ถ้าคุณเป็นคนเลือดน้อย คุณคงเคยเจอสถานการณ์คล้ายๆกัน ที่เวลาอยู่ที่ทำงานก็จะเป็นคนที่แต่งตัวได้ดูหนาวที่สุดเพราะทนแอร์เยือกแข็งของออฟฟิศไม่ได้ หรือไปดูหนังทีไรก็ต้องพกอุปกรณ์กันหนาวไปด้วยเพราะกลัวจะดูได้ไม่จบ ยิ่งอยู่ในห้องหนาวๆ ทั้งวัน พอออกมาเจออากาศร้อนจัดข้างนอกก็พาลป่วยไปอีก

ไม่แปลกเลยที่พอเป็นเรื่องเที่ยวทีไร จุดหมายหนาวๆ จึงไม่ค่อยอยู่ในความคิด เพราะคิดว่าตัวเองจะต้องหนาวจนเที่ยวไม่สนุกแน่ๆ

แต่ก็เหมือนเกลียดอะไรได้อย่างนั้น ที่อยู่ดีๆ ก็จับพลัดจับผลูให้ได้ไปซัปโปโรในช่วงต้นหน้าหนาวพอดิบพอดี และหลังจากเบาใจไม่น้อยที่ปีนี้หิมะดูจะตกช้ากว่าที่เคย แต่ก็เหมือนโชคชะตาไม่เข้าข้าง แค่ก่อนเดินทางหนึ่งวันเท่านั้น ซัปโปโรก็ได้ต้อนรับกับหิมะแรกแห่งปี สุดท้ายก็ได้แต่ทำใจดีสู้เสือ เขาว่ากันว่าถ้าเราได้ลองออกนอกคอมฟอร์ตโซนแล้วเราอาจเจอกับแง่มุมใหม่ๆ ก็ได้

ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่าหรือ ‘ทำเนียบอิฐแดง’

เอ้า ลองก็ลอง! เจอกันสักตั้งนะซัปโปโร!

พอถึงวันเดินทาง นอกจากสนามบินดอนเมืองจะเลือกตัดไฟในช่วงสองชั่วโมงที่นั่งรอเครื่องแล้ว พอขึ้นเครื่องไป ไฟเจ้ากรรมตรงที่เรานั่งยังปิดไม่ได้อีก! แม้จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องโชคลางสักเท่าไร แต่ความขัดข้องต่างๆ นี้ก็ทำให้รู้สึกหวั่นอยู่ไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดเราก็มาถึงซัปโปโรได้โดยสวัสดิภาพ และซัปโปโรในตอนฤดูหนาวปลายเดือนพฤศจิกายนต้อนรับเราด้วยความขาวไปซะทุกที่ ถ้าไม่บอกจะไม่เชื่อเลยว่าหิมะเพิ่งตกมาได้แค่สองวันเท่านั้น

ซัปโปโรในฤดูหนาวใบไม้สีเหลืองค่อยๆ ร่วงหล่น

ตลาดนิโจ

ขาว..ฟ้า..เหลือง..น้ำตาล ถ้าให้สร้างแพนโทนของซัปโปโรในฤดูหนาว ก็คงออกมาประมาณนี้ หิมะขาวๆ บนพื้นดูตัดกันดีกับท้องฟ้าสีฟ้าสดยามไร้เมฆ ใบไม้สีเหลืองที่ร่วงหล่น และสีน้ำตาลจากต้นไม้ที่ไร้ใบ ยิ่งพอถึงกลางเมืองด้วยแล้ว ได้แต่คิดว่านิวยอร์กช่วงหน้าหนาวก็คงคล้ายแบบนี้แหละ ซึ่งอันที่จริงความมโนนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย เพราะในอดีต ทางการฮอกไกโดเคยขอให้อเมริกาเข้ามาพัฒนาผังเมืองให้ ผังเมืองฮอกไกโดในปัจจุบันนี้จึงเป็นสี่เหลี่ยมตามแบบอเมริกัน

