ยามใดที่เธอปราศรัยออกไมโครโฟน น้ำเสียงของเธอมักจะเผ็ดร้อน ชูกำปั้นขึ้นสูง และส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นผ่านกระจกแว่นสายตา เหมือนเช่นในปี 1966 ที่ประธานเหมาเจ๋อตุงประกาศให้มีการปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีน และเจียงชิง-ภรรยาของเขาต้องการก้าวขึ้นสู่อำนาจ ผู้หญิงซึ่งดูคล้ายเป็นกระบอกเสียงของประธานเหมา กำลังจะปฏิบัติการขุดรากถอนโคนศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ปราณีในสายตาของสาธารณชน

ธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่มาแต่อดีตจะต้องหายไป หนังสือหนังหาถูกรวบรวมไปทำลาย อนุสาวรีย์ต่างๆ ถูกรื้อถอน งิ้วและการแสดงโบราณกลายเป็นสิ่งต้องห้าม นักปราชญ์ นักคิดนักเขียน รวมถึงครูบาอาจารย์จำนวนมากถูกจับกุมและทำโทษด้วยการทรมาน

ในช่วงเวลานั้น เจียงชิงแต่งงานอยู่กินกับเหมาเจ๋อตุงมาแล้วร่วม 30 ปี เธอไต่เต้าขึ้นมาจากการเป็นนักแสดงแถวหลังในเซี่ยงไฮ้ ยอมหลับนอนกับผู้ชายมากหน้าเพื่อให้มีชีวิตที่ดีกว่า กระทั่งเมื่อเธอมีโอกาสได้ไปร่วมแสดงต่อหน้าประธานเหมาที่ห้องโถงสำนักงานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ในเมืองเหยียนอัน เขาก็หลงใหลในเสน่ห์ของเธอ ผู้หญิงคนอื่นๆ ที่รายล้อมเขาล้วนตัดผมสั้นและสวมเครื่องแบบทหาร ตรงข้ามกับผู้หญิงรักสนุกอย่างเจียงชิง ที่ชอบแต่งหน้าทาปาก และอยากจะเต้นรำมากกว่า

แม่สาวงามดูเหมือนจะกลายเป็นเสี้ยนหนามในสายตาของสหายคนอื่น แต่เหมาเจ๋อตุงก็มุ่งมั่น ทำทุกสิ่งตามใจปรารถนาจนสำเร็จ เขาหย่าขาดจากภรรยาคนเก่า และแต่งงานใหม่กับสาวคนงามในปี 1939 พร้อมตั้งชื่อให้เธอใหม่ว่า เจียงชิง มีความหมายว่า ‘แม่น้ำสีเขียว’ ขณะนั้นเธออายุ 24 ปี ส่วนเหมาเจ๋อตุงสูงวัยกว่าเกือบสองรอบ

“เขาเป็นเหมือนพ่อที่เธอไม่เคยมี” พ่อที่แท้จริงของเจียงชิงเป็นชายขี้เหล้า ชอบใช้ความรุนแรง และเลี้ยงดูเธอในวัยเด็กแบบละเลย เธอจึงเพียรพยายามอย่างหนักเพื่อจะหนีจากสภาพชีวิตแร้นแค้น ไปแสวงหาชีวิตใหม่ที่ดีกว่า พยายามใช้โอกาสทุกครั้งที่มีในการเรียกร้องความสนใจจากผู้คน

คู่ครองคนใหม่ของประธานเหมาไม่เป็นที่ยอมรับของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์โดยง่าย โดยเฉพาะคนระดับสูงของพรรค ที่เสนอเงื่อนไขว่า ‘มาดามเหมา’จะต้องไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะพร้อมประธานเหมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี และเธอจะต้องไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับงานด้านการเมือง ถึงอย่างนั้นก็ตาม เธอก็มีโอกาสได้เต้นรำในโถงที่ทำการของพรรคต่อไป รวมทั้งมีเพลงโปรดจากหนังฮอลลีวูดให้ฟัง ส่วนประธานเหมานั้น นอกจากจะไม่ใส่ใจภรรยาของตนแล้ว เขายังแอบไปมีสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นด้วย

แต่ยิ่งอยู่ในภาวะเก็บกดมากเท่าไร เจียงชิงก็ยิ่งใคร่อยากมีอำนาจมากขึ้นเท่านั้น รวมทั้งยังทวีความเกลียดชังผู้หญิงที่เป็นคู่แข่ง บทบาทการเป็นภรรยาที่น่ารักคอยสนับสนุนสามีอยู่เบื้องหลังไม่เหมาะกับเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเหมาเจ๋อตุงถอยห่างจากเธอมากขึ้น ความรักที่เธอเคยมีต่อเขาก็ยิ่งลดน้อยถอยลง และเหือดหายไปสิ้นในช่วงทศวรรษ 1950s

แต่เจียงชิงนอกจากจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เธอยังไม่มีที่จะไป ปักกิ่งคือสถานีปลายทางสุดท้ายของเธอ และเธอก็ติดอยู่กับเหมาเจ๋อตุง ไม่ว่าสถานภาพชีวิตคู่จะดีหรือร้ายอย่างไร

ทว่าไม่ช้าไม่นาน ประธานเหมาก็หยิบยื่นโอกาสให้กับเจียงชิง เพื่อหวังจะใช้เป็นเครื่องมือยึดเหนี่ยวอำนาจของตนเองไว้ให้มั่น แผนการของเขาก็คือ จะเปลี่ยนจีนเป็นประเทศอุตสาหกรรมให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่แล้วแผนการกลับล้มเหลวจนเกิดเป็นวิกฤต ปี 1958 นโยบาย ‘ก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่’ ทำให้ประชากรกว่า 40 ล้านคนประสบภาวะอดอยาก กระทั่งเหมาเจ๋อตุงต้องลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ก็ยังคงคอยชักใยระบอบการปกครองอยู่เบื้องหลัง

เจียงชิง (ภาพเมื่อปี 1973 จาก AFP)

และเจียงชิงยังเป็นหมากอีกตัวหนึ่งที่คอยช่วยเขากำจัดศัตรูทางการเมืองระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน เธอเองก็มองเห็นโอกาสในการก้าวขึ้นสู่อำนาจ เพียงแต่ต้องแลกกับการล้มล้างทำลายวัฒนธรรมที่ในอดีตเคยมีความหมายสำหรับเธอ

ใครก็ตามที่ยังรักในศิลปะการแสดงแบบงิ้ว ละครรำ ดนตรี หรือภาพยนตร์ คือคอมมิวนิสต์ที่ไม่ดี นั่นเป็นคำอธิบายของเธอ ราวต้นทศวรรษ 1960 เจียงชิงเริ่มประพันธ์เพลงงิ้ว ‘ต้นแบบ’ ที่พระเอกฝ่ายคอมมิวนิสต์มีชัยเหนือผู้ร้ายฝ่ายทุนนิยม แต่ผู้คลุกคลีอยู่วงในไม่วายคาบข่าวมารายงานให้คนข้างนอกฟังว่า เธอเองก็ยังแอบดูหนังฮอลลีวูดอยู่เป็นเนือง

การควบคุมวัฒนธรรมจีนที่ไร้ขีดจำกัดของเธอ ช่วยให้เธอก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่เธอโหยหา และถึงตอนนั้นเธอก็ไม่สนใจเหมาเจ๋อตุงอีกเลย “เซ็กซ์จะดีก็ตอนแรกเริ่มเท่านั้น แต่ที่ยืนยงถาวรคืออำนาจ” เธอเชื่ออย่างนั้น

การขับเคลื่อนกองกำลัง ‘การ์ดแดง’ เพื่อไล่ล่าและล้มล้างของเหมาเจ๋อตุงและเจียงชิงสร้างความตื่นตระหนกและหวาดกลัวไปทั่ว การกำจัดศัตรูทางการเมืองเป็นไปอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่เพื่อนเก่าที่เคยร่วมอุดมการณ์เดียวกันของทั้งสองก็ไม่ได้รับความปรานี นับถึงปี 1976 มีผู้คนเสียชีวิตจากปฏิบัติการไล่ล่ารวมกว่า 2 ล้านคน

ในจิตใจของเจียงชิงคงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น นักวิจารณ์ทางการเมืองเคยกล่าว เธอเคยเป็นคนตัวเล็กและใช้ชีวิตเก็บกดอดกลั้นมาโดยตลอด จนกระทั่งมีโอกาสก้าวขึ้นสู่อำนาจ เธอคิดบัญชีกับทุกคนอย่างหนำใจ

