ถ้าจะให้เทียบกับโรดทริปครั้งอื่นๆ แล้ว โรดทริปที่ศรีลังกานับเป็นการเดินทางที่น่าจดจำมากที่สุดครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เพราะวิวสวยหรือเพลงเพราะ แต่เป็นบรรยากาศของการท่องเที่ยวที่ ‘เวลา’ กลายเป็นเรื่องสำคัญรองจากเรื่องอื่นๆ …จะยกเว้นก็แค่ตอนจะขึ้นรถเท่านั้นแหละนะ

ฉันยังจำถึงช่วงหนึ่งของทริป ที่เราไปยืนรอรถบัส ณ ข้างถนนอันแสนอ้างว้าง ในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง คนที่นั่นบอกเราว่าคุณต้องไปยืนรอรถ ณ จุดนั้น ในเวลา 6.48 นาทีเท่านั้น เพราะรถบัสนี้เป็นรถโดยสารระหว่างเมืองที่มีเพียงหนึ่งรอบต่อวัน เราก็ไปยืนรออย่างที่บอก ณ จุดที่คาดว่าน่าจะใช่ ซึ่งไร้ป้ายใดๆ แล้วเมื่อถึงเวลา 6.48 นาที รถบัสก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในสายตาอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อขึ้นไปแล้วจึงได้พบว่ารถบัสคันนั้นอัดแน่นไปด้วยผู้โดยสารชายแทบจะล้วน (ที่นี่คล้ายๆ กับอินเดียอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เรามักจะเห็นผู้ชายเต็มไปหมด เพราะผู้ชายต้องทำงานเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนผู้หญิงอยู่บ้านดูแลลูกๆ)

พอหาที่ยืนได้ ก็มีคนพยายามดึงเป้แบ็กแพ็กของฉันออกจากบ่า เมื่อหันไปฉันก็พบกับคนต้นคิดที่ทำท่าประมาณว่าเดี๋ยวเก็บกระเป๋าให้ จะได้ไม่ต้องสะพายหนักระหว่างเดินทาง (แต่ไม่ลุกให้นั่งนะ) แล้วเป้ของฉันก็ถูกส่งผ่านมือของเหล่าเพื่อนร่วมทางไปเรื่อยๆ จนไปถึงคนที่นั่งอยู่หลังสุด ที่บรรจงวางเป้ไว้ใกล้กับตัวราวกับเป็นของตัวเอง จนกระทั่งหลายชั่วโมงผ่านไป เมื่อถึงที่หมายนั่นล่ะ ฉันจึงได้เจอหน้าเป้ของฉันอีกครั้งในแบบที่โล่งใจไม่น้อย เพราะคิดว่าถ้าเป็นที่อื่น เป้ของฉันคงหายไปกับผู้โดยสารมือดีบางคนเสียแล้ว

นี่ล่ะมั้งบทเรียนสำคัญที่ฉันได้เรียนรู้จากทริปนี้ บางครั้ง เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะไว้ใจคนอื่นเสียบ้าง

ก่อนหน้าที่จะออกเดินทาง ศรีลังกาที่จินตนาการไว้ก็คงคล้ายๆ กับอินเดียนี่ล่ะมั้ง มันน่าจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างความสับสนอลหม่าน ความเลอะเทอะและความคลาคล่ำ รวมถึงความหลอกล่อต่างๆ นานา จนกระทั่งได้มาสัมผัสจริงๆ แล้วกลับพบว่าภายนอกโคลัมโบซึ่งเป็นเมืองหลวงนั้นเรียกได้ว่าแตกต่างจากที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมืองเล็กตามรายทางที่เต็มไปด้วยความสงบและมิตรภาพ ซึ่งดูเหมือนความวุ่นวายของทั้งเมืองจะกระจุกอยู่บริเวณสถานีรถ และกลุ่มคนที่ควรระวังจะมีเพียงแค่กลุ่มเดียวเท่านั้น นั่นคือเหล่าสามล้อและพวกหน้าม้าที่มารอต้อนนักท่องเที่ยวนั่นแหละ

หลังจากนอนค้างคืนแรกที่เมืองแคนดี้ เราจับรถเพื่อมายังเมืองนูวาราเอลิยา (Nuwara Eliya) แต่เช้าตรู่ ข้อมูลในไกด์บุ๊กบอกกับเราว่าเมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่โรแมนติกที่สุดในศรีลังกา เพราะนอกจากอากาศจะเย็นสบายแล้ว ยังมีกลิ่นอายโคโลเนียลจากอาคารบ้านช่อง และที่สำคัญยังเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตชาที่สำคัญที่สุด รถบัสคันใหญ่ไร้เครื่องปรับอากาศพาเราไต่ความสูงขึ้นไปช้าๆ ผ่านไร่ชาที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง

