หนังเกี่ยวกับอะไร

กาลครั้งหนึ่ง ‘เจ้าชาย’ (แดน สตีเวนส์) ถูกแม่มดสาปไว้ให้กลายเป็นอสูร หนทางเดียวที่จะถอนคำสาปนั้นได้คือต้องรู้จักรักใครสักคนและได้รับความรักตอบจากเธอก่อนดอกกุหลาบวิเศษกลีบสุดท้ายจะร่วงหล่น

ส่วน ‘เบลล์’ (เอ็มมา วัตสัน) คือหญิงสาวที่รักการอ่านหนังสือจนถูกคนในหมู่บ้านมองด้วยความตลกขบขัน วันหนึ่งพ่อของเธอถูกอสูรจับตัวขังไว้ในปราสาทข้อหาขโมยดอกกุหลาบในปราสาท เธอจึงเสียสละยอมถูกขังตลอดกาลแทนพ่อ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โฉมงามกับเจ้าชายอสูรได้เรียนรู้และทำความรู้จักกัน

สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปดูหนัง

Beauty and the Beast ฉบับคนแสดงคือการรีเมกทำใหม่จากฉบับแอนิเมชันเมื่อปี 1991 มีการนำเพลงเดิมและพล็อตเดิมมาใช้ แต่ก็ยังมีเพิ่มเติมเรื่องราวขึ้นมาบางส่วนเพื่อเติมเต็มตัวละคร
สิ่งที่ชอบที่สุดจากหนัง

1. จริง ๆ ในนิทานดั้งเดิมไม่มีตัวละคร ‘แกสตัน’ (ลุก อีแวนส์) นะ มาเริ่มมีตอนฉบับหนังฝรั่งเศสปี 1946 พอดิสนีย์สร้างแอนิเมชันของตัวเองปี 1991 ก็หยิบเอามาเป็นแรงบันดาลใจอ้างอิงในการเขียนบทจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งถือเป็นการเสริมเนื้อเรื่องที่ดีมากเพราะแกสตันถูกนำมาใช้เทียบกับอสูรให้เห็นภาพธีมของเรื่องได้อย่างชัดเจน กล่าวคืออสูรที่แท้จริงพิจารณาจากจิตใจไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก บทของแกสตันจะเป็นหนุ่มล่ำบึ้กที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝันอยากจะเป็นแบบเขา ส่วนสาวๆ ก็หมายปองอยากได้เป็นสามี ทั้งหมดนี้คือการพิจารณาจากเปลือกนอกล้วนๆ กลับกันเจ้าชายอสูรนั้นมีรูปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวไม่ชวนให้คนอยากอยู่ใกล้แต่ลึกๆ ข้างในจิตใจมีความเมตตาอ่อนโยนซ่อนอยู่

2. ความรักของเบลล์ถือเป็นการมองทะลุเปลือกนอกของอสูรไปทั้งหมด หนังมันก้าวข้ามการตกหลุมรักจากรูปร่างหน้าตาไปสำรวจตัวตนข้างในของทั้งสองคน ส่วนหนึ่งที่เราชอบเวอร์ชันนี้คือการหยอดปมวัยเด็กของทั้งสองคน มันอาจจะไม่ได้เล่าเยอะแบบให้ความสำคัญ แต่พอเรารู้ว่าวัยเด็กของเจ้าชายหลังสูญเสียแม่แล้วถูกพ่อเลี้ยงดูมาจนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ไร้น้ำใจ มันก็ทำให้เราพอเข้าใจและสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเขา เช่นเดียวกับบทของเบลล์ที่มีการเล่าถึงการสูญเสียแม่ตั้งแต่ยังเป็นทารก คือพอทั้งสองคนได้สัมผัสปมวัยเด็กของกันและกัน มันทำให้เรารู้สึกว่าพวกเขาดูเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้มากกว่าตัวละครราบเรียบในแอนิเมชัน

3. มนต์เสน่ห์ดั้งเดิมยังอยู่ครบถ้วน ทั้งดอกกุหลาบสีแดง, ความมีชีวิตชีวาของเหล่าเครื่องใช้ในปราสาท, ฉากเต้นรำแบบเทพนิยาย, และไคลแม็กซ์ที่ทำให้เราตกหลุมรัก Beauty and the Beast คือฉากคลาสสิกที่เจ้าชายคืนร่างแล้วเบลล์จะต้องมองนัยน์ตาเพื่อค้นหาตัวตนของอสูรที่เธอรู้จัก ยอมรับเลยว่าฉากนี้ฟินมาก ยิ่งมาดูฉบับหนังยิ่งรู้สึกฟินเพราะมันเห็นชัดว่าหญิงสาวมองข้ามความหล่อเหลาของเจ้าชายเพื่อจะเช็กให้แน่ใจว่าผู้ชายตรงหน้าของเธอคือคนคน เดียวกับที่เธอรู้จักและตกหลุมรัก ฉากโคลสอัพนัยน์ตาคือไฮไลต์ที่ยืนยันความคลาสสิกของโฉมงามกับอสูรโดยแท้จริง

4. การแคสต์เอ็มมา วัตสัน มารับบทเบลล์ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ตอนดูเรานึกภาพเธอว่าเป็น เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี (Jennifer Connelly) ตอนสาวๆ ตลอดเลย สวยแบบนั้นจริงๆ

