“เรามีเวลาสัมภาษณ์ประมาณ 30 นาทีนะคะ เพราะเสร็จจากตรงนี้ (กอง The Momentum) น้องมีงานต่อ”
ประโยคสั้นๆ จากทีมงานผู้แลคู่สนทนา ที่เข้ามาแจ้งให้เราทราบก่อนเริ่มการพูดคุยกับแขกคนสำคัญในวันนี้ อาจฟังดูเพียงการกำชับเรื่องเวลา แต่ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่า ตลอดทั้งวันของเธอช่างเต็มไปด้วยตารางงานที่แน่นขนัด
หลังจากจบการสัมภาษณ์กับเราแล้ว เธอต้องไปถ่ายวิดีโอสำหรับโปรเจกต์ ‘Grayscale’ ของ The Momentum ซึ่งเชื่อว่า ผู้อ่านหลายคนน่าจะได้ชมกันแล้ว และยังมีงานอื่นรออยู่ต่อทันที
แม้เราอดรู้สึกกังวลเล็กๆ เรื่องเวลาที่มีจำกัดไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็ช่วยเปิดภาพให้เราเห็นถึงชีวิตการทำงานใน 1 วันที่กำลังเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ใช่แค่ร่างกายที่ต้องเคลื่อนไหวจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งอย่างต่อเนื่อง แต่ยังหมายถึงเส้นทางอาชีพของเธอที่โลดแล่นไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในทุกฝีก้าว และไม่หยุดพักเช่นกัน
การแสดงที่ยากเกินจินตนาการผ่านบทบาท ‘จินตหรา’
“โห ตัวจริงน่ารักมาก ตาก็สวย”
นั่นคือประโยคแรกที่หลายคนอาจนึกขึ้นมาเมื่อได้เจอตัวจริงของ อ๊ะอาย-กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ หนึ่งในสมาชิกวง 4EVE วง T-Pop ที่มาแรงที่สุดในช่วงนี้ และนักแสดงรุ่นใหม่มากความสามารถที่ฝากฝีมือไว้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง หลากบทบาท รวมถึงเรื่องล่าสุดอย่าง ATTACK วิญญาณเลขที่ 13 ในบทบาท ‘จิน จินตหรา’ ที่เธอยืนยันว่า การแสดงครั้งนี้สอนให้เธอรู้ “เทคนิคการต่อสู้ได้ภายใน 3 นาที แบบยังไม่ตาย”
เราเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการให้อ๊ะอายเล่าเรื่องราว และประเด็นสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ฟังก่อน เพื่อที่เราจะได้เห็นภาพรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้ให้มากขึ้น
“ATTACK วิญญาณเลขที่ 13 เล่าเรื่องของกลุ่มเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งในโรงเรียน ซึ่งเป็นสังคมที่เกิดการบูลลีเกิดขึ้น แต่สิ่งที่แตกต่างจากเรื่องอื่นคือ มันไม่ใช่แค่การแกล้งหรือการบูลลีแบบธรรมดา เพราะว่ามันเป็นการบูลลีที่มีคนตาย แล้วสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ คนที่ตาย กลับไม่ใช่คนถูกบูลลี แต่เป็นคนที่เคยบูลลีคนอื่น”
คำอธิบายสั้นๆ นี้ไม่เพียงแต่สะท้อนธีมที่เข้มข้นของเรื่อง ทำให้อยากรู้ต่อไปว่า ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวละครของเธอเป็นอย่างไร มีคาแรกเตอร์แบบไหน