หลังจากเป็นแหล่งปลูกซินนามอนและกาแฟอยู่นาน ศรีลังกาหรือซีลอน (Ceylon) เริ่มทำความรู้จักกับพืชที่เรียกว่า ‘ชา’ ผ่านอังกฤษที่ลักลอบนำชาจากจีนเข้ามาทดลองปลูกสมัยอาณานิคม และหลังจากค้นพบว่าเกาะศรีลังกาแห่งนี้มีดินที่อุดมสมบูรณ์และสภาพอากาศที่เอื้อต่อการปลูกชาอย่างยิ่ง ชาวสก็อตนาม เจมส์ เทย์เลอร์ ได้ริเริ่มปลูกชาเพื่อการค้าเป็นคนแรกบนที่ดิน 19 เอเคอร์ใกล้ๆ กับแคนดี้ จนภายหลังการปลูกชาก็เริ่มแพร่หลายและกลายเป็นธุรกิจในเวลาต่อมา และชาที่ปลูกจากที่นี่ก็กลายเป็นที่รู้จักในชื่อของ ‘ชาซีลอน’ ซึ่งได้กลายเป็นธุรกิจสำคัญที่ช่วยหล่อเลี้ยงประเทศศรีลังกาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

หลังจากมาถึงท่ารถและเอาของไปเก็บที่เกสเฮาส์แล้ว ก็ถึงเวลาปฏิบัติภารกิจในการตามหา ‘เปโดร’ กันซะที

‘เปโดร’ ไม่ใช่คน แต่เป็นชื่อไร่ชาชื่อดังที่ตั้งอยู่ในละแวกของเมืองนี้ เราเดินกลับไปยังท่ารถอีกครั้งเพื่อหาวิธีไปยังไร่ชาดังกล่าวที่อยู่ออกนอกเมืองไปหน่อย ซึ่งคนที่ท่ารถก็ชี้ไปที่รถบัสปราศจากป้ายใดๆ ที่มีคนนั่งอยู่เต็ม “คันนี้ไปเปโดร” ฉันกับเพื่อนร่วมทริปหันมามองหน้ากัน… แล้วก็ตกลงใจว่าเอาวะ! ลองดูละกัน

เมื่อได้เวลา รถบัสท้องถิ่นก็พาฉันและเพื่อนร่วมทางออกเดินทางสู่จุดหมาย หลังจากนั่งวิตก (ดันนั่งตรงกลางอีก) ไปต่างๆ นานาว่าแล้วเราจะลงถูกไหม จะมีป้ายบอกรึเปล่า แล้วถ้านั่งเลยจะทำยังไง คนแถวนี้ก็ดูไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ… คำว่า ‘เปโดร’ ดูจะทรงพลังเพียงพอที่จะทำให้เรามาถึงไร่ชาแห่งนี้ได้อย่างสวัสดิภาพ พอเห็นคำว่า ‘Pedro’ ตัวใหญ่เบ้อเร่อโผล่เข้ามาในสายตา รถบัสก็เบรกให้เราลงแทบจะทันที  “เปโดร!” คนขับตะโกนบอกเป็นสัญญาณให้เราก้าวลงจากรถ… กังวลไปซะเยอะ ลงท้ายกลับไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยแฮะ

ไร่ชาเปโดร หรือ Pedro Tea Estate โด่งดังในฐานะผู้ครอบครองบริเวณที่เรียกว่า Lover’s Leap แหล่งปลูกชารุ่นบุกเบิกซึ่งเคยเป็นของเจมส์ เทย์เลอร์ บิดาแห่งชาซีลอนนั่นเอง ส่วนชื่อสุดโรแมนติกนี้มาจากชื่อของน้ำตกที่อยู่ในละแวกเดียวกันที่ได้ชื่อมาจากตำนานท้องถิ่น ที่ว่ากันว่าอยู่ดีๆ วันหนึ่ง คู่รักคู่หนึ่งก็ตัดสินใจมากระโดดน้ำตกตายพร้อมกันอยู่ที่นี่เพื่อประชดชีวิตที่ความรักไม่สมหวัง…

