ภาพยนตร์หรือซีรีส์บางประเภทมักจะมีจุดจบในแบบที่เราคาดเดาได้ ถึงบางครั้งจะเหนือความคาดหมายไปบ้าง แต่ก็อาจจะไม่ได้ทำให้เราแปลกใจได้มากนัก ต่างจากหมวดหมู่สืบสวนสอบสวน ที่บางครั้งกว่าจะจบลงได้ก็ทำเราไขว้เขวไปหลายตลบ หักมุมแล้วหักมุมอีก ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนผู้ชมคลายปมไม่ออก โดยเฉพาะกับซีรีส์ที่เราต้องใช้เวลาอยู่กับมันพอสมควร ขณะที่ดูก็คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นาๆ ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร จนรอดจนรอดก็ลุ้นกันแทบวินาทีสุดท้าย ดังนั้น หากใครชอบซีรีส์แนวสืบสวนสอบสวน เรามานั่งแช่กันแบบยาวๆ กับซีรีส์ 5 เรื่องในสุดสัปดาห์นี้กันเถอะ

Sherlock (2010-2017)

ใครบ้างจะไม่เคยได้ยินชื่อนักสืบชื่อดังอย่าง เชอร์ล็อก โฮมส์ ตัวละครจากนวนิยายสืบสวนของ เซอร์อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์ นักเขียนและนายแพทย์ชาวสก็อตแลนด์ เขาเขียนเรื่องราวโดยมีต้นแบบมาจากบุคคลในชีวิตจริงอย่างนายแพทย์โจเซฟ เบลล์ นายแพทย์อาวุโสผู้มีความสามารถ และยังเคยช่วยเหลือตำรวจในการสืบคดีบางคดีด้วย

Sherlock นำแสดงโดยเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ และมาร์ติน ฟรีแมน พวกเขาทั้งคู่ยังมีผลงานการแสดงร่วมกันในเรื่อง The Hobbit ด้วย (หากใครยังนึกไม่ออก คัมเบอร์แบตช์รับบทเป็นมังกรสเมาก์) รวมทั้งเวลาต่อมายังมีส่วนร่วมในจักรวาลมาร์เวลอีก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกันในภาพยนตร์ก็ตาม

เชอร์ล็อก โฮมส์ นักสืบที่ปรึกษา ซึ่งชื่นชอบการไขคดีต่างๆ เขาอาศัยอยู่ในลอนดอนและเพลิดเพลินไปกับปริศนาที่ได้รับ เวลาต่อมาเชอร์ล็อกก็ได้พบกับนายแพทย์จอห์น วัตสัน ผู้กลับมาจากการรับราชการทหารพร้อมแผลใจที่แสดงผลต่อร่างกาย การพบกันของทั้งสองเกิดขึ้นเร็วมาก พอๆ กับการทำงานร่วมกันในช่วงเวลาถัดมา คดีแรกที่โฮมส์กับวัตสันทำงานด้วยกันคือ การฆ่าตัวตายอย่างต่อเนื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ มันเป็นการเปิดเผยความลับแรกของศัตรูคู่ปรับอย่าง มอริอาร์ตี ผู้อยู่เบื้องหลังหลายๆ คดีที่กำลังจะเกิดขึ้น

โฮมส์และวัตสันเข้าขากันมากขึ้นจากการอยู่ร่วมกันและการทำงาน แต่ถึงอย่างนั้นความคิดหรือความรู้สึกของโฮมส์ก็เป็นสิ่งที่คนทั่วๆ ไปไม่อาจเข้าถึงได้ มันจึงมีอยู่บ้างที่พวกเขาไม่ลงรอยและคิดเห็นต่างกัน นอกจากการร่วมสืบคดี วัตสันยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ทำควบคู่ไปด้วย นั่นคือการเขียนเรื่องราวการผจญภัยลงบล็อก ชื่อเสียงของโฮมส์จึงโด่งดังยิ่งขึ้นแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการก็ตาม เป็นผลให้ปริศนาต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งคดีเล็กน้อยของคนธรรมดาๆ ไปจนถึงคดีใหญ่โตจากตำรวจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคดีที่ทำให้โฮมส์ต้องใช้กำลังทางความคิดกว่าคดีไหนๆ ก็ยังเป็นปริศนาจากมอริอาร์ตีอยู่ดี