ความเคียดแค้นชิงชังของเธอยังคุกคามไปถึงหวังกวงเหม่ย ภรรยาของหลิวเส้าฉี-ประธานาธิบดีจีนคนที่เหมาเจ๋อตุงหนุนขึ้นนั่งตำแหน่งประมุขแทนเขาในปี 1959 ระหว่างเดินทางไปเยือนอินโดนีเซียในปี 1963 เธอสวมชุดกี่เพ้ารัดรูป ถุงน่อง และรองเท้าส้นสูง เหตุการณ์ผ่านมาถึงช่วงพีคของการปฏิวัติวัฒนธรรม เจียงชิงเป็นคนปลุกกระแสให้เกิดม็อบต่อต้านหวังกวงเหม่ยขึ้นในกรุงปักกิ่ง กล่าวหาเธอว่าประพฤติตัวไม่เหมาะสม แต่งกายและใส่เครื่องประดับที่สะท้อนความเป็นทุนนิยม สุดท้ายจบลงที่หวังกวงเหม่ยถูกจับ ถูกตัดสินลงโทษจำคุก 12 ปี ส่วนหลิวเส้าฉี-สามีของเธอถูกแยกขัง และเสียชีวิตในห้องขังโดยที่เธอไม่มีโอกาสรับรู้

มาดามเหมาที่ประชาชนเริ่มชิงชังนับวันยิ่งมีอำนาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเธอก็กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่มีตำแหน่งทางการเมืองของจีน เพียงแต่แผนการที่จะสืบทอดอำนาจต่อจากสามีของเธอไปไม่ถึงฝั่งฝัน หลังจากเหมาเจ๋อตุงเสียชีวิตในวันที่ 9 กันยายน 1976 เจียงชิงก็ตกเป็นเหยื่อของศัตรูฝ่ายตรงข้าม นำโดยเติ้งเสี่ยวผิง ที่ต่อมาได้ครองอำนาจการปกครองจีนจนถึงปี 1997

จากที่เคยเป็นสตรีหมายเลขหนึ่ง มาบัดนี้เจียงชิงกลายเป็น ‘นางปีศาจกระดูกขาว’ ตามคำสาปแช่งของมวลชน ในการไต่สวนคดีเมื่อวันที่ 25 มกราคม 1981 ซึ่งมีผู้คนติดตามดูทางทีวีนับล้านคน เธอถูกตัดสินความผิดด้วยโทษประหารชีวิต แต่ระหว่างการควบคุมตัวเพื่อรอรับโทษนั้น ศาลมีคำสั่งลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต

เจียงชิง ขณะฟังคำพิพากษาศาลสูงพิเศษ ที่ตัดสินลงโทษประหารชีวิต (ภาพเมื่อ 25 มกราคม 1981 จาก XINHUA / AFP)

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอปฏิบัติตามคำสั่งของประธานเหมาเท่านั้น เธอให้การต่อหน้าคณะศาล “ฉันเป็นแค่หมารับใช้ของเหมา เมื่อท่านประธานสั่งให้ฉันกัด ฉันก็กัด”

ปี 1991 เจียงชิงได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำไปสู่การกักขังบริเวณที่บ้านพัก โรคมะเร็งทำให้สภาพร่างกายของเธอทรุดหนัก และมีอาการเพ้อคลั่ง ประเทศที่แต่ก่อนเคยตกอยู่ภายใต้อำนาจของเธอนั้น กลายเป็นประเทศที่แปลกปลอมสำหรับเธอ

สิบวันต่อมา เธอแขวนคอตัวเองในห้องน้ำ เสียชีวิตอยู่ภายในบ้านพัก   

 

อ้างอิง:

   

Fact Box

เจียงชิง เป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวช่างไม้ เกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 1914 ในจูเฉิง มณฑลซานตง พ่อและแม่ของเธอแยกทางกันเมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็ก เธอต้องใช้ชีวิตอยู่กับพ่อขี้เหล้า ที่มักแสดงอารมณ์เคียดแค้น และชอบใช้ความรุนแรง กระทั่งเธออายุ 12 ปีก็หนีไปกับแม่ ไปอยู่ที่เมืองเทียนจิน ซึ่งไม่ได้สุขสบายไปกว่าเก่า ซ้ำยังต้องทำงานหาเงินในโรงงานยาสูบ สองปีถัดจากนั้นแม่ของเธอย้ายที่อยู่อีกครั้ง คราวนี้พาไปตั้งรกรากกันที่เมืองจี่หนาน ที่ซึ่งเธอมีโอกาสได้เข้าโรงเรียนการแสดง และค้นพบสิ่งที่เธอชื่นชอบในชีวิต เจียงชิงเคยผ่านการแต่งงานมาก่อนถึง 3 ครั้ง ก่อนก้าวสู่ช่วงสูงสุดและต่ำสุดของชีวิตที่ข้างกายของเหมาเจ๋อตุง

Tags: , ,