เชียร์ยูโร~ แอโรซอฟต์~ 

เชียร์ยูโร~ แอโรซอฟต์~ 

ท่ามกลางกระแสฟีเวอร์ของฟุตบอลยูโร 2020 ขณะที่ทุกคนเฝ้าจอรอชมการถ่ายทอดสด นอกจากภาพบรรยากาศสุดอลังการในสนาม ลีลาอันน่าเร้าใจของนักเตะ การแข่งขันที่แสนลุ้นระทึก เชื่อว่าเนื้อเพลง เชียร์ยูโร แอโรซอฟต์ ที่ขับร้องโดย พลพล พลกองเส็ง คงต้องติดหูทุกคนแน่ๆ 

ช่วงเดือนที่ผ่านมา แบรนด์รองเท้าของคนไทยอย่าง แอโรซอฟต์ (Aerosoft) กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง ในฐานะผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ หลังซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดของฟุตบอลยูโร 2020 ในวินาทีสุดท้าย และเพลงประกอบโฆษณา เชียร์ยูโร แอโรซอฟต์ ก็นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการทำให้ชื่อของแบรนด์ติดหู โดยมี ‘ปอ’ – ณัฐภูมิ รัฐชยากร เจ้าของค่ายเพลง KIT MUSIC เป็นผู้แต่งเพลงดังกล่าวให้ฮิตติดหูคนไทยทุกหย่อมหญ้า 

นอกจากเพลงนี้จะช่วยให้แอโรซอฟต์กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในชั่วข้ามคืน ยังทำให้ชื่อของณัฐภูมิและค่ายเพลง KIT MUSIC ถูกสปอตไลต์จับจ้องอีกครั้งในแวดวงนักแต่งเพลงโฆษณา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเคยคิดจะเลิกทำค่ายเพลงไปแล้ว เพราะผลกระทบจากโควิด-19

The Momentum ขอพาทุกคนไปรู้จักผู้บริหารหนุ่มผู้ไม่ยอมแพ้คนนี้ว่า กว่าจะมาแต่งเพลงฮิตติดหูคนไทยอย่างเชียร์ยูโรกับแอโรซอฟต์นั้น ชีวิตเขาต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง

ก่อนหน้าที่จะทำเพลงเชียร์ยูโรกับแอโรซอฟต์ จนฮิตติดหู ค่าย KIT MUSIC เคยทำอะไรมาบ้าง

ผมทำธุรกิจส่วนตัวปีนี้เข้าปีที่ 16 แล้ว มีกลุ่มบริษัทที่ชื่อว่า Newspective Group ซึ่ง KIT MUSIC ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ก่อนหน้านี้ผมทำธุรกิจเกี่ยวกับการวางแผนสื่อโฆษณา การวางแผนสื่อสาร (Media Planner) ที่ต่อยอดมาจากงานรับจัดอีเวนต์ (Event Organizer) จนปีที่ 15 ของการทำงาน ผมก็อยากจะทำตามความฝันสมัยเรียนมัธยม นั่นคือทำค่ายเพลง เลยเปิดตัว KIT MUSIC เมื่อเดือนมีนาคมปี 2563 มีนักร้องและโปรเจกต์เพลงที่ชื่อว่า 7Z (Seven Seas) หมายถึงอารมณ์หลากหลายของทะเลทั้ง 7 

แต่โชคร้ายคือ พอเริ่มทำตามความฝันก็ดันเจอโควิดเลย ถือว่าผิดจังหวะไปหน่อย ทำให้เราต้องปรับธุรกิจ โดยไปโฟกัสกับตัวธุรกิจอื่นที่ต้องประคับประคอง Newspective Group ก่อน ส่วน KIT MUSIC ก็เลยต้องเงียบๆ ไป ขณะที่ธุรกิจอีเวนต์นั้นพังไปเลย ทีนี้เป้าหมายหนึ่งของ KIT MUSIC เพื่อสู้กับโควิดคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้มีคนดูวิดีโอ 4,000 ชั่วโมง เพื่อที่จะสามารถรับโฆษณาสร้างรายได้ เราก็แข็งใจทำคอนเทนต์อัดเข้าไป จนถึงเป้าหมายในช่วงปลายปี 2563 

ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะพับโปรเจกต์ดนตรีทิ้งลงไปแล้ว แต่ก็แข็งใจ เรายังมีผลงานของศิลปินเดี่ยวในเพลงที่ชื่อว่า พี่ร้องน้องเด้ง โควิดมันเริ่มเบาลงแล้วในช่วงนั้น แต่ก็ต้องโชคร้ายเพราะมาเจอโควิดรอบสอง เราก็พยายามสู้ต่อจนมันเริ่มที่จะเบาลงไปอีกรอบหนึ่ง เลยพยายามที่จะปล่อยเอ็มวีและทำเพลงที่ 3 ที่ชื่อว่า ลูบรูปเธอ ก็ยังจะมาโดนโควิดรอบสามอีก มันก็เลยเหมือนเปิดๆ ปิดๆ ไปทุกครั้ง

นอกจากนี้ เพลงโฆษณาก็เป็นหนึ่งในช่องทางหารายได้ของเรา ผลงานที่ KIT MUSIC เคยทำไว้ก่อนหน้าก็จะมีเพลงโฆษณาที่ทำให้กับ ‘ฉัวะฮะเส็ง’ ซึ่งเป็นแบรนด์น้ำพริกเผา ถือเป็นผลงานเพลงโฆษณาที่ทำโดย KIT MUSIC เพลงแรก เราทำกันช่วงก่อนโควิด มีเพลงเรียบร้อย ใช้เป็นเพลงเปิดโฆษณาเรียบร้อย ทำให้เรานิยามตัวเองได้ว่าเรามีบริการเขียนเพลง จัดการศิลปิน และก็เป็นออนไลน์คอนเทนต์ด้วย

นอกจากเพลงโฆษณาของฉัวะฮะเส็งและแอโรซอฟต์ มีผลงานเพลงโฆษณาอะไรอีกบ้าง

ไม่มีเลย เพลงเชียร์ยูโรเป็นตัวที่ 2 และวันศุกร์ที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา เราก็เพิ่งปล่อยเพลงเชียร์ยูโรตัวที่ 3 ที่พี่ติ๊ก ชิโร่เป็นคนร้องออกไป ผลงานเพลงโฆษณาตอนนี้ของเรามีเพียงเท่านี้

มีความกลัวบ้างไหมว่าผลงานเพลงของคุณจะเป็น One-hit wonder แล้วเงียบหายไป 

ไม่กลัว เราเป็นนักโฆษณา จุดนั้นเราไม่เคยกังวลอยู่แล้ว เราแค่ทำงานของเราให้ดีที่สุด ไม่ได้คาดหวังว่าผลงานมันจะต้องออกมาดังเปรี้ยงปร้าง พอเราไม่คาดหวังกับผลตอบรับ ใจของเราก็จะสบายๆ เพราะเราไม่ได้กดดันอะไรในการที่จะทำงานชิ้นต่อไป หรือไปกังวลยึดติดอยู่กับผลงานชิ้นเก่า

ตอนได้รับโจทย์ให้ทำเพลง เชียร์ยูโรกับแอโรซอฟต์ มีขั้นตอนอย่างไร ได้ยินมาว่ามีเวลาทำงานเพียงแค่ 24 ชั่วโมง

ขั้นตอนการทำจริงๆ ไม่ถึง 24 ชั่วโมงนะ อาจจะเป็นวิธีการเล่าเรื่องของสื่อเขา ทุกอย่างมันเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ทุ่มของวันที่ 10 มิถุนายน ผมได้รับโทรศัพท์จากแอโรซอฟต์ว่าทางเขาได้ซื้อลิขสิทธิ์บอลยูโรเข้ามาแล้ว และต้องการที่จะได้เพลงโฆษณาภายใน 10 นาที รบกวนคิดให้หน่อยว่าจะโฆษณาอย่างไร รูปแบบไหน แล้วจะโทรกลับมา

