณู อีกทั้งความเข้าใจในประวัติศาสตร์ของคนดูแต่ละคนอาจมีไม่เท่ากัน แล้วตัวนักแสดงเองก่อนหน้านี้เข้าใจประวัติศาสตร์ของราชวงศ์พระร่วงแห่งอาณาจักรสุโขทัยมาก่อนหรือไม่
“เคยรู้มาตอนเด็กๆ ครับ แล้วก็ลืมไปแล้ว พอมาเล่นเรื่องนี้ก็กลับไปดูอีกครั้ง” เต้ยกล่าว
เช่นเดียวกับแก๊ปที่บอกว่า เขาศึกษาข้อมูลเพิ่มขึ้นหลังจากเล่นเรื่องนี้
“ก่อนหน้านี้ไม่รู้นะ แต่พอได้มาเล่น ก็ได้ไปเสิร์ชกูเกิลดู เราก็ค้นพบว่ามันไม่ได้เหมือนในหนังเสียทีเดียว คือประวัติศาสตร์มันมีหลายแง่มุม มันมีการถ่ายทอดมาจากหลายๆ คน สำหรับเราโลกทักศน์เปลี่ยนนะ อย่างการเสิร์ชใน Google ข้อมูลมันมีหลายฝ่ายมาก เราก็เอามาวิเคราะห์ดูได้ว่า มันเมกเซนส์ไหม มันอาจจะเป็นการชวนให้คิดต่อ ตั้งคำถาม หาคำตอบ และอาจจะต้องไปย้อนอ่านข้อมูลหลักฐานอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกันต่อ” แก๊ปตอบ
สุดท้ายแล้วภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ หรือกระทั่งภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์หลายเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้ทำหน้าที่ตอบคำถามว่าข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์เรื่องไหนเป็นเรื่องจริง แต่อย่างน้อยก็ทำให้คนดูได้เกิดการตั้งคำถามกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา รวมทั้งคิดวิเคราะห์ในหลายมิติว่าอันไหนที่สมเหตุสมผล
Tags: หนัง, ภาพยนตร์, The Frame, พระร่วง มหาศึกสุโขทัย, แก๊ป ธนเวทย์, เต้ย พงศกร, พระร่วง, สุโขทัย