“สําหรับตัวละครจินของหนู จินเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งย้ายเข้ามาเป็นเด็กใหม่ ที่มาด้วยความมั่นใจ เพราะตอนอยู่โรงเรียนเก่าก็เป็นหัวหน้าทีมวอลเลย์บอล เลยติดนิสัยความเป็นหัวหน้านิดหน่อย แต่พอมาถึงปุ๊บ ก็เจอตัวละคร ‘บุษบา’ (รับบทโดย ลิลลี่-ณิชภาลักษณ์ ทองคำ) ที่เป็นหัวโจกของโรงเรียนใหม่ ซึ่งเขาก็ไม่พอใจ เพราะรู้สึกว่า ‘อีนี่คือใคร’ (หัวเราะ) มันก็เลยเกิดการปะทะขึ้น
“ด้วยความที่เราก็เป็นคนที่เคยถูกบูลลีมาก่อนในโรงเรียนเก่า พอเราย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ เลยรู้สึกว่าเราไม่อยากที่ยอมใครอีกต่อไป เราก็เลยสู้กลับ”
เมื่อฟังเรื่องราวของเธอ เราอาจเข้าใจได้ว่า ตัวละครจินไม่ใช่ตัวละครที่ดำเนินชีวิตด้วยความแค้น หรือความต้องการตอบกลับความเลวร้ายด้วยความรุนแรงแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาที่ลุกขึ้นมาปกป้องตัวเอง จากสภาพสังคมอันเลวร้าย และวนกลับมาหลอกหลอนเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะเปลี่ยนโรงเรียนใหม่ เปลี่ยนผู้คน ทว่าในความคิดของอ๊ะอาย จินกลับไม่ใช่ตัวละครใสซื่อมือสะอาด แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ร้ายไม่ต่างกับใครๆ เพียงแต่เธอก็มีเหตุผลในการลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเอง
“ตัวละครนี้จะแบบร้ายๆ หรืออาจมีเหตุผลของตัวเอง ซึ่งมันก็เป็นตัวละครเทาๆ เพราะว่า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะความรักตัวเอง”
หากพิจารณาจากตัวอย่างภาพยนตร์ ATTACK วิญญาณเลขที่ 13 ที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ บวกกับได้ฟังมุมมองวิเคราะห์ตัวละครในมุมมองของนักแสดงเจ้าของบทเอง เชื่อว่าใครหลายคนคงเห็นว่า การแสดงครั้งนี้ต้องอาศัยความแรง ความกล้าชน และความแข็งแกร่งไม่น้อย
และเมื่อเปรียบเทียบกับผลงานที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น ‘แป้งหอม’ เด็กน่ารักสดใสในซิตคอม บางรักซอย 9/1 (2559) หรือ ‘ข้าวเปลือก’ ดาราละครน้ำเน่าในภาพยนตร์คุณชายน์ (The Cliche) (2567) จนถึงการให้เสียงพากย์สุดน่ารักให้กับตัวละคร ‘เหมยลี่’ ในภาพยนตร์แอนิเมชัน Turning Red (2565) การรับบทเป็น ‘จิน’ ครั้งนี้จึงเรียกได้ว่า เป็นการพลิกบทบาทอย่างแท้จริง
แล้วอะไรทำให้อ๊ะอายตัดสินใจรับบทนี้ และแตกต่างจากเรื่องที่ผ่านมาอย่างไร
เธอเล่าย้อนไปถึงช่วงที่ คุ้ย-ทวีวัฒน์ วันทา ผู้กำกับเจ้าของผลงานภาพยนตร์สยองขวัญดัง อย่าง ธี่หยด 1 และ 2 และทองสุก 13 ที่ครั้งนี้เขาได้นำบทภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องใหม่ของเขา อย่าง ATTACK วิญญาณเลขที่ 13 มาให้เธออ่านเป็นครั้งแรก
เธอมองว่า ตัวอักษรที่โลดแล่นบนหน้ากระดาษนั้น มันไม่เพียงแต่มอบความสนุกให้ตอนอ่านบทและใช้ความคิดจินตนาการถึงฉากแอ็กชันต่างๆ ที่ผสมผสานเรื่องผีและความเชื่อไว้ได้อย่างลงตัว แต่มันยังทำให้เธอมองว่า บทนี้คือ “ความท้าทายความสามารถครั้งใหม่” และ “โอกาสที่เธอไม่เคยคิดว่าจะมีคนยื่นให้”