แม้เรื่องราวของโรมิโอกับจูเลียตเวอร์ชั่นศรีลังกานี้ไม่น่าจะเป็นลางดีต่อการนำมาตั้งชื่อสักเท่าไร แต่ปัจจุบัน Lover’s Leap ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของหนึ่งในชาดำที่มีคุณภาพสูงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ซึ่งชิมที่อื่นก็คงไม่อินเท่ากับการชิมที่นี่อยู่แล้ว ทางเปโดรจึงจัดห้องให้ได้จิบชาร้อนชมวิวไร่ชากันได้ตามสะดวก จริงๆ แล้วที่นี่มีบริการทัวร์ไร่ชาเป็นเวลา 20 นาทีด้วย แต่ด้วยความที่เราไปถึงตอนพนักงานพักพอดี ณ ตอนนั้นเลยไม่มีทัวร์ไปโดยปริยาย “แต่คุณลงไปเดินเล่นก่อนก็ได้นะ อีกสักพัก tea ladies ก็จะออกมาทำงานแล้ว” พนักงานที่ร้านชาบอก

เดินไปตามทางเดินในไร่ชาที่วางตัวลดหล่นกันลงไป ใครจะคิดว่าจะไปหลงกับเพื่อนได้ แต่นั่นล่ะ เราประเมินไร่ชาแห่งนี้ต่ำไป เผลอมัวแต่หยุดถ่ายรูปแป๊ปเดียว แค่โค้งหักศอกนิดเดียว ฉันก็มีอันหลงกับเพื่อนร่วมทริปไปเรียบร้อย ท่ามกลางไร่ชาอันแสนอ้างว้าง ที่ไม่มีสัญญาณมือถือหรืออินเทอร์เน็ต … ยืนงงอยู่สักพักว่าจะเอายังไงดีกับชีวิต เพื่อนของฉันก็เดินเลี้ยวโค้งกลับมาในสายตา พร้อมๆ กับเหล่าสาวเก็บชาหรือ tea ladies ที่เดินมาเข้ากะพอดี “ถ่ายรูปพวกเราหน่อยสิ” โอเค… ความรู้สึกเจื่อนๆ ที่หลงกับเพื่อนเริ่มหายไปทีละน้อย

ด้วยความที่คนเก็บชาส่วนใหญ่ในศรีลังกาเป็นชาวทมิฬที่นับถือศาสนาฮินดูที่อังกฤษพามาทำงานตั้งแต่ช่วงอาณานิคม tea ladies ของที่นี่จึงมีบินดิ (bindi) หรือจุดแดงแต้มอยู่กลางหน้าผาก ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นในภาคอื่นๆ ของประเทศที่ไม่ได้มีการปลูกชาเป็นอาชีพหลัก แถมมีประชากรหลักคือชาวสิงหลที่นับถือศาสนาพุทธอีกต่างหาก คิดแล้วก็ตลกดีที่ธุรกิจหลักของประเทศถูกขับเคลื่อนด้วยประชากรชนกลุ่มน้อย แต่ก็นะ… ใช่ว่าทุกอย่างมันจะเป็นอย่างที่เราคิดหรือหวังเสมอไป… คุยกันด้วยภาษามืออยู่สักพัก เหล่า tea ladies ก็บอกลาเราเพื่อไปเริ่มทำงานซะที

เมื่อกลับเข้าเมืองแล้วเห็นว่าเวลายังเหลืออยู่ เราเลือกแวะนั่งพักที่สวน Victoria Park ที่อยู่ไม่ไกลจากท่ารถ แม้ในช่วงที่เราไปจะไม่ใช่หน้าดอกไม้บาน แต่ความเขียวขจีและพื้นที่โล่งกว้างท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายก็ทำให้เคลิ้มอยู่ไม่น้อย… จนกระทั่งน้องๆ นักศึกษาพากันเฮโลเข้ามาในบริเวณที่เรานั่งอยู่นั่นแหละ สาวๆ เริ่มจับกลุ่มกันถ่ายรูป ส่วนหนุ่มๆ ก็เริ่มพากันร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน เมื่อหันมาเห็นเราที่เป็นชาวต่างชาติก็กวักมือชวนให้มาร่วมวงด้วย

มีคนเคยบอกว่าการเดินทางมักพาเรามาพบเจอกับเพื่อนใหม่ๆ อยู่เสมอ เห็นทีจะจริงเช่นนั้น … เราใช้เวลาร้องเต้นอยู่กับพวกเขาที่นั่นนานเท่าไร จำไม่ได้หรอก จำได้แค่ว่าเป็นชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกสนุกมาก

‘เวลา’ อาจเป็นสิ่งสมมติที่ไม่มีอยู่จริง แต่ ‘ความรู้สึก’ นั้นจริงเสมอ

Tags: , ,