โรงเบียร์ซัปโปโร

ซัปโปโร เป็นศูนย์กลางของเกาะฮอกไกโด และนับเป็นเมืองใหญ่ที่สุดอันดับที่ห้าของญี่ปุ่น มองเผินๆ ในหน้าหนาวนั้นจะเห็นคนเดินอยู่ตามถนนน้อยมาก แต่ถ้าได้เดินลงบันไดเลื่อนจากสถานีรถไฟซัปโปโรลงไปชั้นล่างแล้วจะให้ความรู้สึกคล้ายกับทะลุผ่านชานชาลา 9 ¾ ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่มีผิด จากความโหรงเหรงด้านบน ชั้นล่างคือเมืองใต้ดินขนาดใหญ่ที่พลุกพล่านเป็นพิเศษในช่วงฤดูหนาว นอกจากทางเดินนี้จะเชื่อมต่อสถานีรถไฟซัปโปโรซึ่งเป็นสถานีหลักเข้ากับสถานีรถไฟใต้ดินอื่นๆ แล้ว ยังเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้าและแลนด์มาร์กสำคัญในบริเวณกลางเมืองแทบทั้งหมด

ด้วยความที่เป็นเมืองใหม่มากหากเทียบกับเมืองอื่นในญี่ปุ่น ซัปโปโรจึงไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์มากนัก นอกจากศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่าหรือ ‘ทำเนียบอิฐแดง’ ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1888 และหอนาฬิกาที่สร้างขึ้นในค.ศ. 1878 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมอเมริกันทั้งคู่

ผังเมืองฮอกไกโดมีลักษณะสี่เหลี่ยมตามแบบอเมริกัน

หลังจากเดินเก็บแต้มจนครบ แถมด้วยการขึ้นไปชมวิวบนซัปโปโร ทีวี ทาวเวอร์ แวะเติมพลังด้วยซีฟู้ดที่ตลาดนิโจ และดอดไปชมโรงเบียร์ซัปโปโรอันโด่งดังสักเล็กน้อย คณะของเราก็เลือกมาเดินที่สวนโอโดริ (Odori Park) ที่อยู่ติดกับทีวีทาวเวอร์ในช่วงเย็น ซึ่งนับเป็นความโชคดีที่วันนั้นเป็นวันแรกของงาน Sapporo White Illumination หรืองานแสดงแสงสีประจำปีที่จัดขึ้นในช่วงต้นฤดูหนาว

งาน Sapporo White Illumination หรืองานแสดงแสงสีประจำปีที่จัดขึ้นในช่วงต้นฤดูหนาวที่สวนโอโดริ

แม้หิมะจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่พอได้เห็นแสงไฟหลากสีที่สว่างไสวในเย็นวันนั้น เราก็ซื้อร่มเพื่อลุยหิมะและมุ่งหน้าสู่สวนโอโดริทันที แม้จะไม่โด่งดังเท่าเทศกาลหิมะ แต่งานแสงสีนี้ก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กันเลย เพราะเต็มไปด้วยคู่รักที่จูงมือกันมาดูไฟและถ่ายรูปท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย… มันดีถึงขนาดที่เพื่อนในกลุ่มของเราบอกว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมช่วงคริสต์มาสถึงเป็นช่วงเวลาอันแสนพิเศษ หิมะนี่แหละที่ทำให้บรรยากาศพิเศษกว่าช่วงไหนๆ และที่พิเศษกว่านั้นคือต้องมาเจอกับตัวเองถึงจะรู้

นอกจากงานไลท์อินสตอเลชั่นหลายจุด งานนี้ยังมีตลาดเล็กๆ ที่มีตลาดคริสต์มาสเยอรมัน (ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมต้องเป็นเยอรมันด้วย) มีร้านรวงเล็กๆ มาขายของที่ระลึกและอาหารร้อนๆ สำหรับคนที่มาชมงานด้วย และยิ่งพ่อค้าแม่ค้าส่วนหนึ่งเป็นชาวต่างชาติด้วยแล้ว บรรยากาศจึงคล้ายกับตลาดคริสต์มาสในยุโรปมากเข้าไปอีก เรียกว่าเดินดูไฟให้หนำใจ แล้วแวะพักจิบแซงเกรียร้อนๆ สักแก้ว หรือจะซื้อขนมไปทานในเตนท์ (rest area) ที่มีฮีตเตอร์อุ่นๆ รออยู่ก็ฟินไม่แพ้กัน

วันต่อมา เราออกนอกตัวเมืองไปยังอีกหนึ่งจุดหมายที่แพลนไว้ นั่นคือเนินพระพุทธเจ้า (Hill of the Buddha) ที่อยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งชั่วโมง แม้จะอยู่ชานเมือง แต่ก็นับว่าเดินทางไม่ยากนัก เพราะแค่นั่งรถไฟใต้ดินสายนันโบคุ (Nanboku) ไปลงสถานีมาโคมานาอิ (Makomanai) แล้วต่อรถบัสสาย 102 ไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว แถมรถบัสยังไปจอดถึงเนินพระพุทธเจ้าเลยด้วย