ความสนุกของ Sherlock นั้นไม่ได้อยู่ที่พล็อตเพียงอย่างเดียว แต่การแสดงของเบเนดิกต์และมาร์ตินยังช่วยส่งเสริมบทบาทของพวกเขาให้น่าสนใจยิ่งขึ้น นับว่าเป็นบุคลิกที่แฟนๆ ซีรีส์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน่ารัก ภายในเรื่องยังมีตัวละครอีกหลายตัวที่จะทำให้คุณหลงรัก ตามไปดูกันได้เลยทั้ง 4 ซีซั่น

True Detective (2014-2019)

True Detective ซีรีส์แนวดราม่าอาชญากรรม ออกอากาศครั้งแรกทางช่อง HBO โดยได้สองนักแสดงคุณภาพอย่างแมทธิว แม็คคอนาเฮย์ และวูดดี้ ฮาร์เรลสัน มาร่วมสร้างเรื่องราว ในบทบาทของนักสืบแสนฉลาด และนักสืบจอมวางแผน

ในซีซั่นแรกซีรีส์ได้รับคำชื่นชมไปอย่างล้นหลาม และได้รับเรตติ้งสูงสุดจากช่อง HBO นับตั้งแต่ Band of Brothers (2001) ในขั้นตอนการเตรียมงานนั้น แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ (นอกจากแสดงนำแล้ว เขายังเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างด้วย) ได้สร้างการวิเคราะห์ถึง 450 หน้า เพื่อศึกษาวิวัฒนาการของตัวละครของเขา

True Detective จะเล่าโดยไม่ได้เรียงไทม์ไลน์เป็นเส้นตรง แต่ตัดสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบัน เผยให้เห็นสภาพจิตใจและชีวิตของตัวละคร ว่าพวกเขามีความเป็นมาอย่างไร และสิ่งใดที่ทำให้พวกเขาเดินทางมาสู่จุดนี้ ซึ่งมันกินเวลายาวนานถึง 17 ปีเต็ม

รัส โคห์ล และ มาร์ตี้ ฮาร์ท ต้องไขคดีฆาตกรต่อเนื่องที่ลงมือสังหารโหด เรือนร่างชีวิตที่พวกเขาพบคือเด็กสาวเปลือยเปล่าถูกฆาตกรรม พร้อมกับเบาะแสพิลึกพิลั่นคือมงกุฎเขากวางที่สวมอยู่บนหัว ร่างกายของเธอถูกจัดวางในลักษณะที่จงใจให้เป็น ทั้งสองจึงเริ่มลงมือสืบคดีไปตามสิ่งที่เห็นและพยายามหาหลักฐานให้ได้มากที่สุด ทั้งการสืบค้นพยาน การสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ คิดวิเคราะห์เหตุจูงใจ และค่อยๆ สืบสาวเข้าไปถึงตัวคนร้ายให้ได้มากที่สุด ซึ่งเหตุการณ์คล้ายกันนี้ดันเกิดขึ้นอีกครั้งในอนาคต ในภายภาคหน้าที่พวกเขามีเรื่องต้องบาดหมางกัน ทั้งสองคนจึงต้องกลับมาเผชิญหน้าฆาตกร รวมถึงกันและกันอีกหน

