เมื่อวันที่ 23-24 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา (วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร) เพื่อพิจารณาวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 จำนวน 6 ญัตติที่ยื่นโดย ส.ส. ทั้งจากพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ผลปรากฎว่าสภาไม่ได้ลงมติ ‘รับหลักการ’ หรือไม่รับในประเด็นใดเลย แต่กลับมีการลงมติเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อพิจารณาญัตติแก้รัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ “ท่ามกลางการคัดค้านของ ส.ส. พรรคฝ่ายค้าน เพราะเห็นว่า จะเป็นการ ‘ถ่วงเวลา’ แก้รัฐธรรมนูญให้ทอดยาวออกไปโดยไม่จำเป็น ทำให้พรรคฝ่ายค้านประกาศ “บอยคอต” ไม่เข้าร่วมใน กมธ. ชุดที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ มีเพียง สว. และ ส.ส. จากฝั่งรัฐบาลเท่านั้นที่เข้าร่วม” (สรุปข่าวโดยไอลอว์)
ผู้เขียนเห็นด้วยกับ ส.ส. พรรคฝ่ายค้านว่า การตั้ง กมธ. นี้ขึ้นมาเป็นการ ‘ถ่วงเวลา’ กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญให้ยาวออกไปอีกโดยไม่จำเป็นเลย เนื่องจากญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ญัตติที่เสนอจากทั้งพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพียงแต่สะท้อนข้อเรียกร้องที่มีอยู่แล้วมากมายในสังคม สื่อมวลชนนำเสนอประเด็นมาแล้วอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีประชาชนอย่างน้อย 100,732 คน (ผู้เขียนเป็นหนึ่งในนั้น) ที่เข้าชื่อเสนอแก้รัฐธรรมนูญกับไอลอว์
การลงมติครั้งนี้เป็นเพียงการลงมติวาระแรก คือ ‘รับหลักการ’ เท่านั้น แปลว่าต่อให้สภาลงมติรับหลักการ ก็ไม่ได้แปลว่าญัตติแก้รัฐธรรมนูญทั้งหมดได้รับความเห็นชอบโดยอัตโนมัติ จะต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการมาศึกษาเนื้อหาของญัตติในวาระต่อไปอยู่ดี นอกจากนี้ พรรคร่วมรัฐบาลมากกว่าหนึ่งพรรคก็หาเสียงตอนเลือกตั้งไว้ว่า “จะแก้รัฐธรรมนูญ”
อีกทั้งสภาผู้แทนราษฎรเองก็เคยตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2560 ซึ่งมีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ กมธ. ชุดนี้ก็ได้ทำงานเสร็จแล้ว นำเสนอรายงานต่อสภาล่างเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2563 หรือสองสัปดาห์ก่อนการประชุมร่วมสองสภา ส่วนฟากรัฐบาลเอง เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2563 คณะรัฐมนตรีก็ได้อนุมัติร่าง พ.ร.บ. ประชามติ ที่ ก.ก.ต. เสนอ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณ 3.1-5 พันล้านบาท
เรียกว่ามีการเตรียมการที่จะแก้รัฐธรรมนูญ 2560 มาระยะหนึ่งแล้ว ทั้งในระดับรัฐบาลและรัฐสภา สอดคล้องกับเสียงเรียกร้องของประชาชน พูดง่ายๆ คือ สังคมไทย ‘รับหลักการ’ กันไปแล้วว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ‘ต้องแก้’
ส่วนประเด็นที่ว่า ‘ควรแก้มาตราไหน’ บ้าง และ ‘แก้อย่างไร’ ก็ต้องรอขั้นตอนต่อไปที่จะได้ถกเถียงอภิปรายกัน
ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้น จึงชัดเจนว่า การตั้ง กมธ. ขึ้นมาพิจารณาญัตติแก้รัฐธรรมนูญ ‘ก่อนรับหลักการ’ นั้น จะมองเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากเป็นการ ‘เดินถอยหลัง’ และเป็นแท็กติก ‘ถ่วงเวลา’ กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญให้ยาวขึ้นอีกโดยไม่จำเป็น ไม่มีเหตุผลใดๆ เลยทั้งนั้นที่ฟังขึ้น
เราทุกคนควรจำชื่อ ส.ส. และ ส.ว. ทุกคนที่โหวต “เห็นด้วย” กับการเดินถอยหลังในครั้งนี้เอาไว้ ในฐานะตัวถ่วงพัฒนาการของประชาธิปไตยไทย
แล้วในฐานะประชาชน เราควรมองกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้อย่างไร จริงหรือที่บางคนบอกว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับนี้เป็นฉบับ ‘ปราบโกง’ จะมีแต่นักการเมืองเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากการแก้
ผู้เขียนเห็นว่า ต่อให้รัฐธรรมนูญ 2560 ดีเลิศประเสริฐศรีเพียงใด (ซึ่งแท้จริงก็ไม่ใช่) เราทุกคนในฐานะประชาชนก็ควรเปิดให้โอกาสตัวเองได้ครุ่นคิดถึงทางเลือกต่างๆ ที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เพราะสุดท้ายเราทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะเปลี่ยนใจ หรือไม่เปลี่ยนใจก็ได้อยู่แล้ว
…..
