หนังเกี่ยวกับอะไร

ในโลกอนาคตอันใกล้ ได้เกิดการระบาดของเชื้อราชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้คนมีอาการคล้ายซอมบี้ บ้าคลั่งกระหายเลือดทุกครั้งที่ได้กลิ่นมนุษย์ แต่ภายในค่ายทหารได้มีการจับเด็กกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีอาการติดเชื้อมาทำการทดลองบางอย่างเพื่อค้นหาวิธีผลิตไวรัสหยุดการระบาดของวิกฤตร้ายครั้งนี้

หนึ่งในนั้นคือ ‘เมลานี’ (Sennia Nanua) เด็กสาวที่ดูฉลาดและมีไหวพริบกว่าเพื่อนร่วมห้อง เธอเป็นลูกศิษย์ที่ ‘จัสตินู’ (Gemma Arterton) เอ็นดู แต่ ‘ดร. คาล์ดเวลล์’ (Glenn Close) กลับคิดว่าชีวิตของเมลานีมีค่ามากกว่าหากถูกนำมาผ่าตัดสมองเพื่อคิดค้นไวรัส จนเมื่อค่ายทหารถูกฝูงซอมบี้กรูเข้ามา พวกเขาทั้งหมดจึงต้องหลบหนีหาทางเอาชีวิตรอดต่อไป

สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปดูหนัง

หนังสร้างจากนิยายเรื่อง The Girl with All the Gifts (มีฉบับแปลไทยโดยสำนักพิมพ์เอิร์นเนส) พอมาทำเป็นหนังก็ได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากนักวิจารณ์ (Metacritic 73/100 และมะเขือเน่า 83% ที่ RottenTomatoes) แต่ขอเตือนก่อนในเรื่องความคาดหวัง แม้จะถูกจัดเข้าหมวดหมู่หนังซอมบี้ แต่การเล่าเรื่องมันแตกต่างออกไปจากที่เราคุ้นเคย ซึ่งเป็นความสดใหม่ที่เราอยากให้คุณไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง

สิ่งที่ชอบที่สุดจากหนัง

ความหวังใหม่ของหนังซอมบี้ที่ไม่ได้พูดวิพากษ์มนุษย์ผ่านการเอาตัวรอดซ้ำไปซ้ำมาจนเบื่อไปหมดแล้ว (เช่น Train to Busan ที่ทำหนังทริลเลอร์ได้เทพมาก แต่ดราม่ากลับย่ำอยู่กับที่) ครึ่งแรกของหนังเต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเซอร์ไพรส์ตลอดเวลา มีพล็อตเชื่อมโยงเรื่องการระบาดของเชื้อราเข้ากับตำนานกล่องแพนโดรา ความทะเยอทะยานในครึ่งหลังที่แบ่งผู้ติดเชื้อเป็น 2 เจเนอเรชัน รวมถึงบรรยากาศความตึงเครียดของหนังยามฝ่าดงซอมบี้ที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดกดดันเหลือเกิน

การแสดงของ Sennia Nanua ยังแสดงความโดดเด่นออกมาได้ทั้งยามสดใสไร้เดียงสา และยามโหดร้าย ที่สามารถกดสลับโหมดอารมณ์ไปมาได้ดีเกินคาดมากๆ อีกอย่างเราเข้าใจว่าผู้กำกับไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องคัดเลือกนักแสดงผิวสี แต่บังเอิญเธอเป็นนักแสดงเด็กคนเดียวที่ผ่านการออดิชัน และนักแสดงเด็กคนอื่นๆ ในเรื่องก็ล้วนแสดงท่าทางเวลาติดเชื้อได้โคตรหลอนเลย ทำให้ปีนี้เราชอบซอมบี้กัดฟันใน The Girl with All the Gifts ไม่แพ้ซอมบี้เบรกแดนซ์ใน Train to Busan

สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดในหนัง

ครึ่งแรกของหนังทำให้เรารู้สึกถึงความสดใหม่ รู้สึกว่ามันจะเป็นความหวังใหม่ของหนังซอมบี้ที่กำลังพยายามพาตัวเองหลุดจากวังวนเดิมๆ แต่ครึ่งหลังเรากลับเริ่มเห็นว่าผู้กำกับหาทางลงสวยๆ ให้หนังไม่ได้ พล็อตมันไปไกลในระดับวิวัฒนาการของผู้ติดเชื้อ แล้วยังก้าวไปสู่สเกลระดับใหญ่ที่ทำให้เกิดข้อโต้เถียงถึงการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ตัวละครในหนังดูจะทำอะไรไม่เข้าท่าเหมือนในหนังซอมบี้ทั่วไป

อีกเรื่องที่น่าเสียดายคือ หนังพูดถึงตำนานกล่องแพนโดราได้ดี แต่ตัวหนังยังเล่าความสอดรู้สอดเห็นของเมลานีได้ไม่เพียงพอที่จะทำให้ไคลแมกซ์มันออกมาว้าว

เราเรียนรู้อะไรจากหนัง

ในช่วงแรกของหนัง เราจะเห็นความขัดแย้งระหว่าง ดร.คาล์ดเวลล์กับจัสตินู ที่คนหนึ่งมองเมลานีเป็นเพียงหนูทดลองรอวันนำมาชำแหละ ส่วนอีกคนมองเธอเป็นเด็กสาวไหวพริบดีที่มีความเป็นมนุษย์มากกว่าด้านติดเชื้อที่แพร่ระบาด มุมมองของทั้งสองคนไม่มีใครผิดใครถูก แต่สิ่งที่ทั้งสองคนควรตระหนักถึงก็คือการเปิดใจยอมรับความเห็นของอีกฝ่าย เพราะการปักใจไปด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไปย่อมทำให้เรามองข้ามข้อเท็จจริงบางสิ่งบางอย่าง เช่นว่าเมลานีก็ยังมีมุมที่หิวกระหายเลือด แต่ขณะเดียวกันเธอก็มีความคิดที่จะยับยั้งตัวเองอยู่

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนัง

Sennia Nanua เด็กสาววัย 12 ปี คือนักแสดงเด็กคนสุดท้ายจากทั้งหมด 500 คนที่เข้ามาออดิชันเพื่อรับบทเมลานี ตัวเอกของเรื่องที่เป็นเด็กติดเชื้อไวรัส ซึ่งทันทีที่เธอได้อ่านบทฉากแรกก็ทำให้ผู้กำกับถูกอกถูกใจทันที

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

แฟนหนังซอมบี้และนักล่าหนังคำวิจารณ์ดีๆ ไม่ควรพลาดเด็ดขาด ปีนี้ Train to Busan ได้ใจเราในความเจ๋งของจังหวะทริลเลอร์ไปแล้ว ส่วน The Girl with All the Gifts ก็มายึดพื้นที่ในใจเราด้วยไอเดียใหม่ๆ ของหนังซอมบี้ติดเชื้อ

ควรชวนใครไปดู

เพื่อนคนไหนที่ชอบบ่นว่าหนังสมัยนี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่มีอะไรใหม่ๆ สักที นั่นแหละคนที่คุณควรชวนไปดู

ความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป

เราบอกเสมอว่าถ้าไม่ใช่หนังบล็อกบัสเตอร์ คุณควรไปดูตั้งแต่สัปดาห์แรกเพราะไม่อย่างนั้นรอบหนังในสัปดาห์ที่สองอาจจะลดฮวบจนน่าใจหาย แน่นอนว่า The Girl with All the Gifts คือหนังที่คุ้มค่าที่จะดูในโรง

ขอ 3 พยางค์จากหนังเรื่องนี้

ซอม บี้ เหงา