และเมื่อถามถึงฉากที่ยากที่สุดในการแสดงบทบาทนี้ อ๊ะอายไม่ได้พูดถึงการแสดงอารมณ์หรือความซับซ้อนทางจิตใจของตัวละครเป็นอย่างแรก แต่กลับพูดถึงสิ่งที่เธอไม่เคยทำมาก่อนในชีวิตนักแสดง ฉากแอ็กชันแบบลองเทกที่กินเวลาถึง 23 นาที
“เป็นฉากที่รู้สึกว่ายากที่สุด และเป็นฉากแอ็กชันลองเทกยาวประมาณ 23 นาที และหนูต้องสู้กับผู้ชายประมาณ 4 คน ตั้งแต่ชั้น 1 วิ่งขึ้นไปชั้น 2 และกลับลงมาชั้น 1 อีกรอบ คือมันยากมาก เพราะเราไม่เคยเล่นบู๊ที่ยาวมากขนาดนี้มาก่อน ส่วนมากก็ ‘อ๊ะ ตกอะไรอย่างเนี่ย (หัวเราะ)’ แต่เรื่องนี้ต้องทํานู่นทำนี่ มีชก มีต่อย มีฟัน ถือเป็นหนังแอ็กชันของจริง (หัวเราะ)” แม้จะเหนื่อย แต่เธอก็พูดถึงมันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
“หลายฉากมันยากมาก เพราะว่ามันจะมีข้อจํากัดอยู่อย่างหนึ่ง คือเรื่องของพร็อปที่เราจะต้องทํามันพังให้ได้ภายในแค่ 2 เทก คิวเลยต้องเป๊ะมากๆ เราถ่ายกันตั้งแต่เช้า กว่าจะเสร็จก็เย็นเลย เพราะว่าต้องซ้อมแล้วซ้อมอีก แต่ว่าถ่ายได้แค่ 2 เทก”
เธอเสริมต่อว่า ถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการถ่ายทำครั้งนี้ “หนูได้รู้เทคนิคการทํายังไงให้ต่อสู้ได้ภายใน 3 นาที แบบยังไม่ตาย (หัวเราะ) เพราะถึงจะถ่ายแค่ 2 เทก แต่เป็น 2 เทกที่ยาวมาก พอสั่งคัตปุ๊บ หนูก็แทบล้มแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่ตาย (หัวเราะ)” แม้จะเหนื่อย แต่เธอก็พูดถึงมันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
หลาย ‘ครั้งแรก’ กับงานที่อ๊ะอายทำมาแล้ว ‘หลายสิบครั้ง’
นอกจากความท้าทายในการแสดงฉากแอ็กชันต่างๆ ภายในเรื่องที่เธอต้องเจอ อีกหนึ่งสิ่งที่สร้างความกังวลให้เธอไม่น้อยในช่วงเริ่มต้นการถ่ายทำภาพยนตร์คือ การได้ร่วมงานกับนักแสดงนำอีกคนอย่าง ลิลลี่-ณิชภาลักษณ์ ทองคำ นางแบบและนักแสดงที่เคยฝากผลงานการแสดงในภาพยนตร์แนวสยองขวัญอย่าง เพื่อนที่ระทึก ทว่าความรู้สึกดังกล่าวก็อยู่กับเธอได้ไม่นาน หลังจากที่มันถูกแทนที่ด้วยความเป็นกันเองของเพื่อนร่วมงานคนใหม่
“ต้องบอกว่าตอนแรกรู้จักพี่ลิลลี่จากรายการ The Face ก็รู้สึกว่า ‘เฮ้ย พี่เขาต้องมาแนวเฟียสแน่เลย’ เขาเป็นนางแบบ เป็นนักแสดง แล้วก็เก่งมาก หนูก็เคยเห็นผลงานเขามาบ้าง ก็เลยแอบเกร็งนิดหนึ่ง แต่พอมารู้จักตัวจริง พี่เขาเฟรนลีมากๆ แล้วเขาก็ดูเป็นคนฮาๆ งงๆ เด๋อๆ นิดหนึ่ง (หัวเราะ) เขาเป็นสีสันของกอง ก็เลยทําให้เราเหมือนลืมภาพจํานางแบบเฟียสๆ คนนั้นไปเลย เป็นพี่ที่น่ารักมาก”
ในฐานะคนที่ติดตามผลงานของ 2 นักแสดงรุ่นใหม่มากความสามารถมาตลอด บวกกับการได้ฟังความรู้สึกในการโคจรมาเจอกันครั้งแรกจากปากอ๊ะอายเองด้วย จึงทำให้อดสงสัยไม่ได้เลยจริงๆ ว่าพวกเธอทั้งคู่แลกเปลี่ยนการทํางานหรือเทคนิคการแสดงอะไรกันหรือไม่