5. พอเป็นเวอร์ชันคนแสดงจึงสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ชัดเจนกว่าแอนิเมชันเยอะเลย ตรงนี้ทำให้หนังมันมีหัวใจและเข้าถึงได้มากกว่าเดิม

สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดจากหนัง

ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเพราะหนังฉบับนี้มันก็โอเค แต่เราอยากเห็นการตีความหนังเจ้าหญิงดิสนีย์ใหม่อีกเยอะๆ ไม่เอาแบบแฟนตาซีเจ้าหญิงที่คุ้นเคย แต่ขอหม่นๆ เข้มข้น หรือแปลกใหม่กว่าเดิมบ้าง คือพอหนังมันรีเมก แบบเดิมก็รู้สึกว่ามันแค่เปลี่ยนแอนิเมชันเป็นคนแสดง มีส่วนที่ปรับปรุงแล้วทำให้เรื่องราวโอเคขึ้น แต่โดยรวมมันก็ยังเป็นBeauty and the Beast ที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเดิมอยู่ดี (เราอยากเห็นงานแบบ Mirror Mirror และBlancanieves ที่อ้างอิง Snow White มาทำใหม่ได้แปลกตาดี)

เราเรียนรู้อะไรจากหนัง

‘คนจะงาม งามที่ใจใช่ใบหน้า’ ยังคงใช้ได้เสมอ อย่างที่บอกไปว่าแกสตันกับเจ้าชายอสูรคือการเปรียบเทียบที่เห็นภาพชัดเจนดีระหว่างคนที่รูปร่างหน้าตาดีแต่มีจิตใจชั่วร้าย กับคนที่รูปร่างน่ากลัวแต่กลับมีจิตใจดี ซึ่งเบลล์คือคนที่เลือกมองเข้าไปถึงความคิดและจิตใจของทั้งสองคน

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนัง

บทเจ้าชายอสูรตอนแรกเป็นของไรอัน กอสลิง แต่เขาถอนตัวเพื่อไปแสดง La La Land แทน ส่วนเอ็มมา วัตสัน ได้รับการเสนอชื่อให้แสดงนำทั้ง Beauty and the Beast และ La La Land แต่เธอเลือกมาเป็นเบลล์ดีกว่า ซึ่งเหมาะสมมากจริงๆ

เซอร์เอียน แม็กเคลเลน (Sir Ian McKellen) เคยได้รับข้อเสนอให้มาพากย์เสียง ‘ค็อกส์เวิร์ธ’ นาฬิกาพูดได้ตั้งแต่ฉบับแอนิเมชันปี 1991 ซึ่งเขาตอบปฏิเสธไป แต่มารอบนี้เขาตอบตกลงพากย์เสียงดังกล่าว

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

จะเหมาะกับใครไปไม่ได้นอกจากสาวๆ ที่ตกหลุมรัก Beauty and the Beast แค่ที่เราลงรูปในเฟซส่วนตัวยังเห็นสาวๆ รอดูกันเพียบ คลาสสิกจริงๆ ให้ดิ้นตาย
ควรชวนใครไปดู

คนที่เขาเป็นแฟนเจ้าหญิงดิสนีย์คงไปดูกันอยู่แล้ว เอาเป็นว่าลองชวนคนที่ยังไม่เคยดู Beauty and the Beastสักเวอร์ชันไปดูละกัน เผื่อจะได้แฟนคลับเพิ่มมาอีก

ความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป

เรารู้สึกว่าเหตุผลหลักๆ ในการทำ Beauty and the Beast คือเรื่องการตลาดหาเงินของสตูดิโอ จะเห็นว่าสินค้าแบรนด์ต่างๆ จับมือซื้อลิขสิทธิ์มาทำสินค้าของตัวเองเจาะกลุ่มเป้าหมายเพศหญิงกันเพียบ ถ้าพูดถึงการซื้อตั๋วหนังมันจึงเป็นเรื่องของคุณค่าทางจิตใจมากกว่า บางคนอาจจะไม่ทันดู Beauty and the Beast ฉบับแอนิเมชันตอนฉายในโรง (ตอนนั้นปี 1991 ใครทันดูในโรงก็น่าจะมีอายุตอนนี้ประมาณ 35) บางคนตกหลุมรักเสน่ห์ของโฉมงามและอสูร ซึ่งพอพิจารณาแบบนี้แล้วจึงไม่ต้องถามหาความคุ้มค่า เพราะเชื่อว่าถ้าคนเป็นแฟน Beauty and the Beast คงยอมควักเงินจ่ายค่าตั๋วได้เต็มที่ เผลอๆ จะซื้อสินค้าต่างๆ มาสะสมด้วย

แต่ถ้าใครไม่ได้เป็นแฟน Beauty and the Beast ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้มาสัมผัสความคลาสสิกของเจ้าหญิงดิสนีย์เรื่องนี้ ลองหาวันว่างๆ ไปดูกัน ไม่ต้องรีบร้อนเพราะหนังยืนโรงนานแน่นอน

ส่วนใครสงสัยว่าระบบ 3D จำเป็นไหม ส่วนตัวเราเฉยๆ นะ ดูระบบปกติก็งดงามเพียงพอแล้ว

ขอ 3 พยางค์จากหนังเรื่องนี้

Be Our Guest

Tags: ,