เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา อดีตนักฟุตบอลสัญชาติอังกฤษ สตีเวน เจอร์ราร์ด (Steven Gerrard) หรือสตีวีจี ได้ประกาศแขวนสตั๊ดอำลาวงการลูกหนังไปด้วยวัย 36 ปีกับสโมสร แอลเอ กาแล็กซี (LA Galaxy) จากศึกเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ (Major League Soccer) ด้วยเหตุผลเรื่องสภาพร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม

‘สตีวีจี’ เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรฟุตบอลที่เขานิยามว่าเป็นเหมือนโลกทั้งใบอย่าง ‘ลิเวอร์พูล’ (Liverpool) ตั้งแต่ปี 1998 ก่อนที่จะอำลาสโมสรพร้อมกับคราบน้ำตาแห่งความใจหายของเหล่าเดอะค็อป (The Kop) ในปี 2015

ตลอดระยะเวลา 19 ปีที่ผ่านมาในอาชีพการค้าแข้งของสุภาพบุรุษลูกหนังจากเมอร์ซีย์ไซด์รายนี้ มีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งจุดสูงสุดจากการคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก (UEFA Champions League) ในปี 2005 การตัดสินใจปฏิเสธย้ายไปร่วมทีมคู่แข่งอย่างเชลซี (Chelsea) ในปี 2004 เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทในบาร์เมื่อปี 2006 หรือจุดตกต่ำสุดขีดกับการพลาดท่า ‘ลื่นล้ม’ ในฤดูกาล 2013/2014 ก่อนจะจบฤดูกาลด้วยการเป็นได้แค่รองแชมป์ลีก

หากมองข้ามมุมเก่งกาจที่เคยสำแดงเดชบนฟลอร์หญ้าของเจ้าตัว หรือมุมหมั่นไส้โทษฐานเคยอยู่ฝั่งตรงข้ามทีมรักของคุณ The Momentum เชื่อว่าในฐานะ ‘มนุษย์’ คนหนึ่งแล้ว ชายผู้นี้ยังมีเรื่องราวดีๆ อีกมากมายที่ใครหลายคนก็สามารถเลือกเก็บเกี่ยวเมล็ดที่สวยงามของเขามาหว่านดอกออกผลในสวนชีวิตของคุณเองได้อย่างงดงาม…

Photo: Reuters Staff, Reuters/profile

ความมุ่งมั่น ความทุ่มเท และความเป็นมืออาชีพ

ในช่วงพักครึ่งของเกมรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกในปี 2005 ที่กรุงอิสตันบูล ลิเวอร์พูลต้นสังกัดในเวลานั้นของเจอร์ราร์ดเป็นฝ่ายตามหลังคู่แข่งอย่างเอซีมิลาน (AC Milan) อยู่ที่ 3 ประตูต่อ 0 หลังเริ่มต้นครึ่งหลังได้เพียง 9 นาที เจ้าตัวก็เป็นฝ่ายทวงประตูคืนปลุกความหวังให้ทีมของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะมาทวงอีก 2 ประตู (2 ใน 3 ของสกอร์เป็นผลงานของสตีวีจี) และพลิกกลับมาเอาชนะแบบปาฏิหาริย์ในการดวลจุดโทษตัดสิน

เจมี คาร์เรเกอร์ (Jamie Carragher) หนึ่งในเพื่อนรักของเจอร์ราร์ดและผู้เล่นในนัดประวัติศาสตร์ครั้งดังกล่าวได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ผลงานในครึ่งหลังของเจอร์ราร์ดคือแรงบันดาลใจของทีมอย่างเเท้จริง เขาแบกทีมของพวกเราไปสู่ถ้วยรางวัล ทั้งๆ ที่ต้องเล่นในตำแหน่งที่ต่างกันถึง 3 ตำแหน่งในคืนวันนั้น”

ใช่ครับ นอกเหนือจากความทุ่มเทที่ถูกแสดงออกผ่านการวิ่งตะบันไล่บี้คู่แข่งในเกมลูกหนังแล้ว เจอร์ราร์ดยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นเลือดนักสู้ที่ทำงานอย่างหนักมาโดยตลอด เขาไม่เคยปริปากบ่นแม้จะถูกโค้ชขยับให้ไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัด ไล่ตั้งแต่กองหลัง, แบ็กฝั่งขวา, ปีก, กองกลางตัวรุก, หรือแม้แต่กองหน้า ทั้งๆ ที่ตำแหน่งถนัดของเจ้าตัวคือกองกลางตัวกลาง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงปลายอาชีพการค้าแข้งของเขากับลิเวอร์พูล เนื่องจากรู้ว่าสภาพร่างกายของตนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้จะถูกจับแช่อยู่บนม้านั่งสำรอง เจ้าตัวก็ไม่เคยก่อหวอด หรือใช้ความอาวุโสของตัวเองมาต่อรองหรือเรียกร้องแต่อย่างใด สิ่งที่เจอร์ราร์ดแสดงออกกลับเป็นแค่การก้มหน้าก้มตาฝึกซ้อมและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

