เช้าวันนั้นเขาตื่นแต่เช้าเช่นปกติ พยุงร่างสูง 183 เซนติเมตร น้ำหนักตัว 100 กิโลกรัมลุกขึ้นจากเตียง เขาคงรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของกระดูกและกล้ามเนื้อที่เขาไม่เคยใยดีกับมัน เขาเคยผ่าตัดกระดูกมาแล้วถึงหกครั้งในชีวิต เคยรอดชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์รวมทั้งเครื่องบินตก บริเวณขาของเขายังมีสะเก็ดระเบิดฝังอยู่ตรงไหนสักแห่ง เป็นที่ระลึกจากการสู้รบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ว่าแต่เขายังจดจำได้ดีอยู่หรือไม่…ไม่มีใครรู้ สมองในซีกความจำของเขาได้รับการกระทบกระเทือนจากการบำบัดด้วยกระแสไฟฟ้า เนื่องจากหลายเดือนก่อนหน้านั้นเขาเริ่มป่วยด้วยโรคซึมเศร้า และเพิ่งออกจากคลินิกมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

เขาพยุงตัวลุกขึ้น หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเดินตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ แต่เช้าวันนั้นไม่ใช่ เขายังมีต้นฉบับเขียนค้างอยู่สามเล่ม คั่งค้างอยู่เพราะเขาเขียนไม่ออก ระหว่างนั้น-ในหนึ่งสัปดาห์เขาเขียนได้เพียงสามบรรทัด และในอีก 19 วันเขาก็จะมีอายุครบ 62 ปีแล้ว

เขาหยิบเสื้อคลุมสีแดงขึ้นสวมทับชุดนอน ที่นอกหน้าต่างสามารถมองเห็นวิวภูเขาร็อกกี ปลายยอดของมันมีหิมะสีขาวโพลนปกคลุมอยู่ เป็นโลกในป่าภูเขาอย่างที่เขารัก เขาย่างเท้าเดินไปบนพรมหนา แค่แปดก้าวเขาก็เดินถึงหน้าประตูห้องที่ภรรยาของเขานอนหลับอยู่ เขาย่องเดินเงียบๆ บนพื้นบ้านที่สร้างจากปูน ภรรยาของเขาเรียกบ้านในเมืองเค็ตชัม รัฐไอดาโฮหลังนี้ว่า ‘บล็อกเฮาส์’ หรือบังเกอร์ดีๆ นี่เอง เขาก้าวลงบันไดไป 14 ขั้น เลี้ยวขวา และเดินลงไปอีก 3 ขั้นก็ถึงห้องนั่งเล่น

เขาเดินเข้าไปในห้องครัว ที่ซึ่งมีกุญแจตู้เก็บอาวุธปืนแขวนอยู่ ภายในห้องไม่มีกลิ่นอาหาร เมื่อคืนเขากับภรรยาออกไปรับประทานอาหารมื้อค่ำกันที่ร้านคริสเทียเนีย เขาสังเกตเห็นผู้ชายจากเอฟบีไออีกแล้ว เขาไม่เข้าใจ ทำไมคนพวกนี้ถึงคอยสะกดรอยตามเขาอยู่ตลอดเวลา หรือบางทีอาจจะเป็นคนที่ฟิเดล คาสโตรส่งมา

เขาเดินขึ้นบันไดอีกครั้งไปยังโรงรถ ขั้นบันไดแคบและชัน 14 ขั้น เลี้ยวขวา และอีก 4 ขั้นเขาก็ไปยืนที่หน้าตู้เก็บอาวุธปืน เปิดบานประตู และหยิบปืนลูกซองแฝดออกมา

เขาเดินผ่านห้องนั่งเล่นกลับไปที่โถงทางเดิน มีเสียงน้ำหลากให้ได้ยินจากแม่น้ำบิกวูด ที่อยู่ไม่ห่างออกไป มีกลิ่นหญ้าอ่อนๆ จากป่าสน เขาปิดล็อกประตูห้องนั่งเล่นเมื่อก้าวพ้นออกมา และหยุดยืนที่ด้านหน้าลังไม้โอ๊ค บนผืนพรมน้ำมัน ที่ผนังห้องมีตะขอแขวนเสื้อสี่ตัว บนเพดานประดับโคมไฟโลหะ ตลอดแนวผนังมีท่อระบายความร้อน ผ่อนถ่ายลมหายใจของโลกใต้ดิน เขาทรุดลงนั่ง วางปืนเป็นแนวขนานลำตัวก่อนเหนี่ยวไก ชั่วขณะนั้นเป็นเวลา 7.30 นาฬิกาของวันที่ 2 กรกฎาคม 1961 และเป็นวันอาทิตย์ที่แสงแดดจัดจ้า