ผมก็คิดในใจว่าเวลาแค่นี้จะทำยังไงดี แต่เวลานั้นพอได้รับโจทย์ ผมก็รีบคิดคอนเซ็ปต์ของตัวโฆษณาเลย โดยมีข้อความหลักที่ได้รับมาคือคำว่า ‘แอโรซอฟต์ทุ่มเทเพื่อคนไทย’ เป็นคำแรก ด้วยความที่ทำงานโฆษณา และมีความชื่นชอบเกี่ยวกับการทำเพลงอยู่แล้ว จึงได้คอนเซ็ปต์หลักว่าต้องเป็นเพลงโฆษณาเท่านั้น

10 นาทีต่อมา เขาก็โทรกลับมาหาอีกรอบจริงๆ คำถามแรกที่เขาถามคือจะโฆษณายังไง และประโยคแรกที่ผมคิดออกก็คือ ‘แอโรซอฟต์เหมือนทุ่มเทให้คนไทยทุกคนได้ดูฟุตบอลยูโร’ ตัวนี้เป็น Key Advertising ที่ใหญ่ที่สุด คำตอบที่ผมได้รับกลับมาคือ “ผมซื้อ” เขาก็ถามต่อว่าแล้วจะโฆษณาในรูปแบบไหน ผมก็บอกไปตามที่ผมคิดว่า “สิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้ต้องเป็นเพลงนะครับ ถ้าเป็นแนวหนังที่ต้องมีสตอรีบอร์ด มีขั้นตอน เราน่าจะทำกันไม่ทันด้วยเวลาแค่นี้” เขาก็บอกว่า “โอเค ซื้อ” พร้อมถามต่อว่าแล้วเป็นเพลงแนวไหน ผมตอบว่าต้องเป็นเพลงสามช่า เพราะว่าแบรนด์แอโรซอฟต์เป็นแบรนด์ที่ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นมหาชน อีกทั้งอยู่มานานถึง 39 ปี ก่อนผมเกิดเสียอีก ดังนั้นต้องทำให้แอโรซอฟต์เข้าถึงคนไทยทุกคนให้ได้ แม้เขาจะไม่ดูบอล สุดท้ายเขาก็ตอบตกลงซื้อทุกอย่าง พร้อมบอกว่า “งั้นลุยได้เลยนะครับ” แล้วก็วางสายไป

หลังจากนั้นก็เกิดเป็นมหกรรมขึ้นมาตั้งแต่ 2 ทุ่มครึ่งถึง 5 ทุ่ม ผมพยายามแต่งเพลง แต่มันก็ยังไม่ดีพอ ยังไม่ผ่าน จนตี 2 ผมต้องโทรปลุกนักแต่งเพลงที่ KIT MUSIC ว่าให้ช่วยหน่อย เพราะงานด่วนงานนี้พลาดไม่ได้ ผมก็ให้โจทย์นักแต่งเพลงคนนั้นไป นักแต่งเพลงถามว่า “เอาเมื่อไหร่” ผมก็ตอบไปว่า “ตอนนี้เลย” เขาหายไปประมาณหนึ่งชั่วโมง จนประมาณตี 3 เขาก็ส่งเป็นตัวเดโมเพลงพร้อมกับกีตาร์ แล้วบอกว่า “กูไปนอนแล้วนะ” (หัวเราะ) 

หลังจากนั้นผมก็นั่งแก้บางจุดโดยการใส่ Key Message ที่ต้องการจะสื่อสารไปให้ครบจนถึงตี 4 สุดท้ายก็ได้เป็นผลงานเพลงที่จะส่งให้ลูกค้าดูได้ตอน 8 โมง ซึ่งลูกค้าก็โอเคมากๆ เขาซื้อตามนี้ทั้งหมดเลย ต่อมาผมก็เลือกพี่พลพล พลกองเส็ง มาเป็นคนร้องให้ ทุกอย่างก็ลงตัว ประกอบเข้ากับคลิปโฆษณา TVC (Television Commercial) ซึ่งโฆษณาตัวนี้ก็ได้ลงในเช้าวันเสาร์ที่ 12 มิ.ย. เวลา 2.00 น. เป็นการออกอากาศครั้งแรก ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการแถลงข่าวเปิดตัวว่าแอโรซอฟตได้เป็นผู้สนับสนุนเพิ่งจะ 15.00 น. ของวันที่ 11 มิถุนายนเอง ถือว่าเป็นงานที่เร่งด่วนมากๆ 