ภักดีกับสโมสรตราบนิจนิรันดร์

สตีเวน เจอร์ราร์ด เริ่มต้นอาชีพการค้าแข้งกับสโมสรลิเวอร์พูลด้วยการเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสรในปี 1987 ก่อนที่จะได้ลงประเดิมสนามเกมฟุตบอลอาชีพใน 11 ปีให้หลังด้วยวัยเพียง 18 ปี หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ นานา มาตลอดเวลาเกือบ 2 ทศวรรษ แม้ในช่วงบั้นปลายการค้าแข้ง เจ้าตัวจะต้องลาจากบ้านและโลกทั้งใบที่ตนเองรักไปด้วยความไม่เต็มใจและคราบน้ำตาก็ตาม

ครั้งหนึ่งเจอร์ราร์ดเคยเกือบตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมเชลซี คู่ปรับจากเมืองลอนดอนเมื่อปี 2004 มาแล้ว แต่ท้ายที่สุดเจ้าตัวก็เหยียบเบรกและกลับลำได้ทัน เบื้องลึกเบื้องหลังมีการวิเคราะห์กันว่า สาเหตุที่แท้จริงของการเรียกร้องขอย้ายทีมในครั้งนี้ของเจ้าตัวเป็นไปก็เพื่อต้องการกดดันสโมสรให้จัดการอะไรสักอย่างกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ของทีมก็เท่านั้น

ความจงรักภักดีและความรักที่เจ้าตัวมีให้สโมสรยังถูกแสดงออกผ่านอากัปกิริยาของเจ้าตัวกับอารมณ์ร่วมในแต่ละเกมอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเผชิญหน้ากับทีมคู่ปรับตลอดกาลอย่างสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด(Manchester United) ที่เจ้าตัวมักจะแสดงผลงานได้ในระดับ ‘ดีมาก’ เกือบทุกครั้งยามที่ต้องปะทะกัน เช่นเดียวกับการแสดงออกเมื่อตัวเองหรือเพื่อนร่วมทีมยิงประตูได้

ทุกวันนี้หลังจากที่เจ้าตัวต้องระเห็จออกจากทีมไป หากมีโอกาสเจอร์ราร์ดก็ยังแสดงออกผ่านโซเชียลมีเดียถึงการสนับสนุนทีมรักของเขา และบรรดานักเตะรุ่นน้องๆ อยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงการไม่เคยตำหนิหรือให้ร้ายสโมสรที่เขารักอย่างเด็ดขาด

Photo: USA Today Sports, Reuters/profile

มิตรภาพไร้วันเสื่อมคลาย

การเป็นนักฟุตบอลที่ค้าแข้งกับสโมสรๆ หนึ่งมาเป็นระยะเวลานานกว่า 18 ปี ย่อมพัดพาผู้เล่นมากหน้าหลายตาเข้ามาสู่สโมสร เช่นเดียวกันกับที่เจอร์ราร์ดมีคู่หูเคียงสนามรบมาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ซาบี อลอนโซ (Xabi Alonso), ฮาเวียร์ มาสเคราโน (Javier Mascherano), เฟอร์นานโด ทอร์เรส (Fernando Torres) หรือหลุยส์ ซัวเรส (Luis Suarez)

เหนือสิ่งอื่นใด บรรดาคู่หูเหล่านี้ของเจอร์ราร์ดมักจะเก็บกระเป๋าออกไปค้นฟ้าคว้าดาวที่สโมสรอื่นๆ อยู่เสมอ และทุกๆ ครั้งที่มีการจากลา เขาไม่เคยพูดถึงอดีตเพื่อนร่วมทีมของตัวเองในทางเสียหาย หรือด่าทอใดๆ ทั้งสิ้น เฉกเช่นที่ครั้งหนึ่งเจ้าตัวเคยออกมาชื่นชม หลุยส์ ซัวเรส กองหน้าชาวอุรุกวัยที่เลือกย้ายไปสโมสรบาร์เซโลนาในปี 2014 ว่าเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมทีมสุดมหัศจรรย์ และอาจจะเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดที่เจ้าตัวเคยเล่นด้วย