ปี 1959 เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ (Ernest Hemingway) ยังคร่ำเคร่งกับการเขียนงาน เขาเป็นนักเขียนที่เข้มงวดกับกิจวัตรประจำวัน ตื่นนอนแต่เช้าเพื่อลุกขึ้นมาเขียนหนังสือ จนถึงเวลาสิบโมงเช้าเขาจะไปที่สระว่ายน้ำ ว่ายน้ำเป็นไมล์ๆ

“ฉันไม่เคยเห็นเขาเมาเลยแม้สักครั้ง” แวเลอรี เฮมิงเวย์ (Valerie Hemingway) อดีตผู้ช่วยของเขาในคิวบาเคยเล่า หลังจากเฮมิงเวย์เสียชีวิต เธอแต่งงานกับเกรกอรี (Gregory) ลูกชายจากพอลีน ไฟฟ์เฟอร์ (Pauline Pfeiffer) ภรรยาคนที่สองของเขา “ฉันรู้ว่าการดื่มเป็นอย่างไร พ่อของฉันเองก็เคยติดเหล้า เฮมิงเวย์ดื่มเยอะก็จริง แต่เขาก็ดื่มอย่างมีสติทุกครั้ง เขาพูดช้าๆ ระมัดระวังคำพูด ใครที่เคยพูดคุยกับเขาจะรู้ว่า เขาไตร่ตรองหาคำพูดทุกขณะที่สนทนา”

กระทั่งเดือนมีนาคม 1960 เฮมิงเวย์เริ่มมีปัญหากับการเขียนงาน ปัญหาดังกล่าวน่าจะสืบเนื่องจากภาวะซึมเศร้า แต่ในยุคนั้นยังไม่มีใครรับรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า เดือนพฤษภาคมปี 1960 เขาเริ่มเปรยกับแวเลอรีถึงเรื่องการฆ่าตัวตาย จากนั้นมันก็เริ่มครอบงำเขา แม้ว่าในอดีตเขาเคยตำหนิคลาเรนซ์ เอ็ดมอนด์ส เฮมิงเวย์ (Clarence Edmonds Hemingway) พ่อของเขาเองที่ทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อปี 1928 ด้วยปืนรีโวลเวอร์ยี่ห้อ Smith & Wesson ของพ่อตัวเอง

ในตระกูลเฮมิงเวย์ ไม่เพียงแต่เออร์เนสต์และพ่อของเขาเท่านั้นที่ทำอัตวินิบาตกรรม หากยังมีสมาชิกในครอบครัวอีกสามคน คือ เออร์ซูลา (Ursula) น้องสาว เลซเตอร์ (Leicester) น้องชายคนสุดท้อง และ 35 ปีหลังจากเออร์เนสต์เสียชีวิต มาร์โกซ์ เฮมิงเวย์ (Margaux Hemingway) หลานสาวซึ่งมีอาชีพเป็นนางแบบและนักแสดง ก็จบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตายเหมือนกัน

ยารักษาโรคความดันของเฮมิงเวย์อาจมีส่วนทำให้เขาเริ่มเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า กลายเป็นชายชราสีหน้าอิดโรย ผมสีขาว สีผิวซีด และคิดเขียนอะไรไม่ออกอีก บ่อยครั้งเขาต้องนั่งน้ำตาไหลอยู่ด้านหน้ากระดาษเปล่า ในสมองของเขาครุ่นคิดแต่เรื่องฆ่าตัวตาย ครั้งหนึ่งตอนที่มีคนนำตัวเขาส่งเข้ามาโยคลินิกในร็อคเชสเตอร์ เขาเคยพยายามพุ่งตัวเข้าไปในใบพัดหมุนของเครื่องบิน แต่ไม่สำเร็จ

ช่วงปีสุดท้ายในชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความหวาดผวา เฮมิงเวย์รู้สึกคล้ายตนเองกำลังถูกสะกดรอยตาม จากเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร จากเอฟบีไอ หรือจากหน่วยงานกองเซ็นเซอร์ เขาเพ้อพกไปถึงขั้นว่า ผู้คนเหล่านั้นหวังจะเล่นงานเขาระหว่างเขาเข้ารักษาตัวที่คลินิก