KIT MUSIC มีลายเซ็นเฉพาะในการการทำงานหรือเปล่า

ไม่ครับ เราวางตัวเองว่าเราเป็นนักโฆษณา ดังนั้นงานของเราจะออกมาเป็นอย่างไรก็จะขึ้นอยู่กับโจทย์ของลูกค้า มันไม่เหมือนกันสักตัวแน่นอน 

ต้องเรียนว่าผมเป็นคนที่ทำงานได้ค่อนข้างหลากหลาย เพราะฉะนั้น งานของเราสามารถทำได้หลากหลายสไตล์ ทำตามโจทย์ที่ลูกค้าให้มาได้ด้วย และอย่างที่บอกว่าผมมีบริการที่จัดอีเวนต์ ทำสื่อโฆษณาในเครือของ Newspective Group ด้วย ดังนั้นผลงานของเราสามารถออกมาได้ในหลายรูปแบบ

การทำเพลงโฆษณานั้นยากหรือง่าย

ยากมาก ที่เล่าไปเมื่อกี้เหมือนจะฟังดูง่ายนะ แต่กระบวนการการทำงานทั้งหมดมันยากมากถึงยากที่สุด 

คือกระบวนการที่แท้จริงในตอนรับโจทย์มาจากลูกค้านั้น เราต้องมานั่งย่อยต่ออีกว่า โจทย์ที่ลูกค้าให้มา แท้จริงแล้วมีอะไรแยกย่อยลงไปที่เราต้องทำอีกบ้าง คิดถึงเรื่องตัวแบรนด์ คิดถึงสิ่งที่เราจะทำ คิดถึงกลุ่มเป้าหมาย กรณีนี้ต้องทำงานในเวลาสั้นๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เรื่องที่สองคือการต้องคุยกับคนแต่งเพลง ก็ยิ่งกินเวลาเข้าไปอีก โดยปกติ จากต้นยันปลายจะใช้ระยะเวลาการทำงานประมาณ 1 เดือน แต่ครั้งนี้ต้องขอบคุณลูกค้าด้วยที่ตัดสินใจเร็ว และสามารถเคาะไอเดียของเราได้เลย คือเขาก็ไม่ได้ตามใจผมทั้งหมด โชคดีที่ว่าเขาเชื่อใจเราด้วย ทุกอย่างมันก็ลงตัวพอดี

ในฐานะที่ทำทั้งเพลงโฆษณาและเพลงเพื่อความบันเทิง มองว่าอุตสาหกรรมเพลงจะเติบโตไปในทิศทางใด

สองสิ่งนี้ จริงๆ แล้วไม่มีความเหมือนกันโดยสิ้นเชิงนะ มันอาจจะมีแค่ไปแตะๆ นิดหน่อย ส่วนที่เหมือนกันคือผู้ฟังมันคือคนๆ เดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่ต้องคิดเหมือนกันเวลาทำเพลงคือใครจะฟังเพลงเรา คนที่ฟังเพลงเรามีรสนิยมอย่างไร มีความชื่นชอบอย่างไร ตรงนี้จะใช้ตรรกะในการคิดที่คล้ายๆ กัน 

สิ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงก็คือ เพลงทั่วไปแค่ต้องเข้าใจผู้ฟัง และนำเสนอสิ่งที่เราอยากจะเล่าให้ตรงใจเขา แต่สำหรับเพลงโฆษณา มันมีเรื่องของการขายสินค้าเข้าไป เพราะฉะนั้น เราจะขายของผ่านเพลงยังไงให้โดนใจผู้ฟังด้วย ซึ่งตรงนี้จะเป็นส่วนที่ยาก วิธีการทำงานของผมคือนักแต่งเพลงจะเป็นตัวแทนในฝั่งของคนฟัง ส่วนผมจะเป็นคนที่คอยเติมในส่วนที่จะต้องขายของเข้าไป 