จนถึงปัจจุบัน เจอร์ราร์ดยังหาโอกาสพิเศษๆ ในการติดต่อกับอดีตเพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงรูปในโซเชียลเพื่ออวยพรอดีตเพื่อนร่วมทีมในวันเกิดของพวกเขา หรือการอวยพรให้อดีตคู่หูเหล่านั้นของตนมีชัยในแมตช์สำคัญๆ ดังที่เจ้าตัวเคยแสดงออกถึงการสนับสนุน เฟอร์นานโด ทอร์เรส ในการลงทำการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาล 2015/2016 มาแล้ว

Photo: Reuters Staff, Reuters/profile

อุทิศตนเพื่อสังคม

นอกจากจะเป็นผู้มอบความสุขจากเกมฟุตบอลให้แฟนๆ แล้ว เจอร์ราร์ดยังอุทิศตนและเงินรายได้ส่วนหนึ่งจากการค้าแข้งไปกับการช่วยเหลือและสนับสนุนให้แก่มูลนิธิต่างๆ อีกด้วย

ในปี 2011 อดีตมิดฟิลด์หัวขิงรายนี้ก่อตั้งมูลนิธิเป็นของตัวเองอย่าง SGF หรือ Steven Gerrard Foundation ขึ้นมา โดยมีจุดมุ่งหมายในการระดมเงินทุนเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่มีปัญหาต่างๆ ทั้งปัญหาครอบครัว ความเจ็บป่วยหรือความทุพพลภาพ และการขาดโอกาสทางการศึกษา นอกจากนี้เจ้าตัวยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือเด็กของโรงพยาบาลอัลเดอร์เฮย์ (Alder Hey) ในเมืองลิเวอร์พูลร่วมกับผู้อุปถัมภ์ในวงการฟุตบอลอีกมากหน้าหลายตา อาทิ เวย์น รูนีย์ (Wayne Rooney) เจมี คาร์เรเกอร์ (Jamie Carragher)

หลังจากการจัดเทสติโมเนียลเเมตช์ (Testimonial Match) ในปี 2013 เจอร์ราร์ดได้บริจาคเงินกว่า 500,000 ปอนด์ ให้โรงพยาบาลอัลเดอร์เฮย์ ทั้งยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า

“ผมมีโอกาสไปอัลเดอร์เฮย์หลายครั้ง ในขณะที่เด็กๆ และครอบครัวของพวกเขาต้องตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก คุณจะเห็นได้ชัดเลยว่าความช่วยเหลือทั้งหลายทำให้อุ่นใจมากขึ้นเพียงใด”

ทั้งนี้ ในแมตช์อำลาของสตีวีจีในปี 2015 เจ้าตัวยังมอบรองเท้าสตั๊ดของตนที่เป็นการผลิตแบบจำนวนจำกัดจากฝั่งอดิดาส (Adidas) เข้าสู่การประมูลเพื่อนำรายได้ทั้งหมดไปช่วยเหลือสภากาชาดสหราชอาณาจักร ที่จะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากวิกฤตการณ์ในยุโรปอีกด้วย

Photo: Reuters Staff, Reuters/profile

ชายผู้รักครอบครัวเหนือสิ่งอื่นใด

สตีเวน เจอร์ราร์ด และอเล็กซ์ เคอร์ราน (Alex Curran) นักข่าวแฟชั่นสาวเริ่มต้นศึกษาดูใจกันมาตั้งแต่ปี 2002 ก่อนที่เคอร์รานจะตกลงปลงใจเปลี่ยนไปใช้นามสกุล ‘เจอร์ราร์ด’ และจัดพิธีสมรสแบบคาทอลิกในปี 2007 ที่เมืองไวโมนดัม (Wymondham) โดยปัจจุบันทั้งคู่ใช้ชีวิตในสถานะสามีภรรยามานานกว่า 9 ปี

สองสามีภรรยาเจอร์ราร์ดมีโซ่ทองคล้องใจด้วยกัน 4 คนได้แก่ ลิลลี เอลลา (Lilly-Ella) ลูกสาวคนโต เล็กซี (Lexie) ลูกสาวคนที่สอง และลัวเดส (Lourdes) ลูกสาวคนที่สาม และเมื่อเดือนตุลาคม 2016 ที่ผ่านมา ทั้งคู่พึ่งเปิดเผยข่าวดีจากการตั้งท้องลูกคนที่ 4 อีกด้วย