“ต่างคนต่างทําการบ้านมาเลย แต่ว่าถ้าแลกเปลี่ยนจริงๆ ก็คงเป็นการแลกเปลี่ยนความไม่เครียดเกินไปจากความรุนแรงภายในการถ่ายทำมากกว่า (หัวเราะ)”
และถ้าคิดว่าการแสดงบู๊หนักหรือการเจอนักแสดงเก่งๆ คือความท้าทายแล้ว ยังมีอีกหนึ่ง ‘ครั้งแรก’ ที่สำคัญสำหรับอ๊ะอายในหนังเรื่องนี้ นั่นคือการได้ร่วมงานกับ 13 STUDIO ค่ายหนังหน้าใหม่ที่เปิดตัวด้วย ATTACK วิญญาณเลขที่ 13 เป็นเรื่องแรก
“ตอนแรกไม่รู้มาก่อนว่าเป็นเรื่องแรกของค่าย เราก็รู้สึกว่า ‘โห งานกํากับของพี่คุ้ย’ เราเคยร่วมงานกับพี่คุ้ยมาก่อน ทีมงานพี่คุ้ยก็รู้จักกันอยู่แล้ว เราก็เลยมาด้วยความชิลๆ สบายๆ เพราะรู้สึกว่าทีมนี้ทํางานด้วยง่ายมากๆ เขาให้พื้นที่ ให้อิสระนักแสดง แต่พอมารู้หลังจากถ่ายจบก็คิดว่า ‘เฮ้ย เรื่องแรกแล้วแบบเป็นเรื่องเปิดตัวบริษัทด้วย… พี่ๆ ให้หนูเล่นเป็นเรื่องแรกเลยหรือ’ ก็ตื่นเต้นมากๆ”
ตลอดการพูดคุย แม้จะเป็นเวลาไม่นานนัก แต่ก็มากพอจะทำให้เราเห็นถึงภาพความทุ่มเทของอ๊ะอายในการเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่บวกเข้ากับฝีมือด้านการแสดงที่เธอมีอย่างเหลือล้นอยู่แล้ว เห็นได้จากหลายผลงานที่ผ่านมา ซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ชมหลายคน รวมถึงผู้เขียนเองหมดข้อกังขาเกี่ยวกับการแสดงที่เรากำลังจะได้ชมในอีกไม่นาน จะมีก็เพียงแต่การรอรับประสบการณ์ครั้งแรกในหลายๆ เรื่องจากอ๊ะอาย ตั้งแต่การเล่นบู๊จริงจังกว่าเรื่องอื่นๆ การแสดงประกบกับลิลลี่เป็นครั้งแรก และการชิมลางภาพยนตร์เรื่องแรกจาก 13 STUDIO เท่านั้น
ความเป็นคนสาธารณะกับภาระที่ต้องแบกรับ
หากย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงต้นของภาพยนตร์ ATTACK วิญญาณเลขที่ 13 นอกจากความสะพรึงของเส้นเรื่องแนวผีสยองขวัญ สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดไม่แพ้กันคือประเด็นปัญหาที่ชวนให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าความกลัวใดๆ นั่นคือ ‘การกลั่นแกล้งและการบูลลีอย่างรุนแรง’ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องแต่ง แต่คือเรื่องจริงที่เรื้อรังและถูกเพิกเฉยมาอย่างยาวนานในสังคม
ในฐานะนักแสดงนำ อ๊ะอายเล่าถึงมุมมองของเธอต่อประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจ เธอเชื่อว่า ความรุนแรงไม่จำเป็นต้องมาในรูปแบบการทำร้ายร่างกายเสมอไป เพราะบางครั้ง ‘คำพูดเล็กๆ น้อยๆ’ ก็สร้างบาดแผลลึกในใจได้ไม่ต่างกัน และนั่นก็เป็นสิ่งที่เธอเองต้องเรียนรู้ที่จะรับมือ ในฐานะ ‘คนสาธารณะ’
“หนูก็เลยมีวิธีจัดการตัวเอง ด้วยการเก็บคอมเมนต์ที่ดีสําหรับเรา เอาไปพัฒนาต่อได้ หนูก็จะรับมันไว้ แต่ถ้าบางคำพูดมันแย่มากๆ หรือว่ามันทําให้เรารู้สึกว่า ‘เรายังไม่ดีพอหรือเปล่า’ เราเริ่มด้อยค่าตัวเองแล้ว หนูจะไม่ชอบตัวเองเวอร์ชันนั้นมากๆ หนูจะรู้สึกว่า ‘ต้องฮึบ เราต้องสู้ขึ้นมา’ เหมือนส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องการจัดการความเข้มแข็งของตัวเองมากกว่า”