ในเรื่องของอุตสาหกรรมเพลงโฆษณา ผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกต้องที่กระโดดเข้ามาในวงการเพลงโฆษณา เพราะว่าการทำหนังโฆษณาทุกชิ้นจำเป็นต้องมีเพลงประกอบโฆษณาหมด มันไม่สามารถเอาเพลงใดๆ มาใช้โดยไม่มีการจัดการเรื่องลิขสิทธิ์ได้ แปลว่าหนังโฆษณาทุกเรื่องต้องใช้เพลงโฆษณาประกอบแน่นอน ไม่ว่าจะมีเนื้อร้องหรือไม่มีเนื้อร้อง ดังนั้น วงการเพลงโฆษณาโดยส่วนตัวคิดว่ายังไงก็ยังเติบโตได้ เพราะมันเป็นหนึ่งในวิธีการโฆษณาที่ได้ผลและประสบผลสำเร็จ

ส่วนตัวผมมีคนทำเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจอยู่ 2 คน คนแรกคือพี่บอย โกสิยพงษ์ คนนี้คือเทพเลย ทั้งทำเพลงโฆษณาให้กลายเป็นเพลงที่เพราะมากๆ ทำหนึ่งได้ถึงสอง ส่วนอีกคนคือคุณ ‘เจ’ – เจตมนต์ มละโยธา ผู้แต่งเพลง เติมอมยิ้มให้แดดเมื่อยามเช้า ของดีแทค ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเข้าสู่วงการเพลงโฆษณาเลย เพราะฉะนั้น คนทำเพลงโฆษณาถึงแม้ว่าจะมีเยอะ แต่คนที่ทำเพลงได้คมๆ จริงๆ ยังไม่ค่อยเยอะ ซึ่งเราก็มั่นใจว่าเราจะไปตรงนี้ได้

ส่วนในฝั่งของเพลงทั่วไป เราต้องยอมรับว่ายังคงหาทิศทางที่จะไปของเรายังไม่ได้ แต่เราก็มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนว่าเป็นคนอายุ 30 ปีขึ้นไป เพราะเพลงของเรามีการใช้ลูกเล่นทางภาษาค่อนข้างเยอะ และมันไม่ได้มีดนตรีที่เหมือนกับในยุคปัจจุบัน ดังนั้นทั้งสองฝั่งมีจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน แต่คนฟังอาจจะเป็นคนๆ เดียวกัน ซึ่งในฝั่งของเพลงโฆษณาเราคิดว่าพอสู้ได้ ถ้าเราได้เป็นแค่ตัวเลือก 1 ใน 5 ที่ขึ้นมาในใจของลูกค้า แค่นั้นเราก็รู้สึกดีใจมากแล้ว

หลังจากเชียร์ยูโรกับแอโรซอฟต์ เป็นเพลงฮิตติดหู มีลูกค้าติดต่อเข้ามาเยอะไหม

ช่วงนี้ส่วนใหญ่จะมีสื่อมวลชนที่ติดต่อเข้ามาเยอะ ลูกค้าก็มีติดต่อเข้ามาบ้าง แต่ในช่วงของโควิดก็เข้าใจได้ว่ายังไม่ค่อยมีใครที่จะอยากทำเพลงโฆษณาเพียงแต่ว่าในวงการโฆษณาก็ได้รับทราบจากผู้ใหญ่มาว่า KIT MUSIC ก็แจ้งเกิดไปเลย เพราะก่อนหน้านี้เราก็ไม่ได้มีชื่อเสียงในวงการแต่อย่างใด 

พูดได้เต็มปากหรือเปล่า ว่างานชิ้นนี้ความสำเร็จของค่ายเพลง KIT MUSIC

ไม่อยากพูดแบบนั้น เพราะเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ผมกับทีมก็พยายามทำให้มันออกมาดีที่สุด อาจจะพูดได้ว่าเป็นบันไดก้าวหนึ่งที่เราสามารถทำได้อย่างที่ฝันไว้มากกว่า

ในเมื่อทำเพลงโฆษณาต้องทำให้ถูกใจคนดู พอมีเสียงวิจารณ์ว่า “เพลงแบบนี้หลอนหูจนไม่อยากดูบอล” ตกลงแล้วมันโดนใจคนดูจริงๆ หรือเปล่า