สำหรับ True Detective แล้ว การดำเนินการสืบสวนสอบสวนนั้นสมจริงสมจัง มันไม่ใช่แค่การคลายปมคดี แต่เป็นการคลายปมตัวละครไปด้วย ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้ผู้ชมอย่างเราอยากติดตามต่อ มันสะท้อนให้เห็นชีวิตจริงของเจ้าหน้าที่ ความเจ็บปวดของการงานและเรื่องส่วนตัว ทังหมดดำเนินไปพร้อมๆ กัน และเราก็ได้แต่เฝ้ารอคำตอบในชีวิตของทั้งสองคน

Trapped (2016)

ซีรีส์จากประเทศไอซ์แลนด์ที่จะพาเราหนาวไปถึงขั้วหัวใจ ผลงานการสร้างของบัลตาชาร์ คอร์มากูร์ และแสดงนำโดยโอลาเฟอร์ ดาร์รี่ โอลาฟส์สัน ผู้ที่ผ่านผลงานการแสดงมาพอสมควร แต่มักได้รับบทบาทที่ไม่ได้เป็นที่น่าจับตามองเท่าไรนัก

การถ่ายทำ Trapped ส่วนใหญ่จะถ่ายทำในสถานที่ๆ มีหิมะจริงๆ นั่นคือหมู่บ้านชาวประมง Siglufjörður เมืองเล็กๆ ที่แยกออกจากชายฝั่งทางเหนือของไอซ์แลนด์ ที่นี่ป็นเมืองขึ้นชื่อว่ามีทัศนียภาพอันงดงาม แต่เมื่ออยู่ในสภาพอากาศอันเลวร้าย ความงามที่ว่าก็อาจจะกลายเป็นความหวาดหวั่นแทน

เหตุการณ์อันเลวร้ายในซีรีส์ Trapped เกิดขึ้นที่เมืองเล็กๆ ของไอซ์แลนด์ เมืองอันสงบสุขที่อยู่ๆ ก็เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น ชิ้นส่วนมนุษย์ถูกหั่นออกจากกัน ศพไร้หัวและแขนขาลอยมาติดเรือประมง มันถูกค้นพบในช่วงเวลาที่สภาพอากาศแย่ที่สุด พายุหิมะกำลังถล่มเมือง ผู้คนโดนขังไว้ไม่ให้ไปไหน เรือข้ามฟากจากเดนมาร์กต้องจอดเทียบท่า ไม่มีการเดินเรือ ถนนถูกตัดขาด เที่ยวบินต้องยกเลิก ทั้งหมดต้องอยู่ร่วมกับฆาตกรที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร คนนอกหรือคนใน วัตถุประสงค์ในการฆ่าครั้งนี้คืออะไร และจะมีเหยื่อรายถัดไปหรือไม่?

ตำรวจในเมืองนี้มีอยู่เพียงหยิบมือ หนึ่งในนั้นคือ อันดรี หัวหน้าตำรวจ ผู้ที่เคยเป็นตำรวจในเมือง ก่อนจะตัดสินใจมาประจำการที่นี่ เขานำทีมตัวเองเข้าตรวจค้นและหาคำตอบเท่าที่ความสามารถและสภาพอากาศจะเอื้ออำนวย แต่ทุกคนนั้นดูมีความลับกันไปหมด พวกเขาคลุมเครือทั้งคำพูดและพฤติกรรม ที่สำคัญมันยังมีเงื่อนงำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตด้วย! แต่มันจะเกี่ยวข้องกันจริงๆ หรือไม่นั้น อันดรีเองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้เช่นกัน

ความยะเยือกของสถานที่ทำงานได้อย่างเต็มกำลัง มันทำให้ทั้งอ้างว้างและโดดเดี่ยว ซึ่งไม่ใช่แค่กับสถานที่เท่านั้น แต่กลับภายในจิตใจของตัวละครก็เช่นกัน พวกเขาแบกรับสิ่งต่างๆ ไว้ในใจ ความเจ็บช้ำ ความผิดหวัง และความสูญเสีย เปลวเพลิงที่เกิดขึ้นในเรื่องไม่ได้ทำให้ทุกอย่างระอุขึ้นเลย มันมีแต่จะแช่แข็งความรู้สึกให้มากยิ่งๆ ขึ้น