แมรี (Mary) ภรรยาม่ายคนที่สี่ของเฮมิงเวย์ ไม่ปรารถนาจะให้ปืนลูกซองแฝดกระบอกนั้นมีอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป เธอจึงส่งมอบให้กับเพื่อนสนิทของเธอ เพื่อนคนนั้นส่งต่อให้กับเจ้าของร้าน บรูคส์ เวลดิง ทุกวันนี้ทายาทของบรูคส์ยังมีชีวิตอยู่ ที่ถนนวอร์มสปริงส์ เมืองเค็ตชัม ในกิจการโล่งร้าง ตามสภาพวิกฤตทางเศรษฐกิจของอเมริกา

แอลเลน บรูคส์ (Allen Brooks) ทายาทวัยชรา พูดเล่าระหว่างหยิบกระป๋องพลาสติกที่มีหนังสติ๊กรัดแน่นออกจากตู้ ครอบครัวของเขาและเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์เคยพบเจอและสนิทสนมกันในช่วงฤดูหนาวปี 1960-1961 “เมื่อก่อนเราเคยมีกิจการเครื่องกวาดหิมะ หมอประจำบ้านเราก็เป็นเพื่อนสนิทกับครอบครัวเฮมิงเวย์ พวกเขาเคยจัดงานเลี้ยงกัน จัดกันหนักเลย จนหิมะฝังกลบทางเข้าบ้าน พ่อกับผมต้องขนเครื่องกวาดหิมะไปช่วย หลังจากนั้นเราก็ฉลองกันต่อจนถึงตีหนึ่ง ผมต้องขอตัวกลับ เพราะต้องกลับไปที่มหาวิทยาลัยในตอนเช้า”

กระทั่งบรูคส์เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านอีกครั้ง พ่อของเขาก็ยื่นชิ้นส่วนของปืนลูกซองแฝดที่เฮมิงเวย์ใช้ยิงตัวตายให้ดู “พ่อบอกว่า นี่เป็นชิ้นส่วนที่เหลือ ที่เพื่อนสนิทของเฮมิงเวย์นำมาให้พ่อที่ร้าน และบอกว่าช่วยทำลายมันเป็นชิ้นๆ ด้วย พ่อจัดการตัดมันเป็นสามส่วน แล้วใส่มันไว้ในกล่อง ให้พวกเขานำไปฝังไว้ในไร่”

พื้นที่ไร่ดังกล่าวปัจจุบันเป็นบ้านพักของอดัม ที. เวสต์ (Adam T. West) เจ้าของบทบาท ‘แบตแมน’ เมื่อทศวรรษ 1960s กระทั่งพ่อแม่ของบรูคส์เสียชีวิตไป ก็ทิ้งชิ้นส่วนที่เหลือของปืนกระบอกนั้นในกระป๋องพลาสติกเป็นมรดก

“มันเป็นปืนดับเบิลยู. & ซี. สก็อตต์ & ซัน 12 เกจ นี่คือตัวล็อกไกที่แยกลำกล้องคู่ออกจากกัน พ่อผมต้องใช้เครื่องบัดกรีตัดมันออกจากกัน” เขาใช้มือสัมผัสมันอย่างอ่อนโยน “เฮมิงเวย์ต้องใช้นิ้วเท้ากดมันแน่ๆ เพราะกระบอกปืนยาวมาก”

บรูคส์เคยคิดจะนำชิ้นส่วนของปืนกระบอกนี้ไปประมูลขายผ่านช่องประวัติศาสตร์ ซึ่งมีรายการโชว์ Pawn Stars ที่มักจะเสนอขายข้าวของจากความทรงจำของผู้คน แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิด

นอกจากนั้นเขายังมีความเห็นเรื่องที่เฮมิงเวย์เลือกใช้ปืนยาว แทนที่จะเป็นปืนสั้นอีกด้วยว่า

“คงเพราะเขาอยากให้มันจบในคราวเดียวมั้ง เขารู้จักอาวุธปืนดีมาก ผมเองก็รู้จักใครหลายคนที่ใช้รีวอลเวอร์ยิงศีรษะตัวเองแล้วยังรอดชีวิต ถ้าเป็นเฮมิงเวย์ด้วยแล้วละก็ ผมว่าเขาเลือกถูกแล้ว”

 

อ้างอิง:  

Tags: , , ,