ก่อนเพลงออกเราไม่ได้คาดหวังอะไร และเรารู้ว่าไม่ว่าจะทำอะไรมันต้องมีเสียงวิจารณ์ทั้งทางบวกและทางลบ เลยทำใจโล่งๆ ไม่เป็นไร อุเบกขาได้ แต่ใจหนึ่งก็อยากให้คอมเมนต์มาว่าอยากให้ปรับอะไร จะรุนแรงแค่ไหนก็ได้ ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะผมอ่านทุกคอมเมนต์ และน้อมรับไปปรับปรุง ดังนั้นไม่ได้รู้สึกแย่หรืออะไรกับเสียงวิจารณ์ในเชิงลบ เรารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา อีกอย่างคือ โดยรวมแล้ว เพลงนี้ก็ถือว่าทำตามจุดประสงค์ของการทำโฆษณา ก็คือ ‘ดูโฆษณาแล้วอยากเดินไปซื้อ’ ซึ่งผมคิดว่าแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วสำหรับงานชิ้นนี้

แล้วฟีดแบ็กจากลูกค้าเป็นอย่างไรบ้าง 

คืนวันศุกร์ตี 2 พอเพลงออกอากาศ บอ.บู๋ (บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร คอลัมนิสต์กีฬาชื่อดัง) มาก่อนเลยคนแรก อัดคลิปวิดีโอพูดว่า “เชียร์ยูโร ถุ้ย” แต่ลูกค้าก็แฮปปี้มากเลยนะ ทุกอย่างมันเร็วมาก เพราะเพลงมันไปไวมาก สื่อมวลชนก็ติดต่อเรามาตลอด ระหว่างทุกวันก็ได้คุยกับลูกค้าหมด คุณโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของแอโรซอฟต์ก็ฝากขอบคุณมาหลายรอบมากๆ เขาบอกว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเลย ในมุมมองของลูกค้าเขาก็ตั้งรับไม่ทันเหมือนกัน ลูกค้าก็แฮปปี้มากจนไฟเขียวให้ออกเพลงที่ 2 ที่มีพี่ติ๊ก ชิโร่ มาช่วยร้องให้

ในเมื่องานชิ้นแรกประสบความสำเร็จแล้ว งานชิ้นที่สองมีความคาดหวังมากน้อยแค่ไหน

ลูกค้าอาจจะมีคาดหวัง แต่โดยส่วนตัวผมไม่คาดหวังเช่นเคย ไม่กดดัน ไม่อะไรเลย เพราะผมผ่านอะไรมาเยอะการคาดหวังจะเป็นการทำร้ายตัวเราเอง อย่างโควิดก็สอนให้เราเรียนรู้ว่า แค่ทำให้ดีที่สุด ผลงานที่ออกมา คนเขาก็จะตัดสินกันเอง

ตัวคุณอาจไม่คาดหวังก็จริง แต่ทีมของคุณเป็นอย่างไรบ้าง คุณจัดการกับความกดดันของทีมได้อย่างไร

เพลงแรกของเราที่ออกไปมันเหมือนมวยวัดเลยล่ะ แต่การทำเพลงแรกสิ่งเดียวที่เป็นข้อจำกัดมันอยู่ที่เรื่องของเวลา ที่ทีมต้องทำงานให้ตรงกับทิศทางของลูกค้าในเวลาอันสั้น แต่ถ้าพูดจริงๆ แล้วมันกดดันมากเลยนะ เพลงแรกเราโฟกัสไปที่การทำผลงานให้เป็นเลิศอย่างเดียว ซึ่งทุกคนก็โฟกัสไปที่งานอย่างเดียว ตรงนี้ต้องชมทีมงานมากๆ ด้วยเช่นกัน