13 ปี ในวงการ ก่อนจะเดินทางมาถึง ATTACK วิญญาณเลขที่ 13
แม้จะต้องเจอกับความเห็นต่างๆ จากผู้คนในทุกงานที่เธอทำ แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะหยุดพัฒนาและพิสูจน์ตัวเอง พร้อมกับยืดหยัดที่จะทำสิ่งที่เธอรักมาตั้งแต่เด็กจนถึงทุกวันนี้ ที่ก็ก้าวเข้าสู่ปีที่ 13 บนเส้นทางบันเทิงที่เธอเดินมาตั้งแต่ 7 ขวบแล้ว และด้วยโปรไฟล์การทำงานที่หลากหลายและน่าสนใจเช่นนี้ ก็ทำให้เราอดถามไม่ได้
“ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ที่เป็นทั้งนักร้อง ทั้งนักแสดง ชอบทำงานไหนมากกว่ากัน”
เธอตอบอย่างเรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความชัดเจนในใจว่า “มันเป็นความชอบคนละแบบ ถ้าการร้องเพลง หนูรู้สึกว่ามันเป็นความชอบ เป็นสิ่งที่เราทําได้ มันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่า ‘เราร้องออกมาโอเค เราชอบเสียงตัวเองจังเลย’ หรือว่าเราร้องแล้ว แม่ชม พ่อชม หรือร้องเพลงเล่นๆ กับเพื่อน มันเป็นสิ่งที่ชอบ และเราก็อยากที่จะเอามาร้องให้คนอื่นๆ ฟังต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่ามันเป็นความชอบส่วนตัวเรา
“แต่การแสดงหนูชอบในวิธีที่เหมือนได้เจอคนใหม่ๆ ผ่านตัวละคร เหมือนได้เรียนรู้มนุษย์อย่างหนึ่ง แบบว่า ‘เฮ้ย มันมีสิ่งนี้อยู่บนโลก จริงๆ นะ’ เหมือนเราได้ไปเรียนรู้เขาอะไรอย่างนี้ มันก็สนุกดี”
จากคำตอบของเธอ ทำให้เราพอเข้าใจได้ว่า เธอไม่ได้ชอบหรือฝักใฝ่สิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเป็นพิเศษ เพราะทั้ง 2 สิ่งล้วนแล้วแต่เป็นความชื่นชอบ และเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงความเป็นศิลปินในตัวเธอมาตลอด
ขณะเดียวกันถ้าเป็นเรื่องความกดดันระหว่างทั้ง 2 งาน แม้จะเป็นงานที่รัก แต่แรงกดดันที่ต้องรับมือกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ต่างกันมาก ถ้าร้องเพลงจะรู้สึกว่า ‘ยังไม่ถึง’ หรือ ‘ยังอยากทำได้มากกว่านี้’ ก็อยากพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องฝึก ต้องทำซ้ำๆ
“แต่ถ้าเป็นการแสดงหรือเรื่องแอ็กติงไม่ค่อยมี เพราะหนูรู้สึกว่า ถ้าเราเอาตัวเองลงไปอยู่กับบทแล้ว หนูจะเชื่อในตัวเองมากว่า ‘โอเค เราน่าจะต้องทําอย่างนี้นะ ให้มันเป็นไปตามบท’ ที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของผู้กํากับหรือว่าทีมงาน
แต่สิ่งที่กดดันจริงๆ คือความตั้งใจของทีมงานที่ส่งมาถึงเรา มันทำให้รู้สึกว่า ‘เราไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง’ มากกว่า มันเป็นความกดดันที่มาจากความรู้สึกว่าอยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด เพื่อทุกคนที่ตั้งใจทำงานร่วมกัน”
อาชีพ หน้าที่ และวิถีแห่งการหาความสุข