ผู้เขียนสรุปเหตุผลที่คนไทยทุกคน ไม่ว่าจะชอบหรือชังใคร ควรสนับสนุนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ 5 ข้อดังต่อไปนี้
1.ประชามติรัฐธรรมนูญ 2560 ไร้เสรีและไม่เป็นธรรม
เจ้าหน้าที่ IO (ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร – information operations) และสื่อเสี้ยมทั้งหลายที่ทำงานใกล้ชิดกับ IO มักอ้างว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านประชามติมา แปลว่าเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเห็นชอบ แปลว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ
ผู้เขียนเห็นว่าการอ้างสมการ ผ่านประชามติมา = คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ นั้นเป็นตรรกะวิบัติอย่างชัดเจน เพราะสมมุติว่าเราไปออกเสียง ‘รับ’ รัฐธรรมนูญเมื่อปี 2559 ย่อมไม่ได้หมายความว่าเมื่อเวลาผ่านมาอีกสี่ปี เราจะยัง ‘ชอบ’ รัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่
นอกจากนี้ กระบวนการลงประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 นั้น พูดไม่ได้เลยว่าเป็นประชามติที่ ‘เสรี’ และ ‘เป็นธรรม’ ตามหลักสากล (free and fair referendum) แต่อย่างใด เริ่มตั้งแต่มหกรรมการให้ข้อมูลด้านเดียวของรัฐ กระทั่งเอกสารของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เองก็ชี้นำและไม่มีความเป็นกลาง ปิดปากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างรุนแรง โดยจับคนรณรงค์ “ไม่รับ” อย่างน้อย 212 คน แถมจับอย่างมั่วซั่วเหวี่ยงแหเพราะนักข่าวยังโดน และจับขึ้นศาลทหาร ไม่ใช่ศาลพลเรือน หลายคดีสู้กันถึงชั้นศาลฎีกากว่าศาลจะยกฟ้อง เสียเวลาเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ และชี้ให้เห็นชัดเจนว่าเป็นเพียงการ ‘ฟ้องปิดปาก’ ปิดกั้นไม่ให้คนได้รับรู้ข้อมูลด้านที่ต่างจาก กกต. และผู้มีอำนาจ
กระบวนการปิดปากและคุกคามผู้เห็นต่างนี้ดำเนินไปท่ามกลางการ ‘มัดมือชก’ ประชาชน โดยเฉพาะการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ หรือใครก็ตาม ไม่เคยบอกกับประชาชนว่า ถ้าผลโหวตออกมา ‘ไม่รับ’ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะกลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับไหน กระบวนการจะเป็นอย่างไร
การมัดมือชกเช่นนี้ส่งผลให้คนจำนวนมากไปโหวต ‘รับ’ เพียงเพราะอยากเลือกตั้งเร็วๆ ไม่อยากให้ คสช. ครองอำนาจเผด็จการต่อไป โดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จงใจปูทางให้ คสช. ได้กลับมาครองอำนาจอยู่ดี ผ่านกลไก สว.ลากตั้ง 100%, การเสนอชื่อนายกฯ คนนอก, ระบบเลือกตั้งพิสดารที่ตัดเสียงพรรคการเมืองที่ได้คะแนนนิยมสูงสุด, กลไกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งผูกมัดทุกรัฐบาล และการผูกขาดอำนาจในการแต่งตั้งองค์กรอิสระ
ยิ่งไปกว่านั้น ประชามติ 2559 ยังมีลักษณะชี้นำบิดเบือน โดยคำถามพ่วงกำกวมและชี้นำสุดขีดที่ถามว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี”
คนรู้จักของผู้เขียนหลายคนยอมรับภายหลังว่า ในวันที่ไปโหวต ‘เห็นชอบ’ กับคำถามพ่วง ไม่ได้คิดเลยว่าคำถามนี้หมายถึงการให้ สว. ที่มาจากการแต่งตั้ง มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ร่วมกับ ส.ส.