The Alienist (2018)

The Alienist ซีรีส์อเมริกันที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ออกอากาศทั้งหมด 10 ตอน แสดงนำโดย แดเนียล บรูห์, ลุค อีแวนส์ และดาโกต้า แฟนนิ่ง ความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างซีรีส์กับนวนิยายคือ ละครจอห์น มัวร์ (รับบทโดยลุค อีแวนส์) จริงๆ ต้องประกอบอาชีพเป็นนักข่าวอาชญากรรม แต่ในซีรีส์เขากลับเป็นนักวาดภาพประกอบ ซึ่งในตอนหนึ่งเขาได้แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าแท้จริง เขาอยากจะเป็นนักเขียน

คาดว่าคำว่า Alienist น่าจะปรากฎขึ้นครั้งแรกในปี 1864 โดยเชื่อว่ามีรากศัพท์มาจากคำว่า aliéné ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแปลว่าวิกลจริต ในภาษาอังกฤษแพทย์จึงใช้คำนี้อธิบายถึงบุคคลที่ดูแลผู้ป่วยทางจิต

ซีรีส์เรื่องนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงปี 1896 ที่นครนิวยอร์ก มันเริ่มต้นจากการตามล่าฆาตกรที่ลงมือสังหารเด็กผู้ชายขายบริการคนหนึ่งอย่างสยดสยอง ผู้บัญชาการตำรวจจึงไปตามตัว ลาสซ์โล ไครซ์เลอร์ นักจิตวิทยาที่ศึกษาพฤติกรรมและรักษาผู้ป่วยทางจิต กับจอห์น มัวร์ นักวาดภาพจากนิวยอร์กไทม์ มายังสถานที่เกิดเหตุ เพื่อช่วยทำการสอบสวนอย่างลับๆ

การลงมือของฆาตกรไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เขายังคงลงมืออย่างต่อเนื่อง และเลือกเหยื่อที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ต่อมาไครซ์เลอร์และมัวร์จึงได้ร่วมงานกับซารา ฮาเวิร์ดหญิงสาวคนแรกที่ได้ทำงานในสำนักงานตำรวจนิวยอร์ก รวมถึงผู้ช่วยอีกจำนวนเพียงหยิบมือ พวกเขาพยายามหาความเป็นไปได้ทุกอย่าง ปฎิบัติงานกันในแบบที่คนอื่นยังไม่เคยทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านจิตวิทยาของไครซ์เลอร์ การวิเคราะห์หลักฐานของสองพี่น้องฝาแฝด และการมีผู้ร่วมงานเป็นสายสืบหญิงคนแรกที่ไม่ยี่หร่ะต่อสายตาตำรวจชายคนอื่นๆ ทั้งหมดนำทางพวกเขาไปสู่คำตอบเดียว ฆาตกรไม่ได้ลงมือโดยไร้แบบแผนเสียทีเดียว และการฆ่าของเขาจะดำเนินต่อไป หากไม่มีใครสักคนไปหยุดเขาไว้…

The Alienist เล่าเรื่องโดยผูกประเด็นต่างๆ ไว้มากมายตามรายทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ การแบ่งชนชั้น การเหยียดเชื้อชาติ เสียดสีระบบราชการ การไม่ยอมรับผู้ป่วยทางจิต และกล่าวหาว่าพวกเขาแตกต่างจนไม่อาจรับได้ เรื่องของศาสนากับความเจ็บป่วยที่ยังถูกมองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน มันคือการลงทัณฑ์ของปีศาจ การจะก้าวข้ามเรื่องต่างๆ ไปในทีเดียวคงเป็นไปไม่ได้ แต่หากปราศจากการเริ่มต้นก็คงไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยนไปจากเดิม

Mindhunter (2017)

การเข้าใจความรู้สึกหรือความนึกคิดของผู้อื่น อาจทำให้เราคาดการณ์ได้ว่าเขาคนนั้นจะทำหรือไม่ทำสิ่งใด ดังนั้น การจะรู้เท่าทันฆาตรกร เราก็ย่อมต้องเข้าใกล้ความคิดของพวกเขา แต่หากเข้าใกล้มากเกินไป เราเองอาจจะเป็นฝ่ายถูกโน้มน้าวหรือชักจูงให้เข้าใกล้ความเป็นฆาตกรได้เช่นกัน…

Mindhunter ผลงานจากผู้กำกับคนดัง เดวิด ฟินเชอร์ ที่หยิบเนื้อหามาจากหนังสือในชื่อเดียวกันของ จอห์น อี. ดักลาส (ฉบับแปลภาษาไทยชื่อเรื่อง ล่าปมวิปลาส ยอดฆาตกร) บันทึกเรื่องราวจากประสบการณ์จริงตลอด 25 ปีในการทำงานเป็นหน่วยสนับสนุนการสืบสวน

ดักลาสคือคนที่ต้องประจันหน้ากับฆาตกรทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ชาร์ลส์ แมนสัน, เท็ด บันดี้, ริชาร์ด สเปก และเอ็ด กีน แต่ละคนคือฆาตกรโหดเหี้ยมที่ชื่อเสียงยังหนาหูอยู่จนถึงทุกวันนี้


ซีรีส์จะพาเราย้อนกลับไปในช่วงปี 1970 เจ้าหน้าที่เอฟบีไอสองนายได้แก่ โฮลเดน ฟอร์ด และ บิลล์ เทนช์ ต้องออกไปทำงานร่วมกัน พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการสัมภาษณ์นักโทษที่เป็นฆาตกรโรคจิตซึ่งยังอยู่ในคุก พร้อมกับมีนักจิทยาคอยให้ความช่วยเหลือและรวบรวมข้อมูลต่างๆ ด้วย ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อศึกษาพฤติกรรมและเข้าถึงจิตใจของพวกเขาเหล่านั้น มันคือข้อมูลที่มีประโยชน์ เพราะสิ่งต่างๆ ที่ได้มาสามารถนำไปวิเคราะห์สะสางคดีอื่นๆ ต่อได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากฆาตกรแต่ละคนก็มีแรงจูงใจที่แตกต่างกันออกไป พวกเขามีปม ความคิด ความรู้สึก และความเก็บกดในจิตใจไม่เหมือนกัน มันระเบิดออกมาเป็นความรุนแรงอย่างที่คนทั่วๆ ไปไม่สามารถเข้าใจได้ และมันก็น่าสะเทือนขวัญเกินกว่าที่เราจะคิด งานของโฮลเดนและบิลล์จึงเป็นการคลายปมต่างๆ พวกเขาต้องก้าวให้ทันจิตใจของฆาตกร ไม่เช่นนั้นเหยื่อรายต่อไปก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของยมทูต

ซีรีส์ปราศจากฉากแอ็คชั่นใดๆ ไม่มีการดวลปืน ไม่มีการฆ่าฟัน และไม่มีการเลือดตกอย่างออกเพราะการไล่ล่า มันเต็มไปด้วยบทสนทนา ถ้อยคำที่ค่อยเป็นค่อยไป พวกเขาคอยตั้งคำถาม เพื่อให้ได้คำตอบ สืบค้นเข้าไปยังจิตใจที่ถูกเก็บซ่อนไว้ และฉุกให้เรานึกคิด มันพาเราไปสู่อีกดินแดนหนึ่ง ในดินแดนที่เราอาจสับสนว่าแท้จริงแล้วฆาตกรนั้นแปดเปื้อนหรือบริสุทธิ์อย่างไร

Tags: , , , , , ,