คุณพ่อเจอร์ราร์ดได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแฟมิลีแมนที่รักครอบครัวมากๆ ทั้งจากการครองรักกับภรรยาสุดสวยนานกว่า 9 ปี โดยแทบจะไม่มีข่าวระหองระแหงให้เห็นเป็นนิจ หรือข่าวเชิงชู้สาวคาวโลกีย์เหมือนนักฟุตบอลคนอื่นๆ (แน่นอนว่ามีข่าวลือที่ขาดมูลความจริงอยู่บ้าง) ซึ่งหากใครติดตามอินสตาแกรม ของสตีวีจี คุณก็จะพบว่าเจ้าตัวมักจะลงรูปคู่กับภรรยา หรือรูปหมู่จากการทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวอยู่เป็นประจำ

จากการเปิดเผยของนิตยสาร Hello ในปี 2013 เจอร์ราร์ดยังถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 8 ของการเป็นคุณพ่อตัวอย่างอีกด้วย ทั้งนี้หลังจากที่เจ้าตัวต้องย้ายที่ทำมาหากินมายังประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2014 สตีวีจีก็เล่าให้ฟังว่าเขามีความสุขกับชีวิตนอกสนามมากๆ เพราะเขาสามารถพาลูกสาวทั้งสามไปไหนมาไหน โดยไม่ถูกรบกวน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าสามีและพ่อคนนี้ให้ความสำคัญกับครอบครัวของเขามากเพียงใด

สถานีต่อไปของตำนานลูกหนัง สตีเวน เจอร์ราร์ด จะลงเอยกับการเป็นผู้จัดการทีม, ผู้ช่วยโค้ช, เจ้าของสโมสร, แบรนด์แอมบาสเดอร์ของทีมลิเวอร์พูล, นักวิเคราะห์เกมฟุตบอล หรือ #พ่อบ้านใจกล้า เราเชื่อว่านอกเหนือไปจากชื่อเสียงและเกียรติยศ ศักยภาพและความทุ่มเทในตัวของชายผู้นี้ย่อมดึงดูดให้ใครต่อใครต่างอยากได้ตัวเขาไปร่วมงาน

ไม่ว่าจุดหมายต่อไปของสตีวีจีจะลงเอยเช่นไร ในฐานะแฟนกีฬาคนหนึ่ง เราคงได้แต่อวยพรให้ตำนานผู้นี้โชคดีและมีความสุขกับเส้นทางที่เขาเลือกเดิน…

 

อ้างอิง:
– 
www.mirror.co.uk/sport/football/news/liverpool-legend-steven-gerrard-admits-9325013
     – http://www.mirror.co.uk/sport/football/news/liverpool-legend-steven-gerrard-confirms-9324527
– http://www.mirror.co.uk/sport/football/news/steven-gerrard-retires-five-options-9324618
– http://www.hellomagazine.com/celebrities/2013051512594/david-beckham-celebrity-dad-role-model
– http://www.hellomagazine.com/celebrities/2015090727103/inside-steven-alex-gerrard-los-angeles-home-exclusive
– http://www.hellomagazine.com/healthandbeauty/mother-and-baby/2016102834318/Alex-Gerrard-announces-fourth-pregnancy/ http://www.stevengerrardfoundation.org/about.htm
– http://www.irishmirror.ie/showbiz/celebrity-news/steven-gerrard-loving-la-life-6433272
– http://www.mirror.co.uk/news/uk-news/liverpools-steven-gerrard-donates-half-2901270
– http://www.telegraph.co.uk/sport/football/players/steven-gerrard/11980366/Steven-Gerrard-donates-limited-edition-boots-from-final-Liverpool-game-to-refugee-cause.html
– http://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-3169671/Steven-Gerrard-hails-Luis-Suarez-best-team-mate-former-Liverpool-duo-prepare-meet-pre-season-friendly.html
– http://www.mirror.co.uk/sport/football/news/jamie-carragher-talks-inspirational-steven-9325751
– http://www.bbc.com/sport/football/37972429
– https://en.wikipedia.org/wiki/Steven_Gerrard
– http://www.mirror.co.uk/sport/football/news/steven-gerrard-retires-read-liverpool-9324769
– http://www.mirror.co.uk/sport/football/news/steven-gerrard-reveals-worst-moment-9325638

 

FACT BOX:

สตีเวน เจอร์ราร์ด สวมปลอกแขนรับหน้าที่เป็นกัปตันทีมฟุตบอลลิเวอร์พูลมานานนับ 12 ปี หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมอย่างเป็นทางการในปี 2003 โดย เฌราร์ อูลีเย (Gérard Houllier) ผู้จัดการทีมในเวลานั้น แทนที่ของเพื่อนร่วมทีมอย่าง ซามี ฮูเปีย (Sami Hyypiä)