แต่เพลงที่สองต้องยอมรับตรงๆ ว่าทีมกดดันมาก เพราะเขารู้สึกว่าขึ้นที่สูงแล้ว และบางคนก็ยังคงรับไม่ได้กับคอมเมนต์แย่ๆ ที่เกิดขึ้นในอินเทอร์เน็ต แต่พวกเราก็พูดคุยกันว่า ก่อนหน้านี้เราก็ไม่มีอะไรนะ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมันก็เป็นแค่ลม อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับมันมากนัก ถ้ามันจะมีก้อนหินก้อนกรวดมา คนที่เขาด่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ไปมองในจุดที่เขาชื่นชมดีกว่า และในเวลาแค่ไม่กี่วัน เราก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปมาก เราก็แค่แข่งกับตัวเอง แข่งกับเวลาเหมือนเดิม ทีมงานของเราก็รู้ใจกันอยู่แล้ว ก็ทำงานออกมาเต็มที่เหมือนเดิม

คิดว่าตอนนี้ KIT MUSIC เจอแนวทางของตัวเองหรือยัง

จริงๆ เราเจอตั้งแต่แรกแล้ว ก็อย่างที่บอกไปว่าจริงๆ แล้ว KIT MUSIC คือบริการแต่งเพลง ดูแลศิลปิน และออนไลน์คอนเทนต์ เพียงแต่เรายังคลำเป้าไม่เจอเฉยๆ เรามีแนวทางของเราตั้งแต่แรกแล้วว่าจะทำอะไร เพียงแต่ตอนนี้เรากำลังเรียนรู้ว่า จะทำอย่างไรให้มันโดนใจคนฟังมากกว่า เรากำลังหาทางตรงนั้นอยู่ แต่แนวทางการทำงานภายในทีมก็ยังคงเหมือนเดิม

หากมีโอกาส KIT MUSIC อยากแต่งเพลงให้ใครเป็นพิเศษไหม

คำถามนี้เป็นคำถามที่โดนใจผมมาก คงไม่มีเพลงไหนที่อยากจะแต่งให้ในช่วงเวลานี้ไปนอกจาก ‘ประเทศไทย’ อีกแล้ว ถ้าทำได้อยากทำเพลงให้คนไทยทุกคนสามัคคีกัน เพราะไม่อยากให้คนไทยต้องมาทะเลาะกันด้วยเหตุผลทางการเมืองอีกต่อไปแล้ว เราชอบท่อนหนึ่งในเพลงชาติมากๆ คือคำว่า ‘ไทยนี้รักสงบ’ 

เราชอบที่กีฬามันทำให้คนไทยต้องรวมใจกันเชียร์ นี่คือสิ่งที่ปรารถนามากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางด้านการเมืองหรืออะไร ผมอายุ 41 เท่าที่ดูจากสิบห้าถึงยี่สิบปีหลัง คนไทยถูกการเมืองฝังจนมันลึกกว่าเดโมแครตหรือรีพับลิกันของสหรัฐฯ เสียอีก จนพร้อมที่จะฆ่าฟันกันเอง สมัยก่อน ถึงแม้ว่าการเมืองไทยมันจะแบ่งข้าง แต่มันก็ยังคงสามารถพูดคุยกันได้ แต่รอบนี้มันอันตรายมากเลย ถ้าแต่งเพลงได้ อยากแต่งเพลงให้คนไทยเป็นหนึ่งเดียวกัน ยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ที่มีทั้ง อินโด จีน ทมิฬ อินเดีย เต็มไปหมดเลย แต่พอวันชาติของเขาจะมีเพลงที่ชื่อว่า One People, One Nation, One Singapore คือทุกคนคือหนึ่งเดียวกัน แต่ประเทศไทยในทุกวันนี้มันยังไม่เป็นแบบนั้น 

มองอนาคตของ KIT MUSIC ไว้อย่างไร

ต้องบอกตรงๆ ว่า KIT MUSIC ก็มาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เป็นหนึ่งในสิ่งที่คิดว่าอาจจะไม่ทำแล้วด้วยซ้ำในกลุ่มธุรกิจของ Newspective Group เพราะตั้งแต่เราเจอกับโควิด ธุรกิจ 2 ใน 3 ของเราย่ำแย่มากๆ คิดว่ายื้อมาถึงทุกวันนี้ได้ก็อึดมากแล้ว เราก็มีความคิดว่าอาจจะต้องตัดบางอย่างเพื่อรักษาส่วนใหญ่ให้อยู่ได้ต่อไป ถามว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เราก็อยากจะให้ KIT MUSIC พากลุ่มบริษัทของเราให้พ้นวิกฤตตรงนี้ไปได้ พางานต่างๆ ของเราให้กลับมาได้ 