2. ประชามติรัฐธรรมนูญ 2560 ไร้ความหมาย
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับที่ใช้ในปัจจุบัน ไม่ใช่ฉบับเดียวกันกับร่างที่ผ่านประชามติ 7 สิงหาคม 2559 โดยในปี 2560 ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านประชามติ จำนวน 7 มาตรา ในหมวดพระมหากษัตริย์ ยกตัวอย่างเช่นมาตรา 16 ซึ่งมีเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงดังนี้ (สรุปความโดย BBC)
เดิม (ฉบับผ่านประชามติ)
“ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”
ใหม่ (ฉบับแก้ไข และประกาศใช้)
“ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งบุคคลหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้น ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และในกรณีที่ทรงตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”
ในเมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับที่ประกาศใช้จริง ไม่ใช่ฉบับเดียวกันกับฉบับที่ผ่านประชามติ จึงเท่ากับว่ากระบวนการประชามติ 7 สิงหาคม 2559 ไร้ความหมายไปโดยปริยาย
3.รัฐธรรมนูญ 2560 สร้างปัญหา หลังเลือกตั้งปัญหายิ่งชัด
ก่อนหน้าที่จะทำประชามติ และหลังทำประชามติแต่ก่อนการเลือกตั้ง 2562 ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญหลายคนออกมาเตือนหลายต่อหลายครั้งว่า เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะปูทางไปสู่วิกฤติการเมืองรอบใหม่ ไม่ได้ช่วยลดความขัดแย้งอย่างที่กล่าวอ้าง
ผศ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย จากภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ไว้ตั้งแต่ต้นปี 2561 ไว้อย่างน่าสนใจว่า ในระบอบการเมืองภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญนั้น การใช้อำนาจต่างๆ ภายใต้รัฐธรรมนูญจะต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุล โดยมีรัฐธรรมนูญกำกับการใช้อำนาจ แต่ลักษณะการใช้อำนาจ(เผด็จการ)ตามมาตรา 44 (ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว) ที่เขียนว่าการใช้อำนาจชอบด้วยกฎหมายเสมอนั้น “ขัดกับวิถีของรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นอำนาจที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ เมื่อยื่นคำร้องต่อศาลก็มีแนวโน้มว่าศาลจะวินิจฉัยว่าคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญ …คำถามของผมคือว่าเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว ทำไมมาตรา 44 ยังอยู่”
(มาตรา 279 ในรัฐธรรมนูญ 2560 ให้บรรดาการใช้อำนาจพิเศษในยุค คสช. รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจพิเศษที่ คสช. ประกาศใช้ ‘ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ’ เสมอ ส่งผลให้การอาศัยอำนาจดังกล่าวหรือการกระทำตามอำนาจดังกล่าวไม่อาจถูกตรวจสอบได้เลย)