สุสานมาโคมานาอิ ทาคิโนะ (Makomanai Takino) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเนินพระพุทธเจ้านี้ เป็นสถานที่ที่แปลกที่สุดที่หนึ่งที่ฉันเคยเห็นมาในชีวิต เพราะใครจะไปคิดว่ารูปปั้นโมอาย สโตนเฮนจ์ เจ้าแม่กวนอิม และพระพุทธเจ้าจะมาอยู่รวมกันได้ในที่เดียว แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วที่สุสานแห่งนี้ แบบไม่มีที่มาที่ไปด้วย เพราะแม้จะถามคนญี่ปุ่นแล้วก็ไม่มีใครบอกได้ว่าทำไมทุกอย่างที่ว่าถึงมารวมกันอยู่ที่นี่ นับเป็นภาพที่เซอร์เรียลอยู่ไม่น้อย

โถงภาวนา (prayer hall) ที่ล้อมกรอบองค์พระพุทธเจ้า

เนินพระพุทธเจ้าในต้นฤดูหนาวนั้นเรียกว่าแทบจะไร้ผู้คน ปกติแล้ว นักท่องเที่ยวมักจะมาเยี่ยมชมสักการะพระใหญ่ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ลาเวนเดอร์ที่ปลูกไว้รอบๆ บานอวดสีสันเป็นสีม่วงละลานตา ส่วนในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ ต้นลาเวนเดอร์ทั้งหมดถูกมัดไว้อย่างดีเพื่อให้ปลอดภัยจากหิมะที่โหมกระหน่ำ และโดมขนาดใหญ่สีเทาก็ถูกหิมะกลบแทบทั้งหมด

ทางเดินสู่เนินพระพุทธิเจ้าในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุม

แม้องค์พระจะสร้างขึ้นมาสิบกว่าปีแล้ว แต่โถงภาวนา (prayer hall) หรือสถาปัตยกรรมทรงกลมที่ล้อมรอบที่ออกแบบโดยสถาปนิกดังอย่างทาดาโอะ อันโดะ (Tadao Ando) เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปลายปีค.ศ. 2015 นี้เอง ว่ากันว่าแต่เดิมนั้น องค์พระที่ตั้งเด่นอยู่กลางทุ่งดูไม่ค่อยสงบสักเท่าไร ท้ายสุดแล้วจึงมีการขอให้อันโดะมาช่วยออกแบบเพื่อแก้ปัญหา อันโดะซึ่งเชี่ยวชาญด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมเชิงจิตวิญญาณจึงเกิดไอเดียที่จะ ‘ฝัง’ องค์พระ โดยให้เหลือแค่พระเศียรปรากฏออกมาเหนือเนินทรงกลมนี้เท่านั้น และทางเดียวที่จะเห็นองค์พระได้เต็มองค์คือการเดินผ่านอุโมงค์ยาว 40 เมตรเข้าไปเท่านั้น ซึ่งอุโมงค์นี้นอกจากจะเป็นการโชว์ชั้นเชิงการออกแบบแล้ว ยังช่วยเพิ่มความรู้สึกท่วมท้นเมื่อได้เดินมาเจอองค์พระใหญ่พร้อมรัศมีเป็นท้องฟ้าอยู่ที่ปลายอุโมงค์

นอกจากนี้ อันโดะยังออกแบบให้มีบ่อน้ำก่อนถึงอุโมงค์ เป็นเหมือนเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และโลกแห่งจิตวิญญาณด้วย เพียงแค่ว่าตอนเราไปนั้นไม่ได้เห็น เพราะน้ำในบ่อถูกกลบด้วยหิมะหมดแล้ว เราเดินไปตามทางเดินทรงกลมในโถงภาวนานั้นเงียบๆ ลองจินตนาการถึงที่ที่เดียวกันนี้ในหน้าร้อนก็นึกไม่ออก เพราะ ณ วินาทีนั้น ทุกอย่างดูเงียบไปหมด

ท่ามกลางความเงียบและความเหน็บหนาว ดูเหมือนว่าหลวงพ่อจะพบความสงบแล้ว

Tags: , ,