ในส่วนของกลุ่มธุรกิจ Newspective Group ของผม ต้องบอกว่าทุกอย่างในตอนนี้เปลี่ยนไปทั้งหมดแล้ว กิจการอะไรที่เคยทำ ก็คิดเสียว่ามันตายจากผมไปแล้วอย่างงานจัดอีเวนต์ ผมก็บอกกับคนในทีมว่า เราต้องเปลี่ยนไปทำสิ่งใหม่ สิ่งเดิมเราคงไม่รอด หากดื้อดึงจะทำมันอยู่ เราก็เปลี่ยนมาทำในส่วนของคอนเทนต์ออนไลน์ที่เราคิดว่าเราก็มั่นใจในระดับหนึ่ง

ในส่วนที่สองคือการที่ KIT MUSIC มีผลงานที่ได้รับคำชื่นชมมาในช่วงที่เราเตรียมพร้อมที่จะทิ้งมันไปแล้ว เราก็หวังว่ามันจะเป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดงานในลักษณะเดิมอย่างการทำโฆษณา การทำเพลง การทำโปรดักชัน และคู่คิดลูกค้าในฐานะเอเจนซีกลับมาได้ ก็หวังว่า KIT MUSIC จะสามารถกู้ Newspective Group ในรูปแบบเดิมกลับมาได้ 

นั่นหมายความว่าเมื่อไหร่ที่โควิดผ่านพ้นไป ถ้าเราอดทนจนถึงจุดนั้นได้ เราก็น่าจะแข็งแรงขึ้น เพราะเรามีรากฐานที่แข็งแรงกว่าเดิมที่ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว

อยากฝากอะไรให้นักโฆษณารุ่นใหม่บ้าง

วงการนักโฆษณาก็เห็นใจทุกคนตั้งแต่ผู้บริหาร คนทำงาน และลูกค้า ก็คงบอกได้เพียงว่าช่วงนี้ก็คงต้องอดทน แล้วก็สู้อย่าถอย เพราะทุกอย่างหลังจากนี้มันจะยากกว่าเดิม ทั้งลูกค้าที่มีงบประมาณน้อยลง แต่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เนื่องจากภาวะโควิด ดังนั้นหมายความว่านักโฆษณาในยุคนี้จะต้องทำงานหนักกว่าเดิมมากๆ ก็บอกได้คำเดียวว่าคงต้องสู้ต่อไป น้องใหม่ที่เข้ามาในวงการก็อาจจะกำลังได้เริ่มต้นเรียนรู้ในสภาวะการทำงานที่ยากลำบากมากที่สุด 

ผมชอบคำหนึ่งของคุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ซีอีโอของเครือดุสิตธานีที่เคยพูดไว้ว่า “ทนไม่ได้ก็เป็นถ่าน ผ่านไปได้ก็เป็นเพชร” ผมโดนใจกับคำนี้มาก เพราะในช่วงเวลานี้ ถ้าเราผ่านมันไปไม่ได้ เราก็กลายเป็นฝุ่นดาดเลยจริงๆ แต่ถ้าคนไหนที่ผ่านช่วงนี้ไปได้ ก็จะแข็งแกร่งเหมือนกับเพชรแน่นอน

คำถามสุดท้าย ฟุตบอลยูโรครั้งนี้เชียร์ทีมอะไร

ผมเชียร์ทีมสวิตเซอร์แลนด์ เพราะผมชอบเชียร์บอลรอง รองแบบรองมากๆ ด้วย ทีมใหญ่มันไม่จำเป็นต้องเชียร์ มีคนช่วยเชียร์กันอยู่แล้ว อย่างบอลยูโรในปี 2004 ที่กรีซเป็นแชมป์ ผมประทับใจมาก ผมรู้สึกว่าใครที่เป็นรองจะค่อนข้างชอบ เพราะมันคล้ายๆ กับเราที่ไม่ได้มีต้นทุนอะไรมากมาย แต่ก็ต้องสู้บากบั่นเข้ามาจนถึงจุดนี้ได้ 

Tags: , , ,