อาจารย์พรสันต์มองตั้งแต่ต้นปี 2561 ว่า มีหลายปัจจัยที่จะนำไปสู่วิกฤติรัฐธรรมนูญ เช่น การให้ความชอบธรรมของการใช้อำนาจเผด็จการตามมาตรา 44 ต่อไป การ ‘ดันทุรัง’ ใช้บทบัญญัติที่ไม่ช่วยแก้ปัญหา และการที่ผู้นำทางการเมืองพยายามกล่าวหาคนที่ต่อต้านหรือคัดค้านรัฐบาลว่าทำผิดรัฐธรรมนูญ ทั้งที่การใช้อำนาจของตัวเองบางครั้งก็เห็นชัดเจนว่าไม่ได้ทำตามรัฐธรรมนูญ หรือพูดง่ายๆ ว่า รัฐบาลถูกเสมอ ฝ่ายต่อต้านผิดเสมอ
เมื่อดูปัจจัยทั้งหมดนี้ ประกอบกับบริบททางการเมือง พฤติกรรมการใช้อำนาจ อาจารย์จึงฟันธงว่ารัฐธรรมนูญ 2560 น่าจะมีอายุไม่เกิน 3 ปี
ผู้เขียนเองเคยเขียนถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เห็นชัดแล้วหลายกรณี อย่างเช่นในบทความ “กติกา–แรงจูงใจ–พฤติกรรม: ผลลัพธ์บิดเบี้ยวของรัฐธรรมนูญ 2560” และ “วุฒิสภาลากตั้ง 2562: เมื่อธรรมาภิบาลหมดความหมาย”
4.เราทุกคนไม่ควรปฏิเสธ ‘โอกาส’ ที่จะฟังทางเลือกใหม่ๆ
ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบรัฐธรรมนูญ 2560 ผู้เขียนคิดว่าไม่มีใครควรปฏิเสธ ‘โอกาส’ ที่จะได้ฟังทางเลือกใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหา (สำหรับคนที่คิดว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหา) หรือพัฒนาให้กติกาดีกว่าเดิมอีก (สำหรับคนที่คิดว่ารัฐธรรมนูญไม่มีปัญหา)
ถ้าเราไม่อยากเริ่มต้นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าเราเห็นด้วยกับ ส.ส. และ สว.ที่ออกเสียงเห็นชอบให้ตั้ง กมธ. ถ่วงเวลา ก็แปลว่าเราปิดกั้นโอกาสที่จะได้รับฟังข้อเสนอ ทางเลือกใหม่ๆ จากประชาชนด้วยกัน เกี่ยวกับกติกาสูงสุดของประเทศ และโอกาสที่จะได้รับฟังการอภิปรายถกเถียงประเด็นเหล่านั้นในสภา
ในฐานะประชาชน ทำไมเราถึงจะอยากปิดกั้นโอกาสของตัวเราเอง ?
5.ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะเปลี่ยนใจ
กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญเป็นถนนที่ยาวไกล เมื่อไรก็ตามที่ร่างใหม่เสร็จสิ้น ใครก็ตามที่อ่านร่างใหม่แล้ว ยังคิดว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ดีกว่าร่างใหม่ ก็ย่อมมีสิทธิไปโหวต ‘ไม่รับ’ ในการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญรอบใหม่ได้ (ซึ่งคราวนี้ก็ควรเรียกร้องให้เป็นประชามติที่ ‘เสรีและเป็นธรรม’ เสียที ไม่ให้ซ้ำรอยประชามติปี 2559)
พูดง่ายๆ คือ กระบวนการนี้ไม่ทำให้ประชาชนคนไหนเสียสิทธิแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้าม ใครก็ตามที่ยืนกรานกีดกันไม่ให้เริ่มต้นกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ คือคนที่ปิดกั้นโอกาสของประชาชนด้วยกันในการเปิดใจ รับฟังข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ฟังข้อเสนอทางเลือกและทางออกใหม่ๆ ในการพัฒนากติกาสูงสุด
ฟังแล้วหลายคนที่เคยชอบรัฐธรรมนูญ 2560 อาจเปลี่ยนใจก็เป็นได้ แต่ใครฟังแล้วไม่เปลี่ยน ก็มีสิทธิที่จะไม่เปลี่ยน
ดังที่ ส.ส. อังกฤษท่านหนึ่งพูดไว้ว่า “ถ้าประชาชนเปลี่ยนใจไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว”
Tags: แก้ไขรัฐธรรมนูญ