หลังจากฟังมาสักพัก ผู้เขียนก็คิดเอาเองว่า ความหนักและแรงกดดันของแต่ละงาน คงเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่สาวมากพรสวรรค์คนนี้ต้องเจอ แต่ก็ต้องยอมรับว่า อาจจะต้องคิดใหม่ เพราะเมื่อได้ยินคำตอบของคำถามที่ว่า “มีทั้งเรียน มีทั้งงานร้องเพลง ทั้งงานแสดง และงานอื่นๆ อ๊ะอายบริหารเวลายังไง” ก็ทำให้คิดได้ว่า หรือแท้จริงแล้ว ‘เวลา’ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ อาจเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในการหามาให้เพียงพอกับสิ่งที่เธอต้องทำในแต่ละวัน
“แอบยากอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ 4EVE ก็มีงานวง ไปทัวร์ ก็รู้สึกว่าเป็นอีกช่วงหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นมรสุมชีวิตเหมือนกัน แต่ด้วยความที่หนูไม่ได้กดดันตัวเอง เรื่องเรียนมากขนาดนั้น หนูจะรู้สึกว่าอยากเรียนให้มันดี ทําตามหน้าที่ไปเรื่อยๆ อะไรอย่างนี้มากกว่า แต่ว่าก็มีเพื่อนๆ ในกลุ่มคอยช่วยด้วย
“ถ้าตามความจริงก็คือ ให้งานเป็นสําคัญ เพราะว่าสัดส่วนเวลางานกับเรียน เวลาเรียนจะน้อยกว่า เพราะว่าหนูเรียนแค่ 1-2 วันเอง จะเรียนน้อยแบบว่า เหมือนเราเลือกเซกได้”
แม้เธอจะจัดให้อาชีพของเธออยู่ในระดับที่สูงกว่าสิ่งอื่น ในขณะเดียวกันก็พยายามจัดสรรเวลาให้แต่ละหน้าที่อย่างดีไปด้วย แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่วางแผนไว้ เพราะเมื่อถามว่า “มีความเครียดหรือกดดันบ้างหรือไม่ หรือมีจังหวะที่แต่ละงานมันชนกันหรือไม่” เธอก็ตอบทันควันด้วยการเล่าถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอไม่นาน
“อย่างช่วงเดินสายโปรโมตหนังเรื่องนี้ หนูนั่งทําการบ้านไปด้วย แล้วแบบเหมือนไฟล์มันผิด หนูทําออกแบบเสร็จปุ๊บแล้วก็ส่งไปให้เพื่อน แล้วเพื่อนขอเป็นไฟล์อีกแบบ เราก็พยายามนั่งทำ แต่แบบก็ต้องรีบเข้าเซตแล้ว เลยเป็นว่าพอเสร็จ 1 รายการก็มาทําๆ มันก็จะรู้สึกแบบ ‘ทำไมวุ่นจังเลย’ อะไรอย่างนี้ แต่ว่ามันก็ต้องทําเพราะว่า นอกจากเราที่เรียนอยู่แล้ว มันเป็นงานกลุ่มด้วย ก็ต้องช่วยกัน”
ด้วยการทำงาน การเรียน และเรื่องต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาในช่วงนี้ จึงยากจะจินตนาการเหลือเกินว่า เธอคนนี้มีเวลาให้กับชีวิตส่วนตัวเหมือนกับคนอื่นๆ เขาบ้างหรือไม่ และด้วยความยากในการคาดเดาคำตอบนี่เอง จึงทำให้เกิดคำถามกับเธอว่า “ในวันที่ว่างๆ อ๊ะอายมีวิธีการหาความสุขอื่นๆ ยังไงบ้าง” ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็พอจะทำให้เรามองว่า เธอเป็นอีกหนึ่งคนที่วิ่งเข้าหาความท้าทายใหม่ๆ และสิ่งที่ไม่เคยทำอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับตอนที่เลือกแสดงภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเธอ
“ช่วงนี้หนูไปยิงธนูบ่อย เพราะว่ามันเป็นกีฬาที่หนูอยากลองมาตั้งนานแล้ว แล้วปีนี้ได้ทําจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าก็เอ็นจอยดี ล่าสุดซื้อคันธนูมาแล้ว (หัวเราะ)”
เสียงสะท้อนต่อสิ่งที่เคยทำ และการย่ำหาความท้าทายใหม่ๆ ในวันข้างหน้า
บทสนทนาที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายนาที ชวนให้สัมผัสได้ว่า อ๊ะอายเป็นคนบันเทิงอีก 1 คนที่ออกเดินทางมาไกลมากนับจากจุดเริ่มต้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เธอรับมาแทบจะทุกบทบาทที่คนหน้ากล้องพอจะทำได้ ทั้งร้อง เต้น เล่น แสดง หรือแม้กระทั่งพากย์เสียง แต่ในใจลึกๆ ของผู้เขียนก็ยังเชื่อว่า เธอคนนี้ยังมีสิ่งที่อยากทำอยู่ ซึ่งมันก็เป็นเช่นที่คิดจริงๆ
ถ้าทำมาทุกอย่างแล้ว “อยู่ในวงการมา 13 ปี อ๊ะอายมองเห็นอนาคตของตัวเองในวงการบันเทิงเป็นอย่างไรหรือมีอะไรที่อยากทําอีกหรือไม่” เธอก็ตอบอย่างมั่นใจว่า “อยากลองแต่งเพลงให้ตัวเอง และก็อยากลองแต่งเพลงให้ 4EVE ด้วย” แต่แฟนคลับก็อย่าเพิ่งรีบร้อนไป เพราะเธอเองก็ย้ำทิ้งท้ายติดตลกถึงคนที่รอฟังว่า “รอต่อไป (หัวเราะ)”
ด้วยระยะเวลากว่า 13 ปี ในวงการ ที่มีทั้งรอยยิ้ม คราบน้ำตา เสียงหัวเราะ รวมถึงเสียงชื่นชมและคำวิจารณ์จากผู้คนในสังคมผ่านเข้ามาเรื่อยๆ ในฐานะผู้สัมภาษณ์ และคนที่ชื่นชมความสามารถของเธอมาตลอด ก็อยากลองฟังคำประเมินตัวเองจากปากของเธออยู่เหมือนกัน
จากหลากหลายงานที่ทำมา รู้สึกพอใจกับตัวเองแค่ไหน
เธอตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่แฝงไปด้วยความเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง “พอใจไหม มันก็พอใจนะ รู้สึกว่าเราทําเต็มที่ในทุกๆ อย่าง แต่ก็ต้องพัฒนาอยู่เรื่อยๆ บางทีรู้สึกว่าต้องเข้าใจว่า ‘เรายังทําไม่ค่อยดีเลย’ แต่ด้วยความที่เราก็บอกตัวเองตลอดว่า ‘เราก็เพิ่งจะอายุ 20 ปีเอง เราก็คงต้องเรียนรู้มนุษย์ต่อไปว่า คนนี้เค้ารู้สึกอะไรยังไง’ มันก็เป็นเรื่องที่ยากสําหรับเราเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่าก็ยังต้องพัฒนาต่อไป”
เราปิดบทท้ายบทสนทนาครั้งนี้ด้วยคำถามที่ว่า “หลังจากอยู่ในวงการมานาน เคยมีความรู้สึกว่าอยากพักก่อนหรือไม่” ซึ่งเชื่อว่า คำตอบที่ได้รับก็พอจะมอบความสบายใจให้กับคนที่รัก ชื่นชม และรอติดตามผลงานของเธออยู่ เช่นเดียวกับการเป็นเครื่องยืนยันว่า เธอคนนี้จะยังคงใช้ความสามารถและประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดชีวิต มาสร้างสรรค์เป็นสิ่งใหม่ๆ ให้เราได้ชมกันต่อไป
“ก็คงทําสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่ไหว (หัวเราะ)”
Fact Box
- ภาพยนตร์เรื่อง Attack วิญญาณเลขที่ 13 ผลงานใหม่จาก 13 studio เตรียมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 19 มิถุนายน 2568 นำแสดงโดย อ๊ะอาย-กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ และลิลลี่-ณิชภาลักษณ์ ทองคำ