สำนักข่าวกรองกลาง หรือซีไอเอ เปิดเผยรายงานจากปี 1942 เกี่ยวกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ผ่านช่องทางออนไลน์ เนื้อหาของรายงานฉบับนั้นกล่าวถึงพฤติกรรมของผู้นำเผด็จการที่ดูเหมือนจะถูกปิดบังอำพรางมานานหลายสิบปี

ในรายงานระบุว่า ‘ผู้นำ’ เป็นไบเซ็กชวล และนิยมชมชอบกิจกรรมทางเพศที่ใช้ความรุนแรง และท้ายสุดยังแสวงหาสัมพันธ์รักที่ยั่งยืน จะว่าไปแล้วข้อกล่าวหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ อีกทั้งตราบถึงปัจจุบันก็ยังปราศจากหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน

ต่อคำถามที่ว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เป็นโฮโมเซ็กชวล และมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับผู้หญิงหรือไม่ นักประวัติศาสตร์และนักสังเกตการณ์เฝ้าติดตามหาคำตอบมานานแล้วตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองกำลังปะทุ หลายคนมีความเชื่อว่าฮิตเลอร์มีแนวโน้มเป็นโฮโมเซ็กชวล แต่ก็ไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้กระทั่งถึงทุกวันนี้

หน่วยงานซีไอเอในต่างประเทศที่นำเอารายงานจากปี 1942 มาเปิดเผย อ้างถึงคำให้การของชายที่ชื่อ แอร์นสต์ ‘พุตซี’ ฮันฟ์ชตาเองเกิล (Ernst ‘Putzi’ Hanfltaengl) โดยเป็นรายงานที่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่เป็นความลับแล้วตั้งแต่ปี 2000 แต่เพิ่งเปิดเผยฉบับเต็มให้สาธารณชนเข้าถึงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตได้เมื่อเร็วๆ นี้

 

ใครคือ แอร์นสต์ ‘พุตซี’ ฮันฟ์ชตาเองเกิล

แอร์นสต์ ‘พุตซี’ ฮันฟ์ชตาเองเกิล เคยเป็นนายทหารคนสนิทที่ฮิตเลอร์ไว้วางใจ ในรายงานมีการอำพรางชื่อของเขาว่า ‘ดร. เซดจ์วิกส์’ (Dr. Sedgwicks) เคยใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกา สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และทำงานเป็นผู้จัดการสาขาของสำนักพิมพ์หนังสือศิลปะแห่งหนึ่ง

ปี 1919 เขาเดินทางกลับไปมิวนิก และด้วยความชื่นชมในตัวอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เขาจึงสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคนาซี (NSDAP) เขามีความสัมพันธ์แนบแน่นกับผู้คนในสังคมชั้นสูงของมิวนิก และใช้โอกาสนั้นจัดกิจกรรมเรี่ยไรเงินให้กับพรรคและฮิตเลอร์

เดือนพฤศจิกายน 1923 ฮันฟ์ชตาเองเกิลเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏของฮิตเลอร์ในการแย่งชิงอำนาจจากสาธารณรัฐไวมาร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ระหว่างที่ฮันฟ์ชตาเองเกิลสามารถหลบหนีไปซัลบวร์กได้ ฮิตเลอร์ก็หนีไปซ่อนตัวที่บ้านชนบทของฮันฟ์ชตาเองเกิลในเมืองอุฟฟิง อัม ชตัฟเฟลเซ แต่ก็หลบซ่อนตัวอยู่ได้เพียงไม่กี่วัน ฮิตเลอร์ก็ถูกตำรวจบาวาเรียจับกุมตัวได้ หลังจากฮิตเลอร์ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระแล้ว เขาก็ยังคงติดต่อกับฮันฟ์ชตาเองเกิล

ในปี 1932 หลังจากขึ้นครองอำนาจ ฮิตเลอร์ก็ตอบแทนฮันฟ์ชตาเองเกิลด้วยตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายข่าวต่างประเทศ

จากแฟนคลับกลายเป็นศัตรู

ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ฮันฟ์ชตาเองเกิลเกิดไปมีความขัดแย้งกับนโยบายการเมืองของ ‘ผู้นำ’ เข้า จนถึงขั้นฮิตเลอร์ต้อง ‘สั่งเก็บ’ แต่โชคดีที่เขาหลบหนีออกจากเยอรมนีได้ และเดินทางจากอังกฤษไปแคนาดา สุดท้ายในปี 1942 เขาก็เข้าสหรัฐอเมริกา ก่อนได้รับการติดต่อจากหน่วยสืบราชการลับของ OSS (Office of Strategic Services สำนักบริการด้านยุทธศาสตร์) ให้ไปเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับฮิตเลอร์

ในเอกสารจำนวน 68 หน้า ซึ่งลงวันที่ 3 ธันวาคม 1942 มีหลายประเด็นกล่าวถึงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อย่างเช่น ลักษณะนิสัยของฮิตเลอร์เป็นอย่างไร ชอบกินหรือดื่มอะไร เตรียมการปราศรัยอย่างไร เป็นต้น เฮนรี ฟีลด์ (Henry Field) เจ้าหน้าที่ของซีไอเอ เป็นผู้รวบรวมและบันทึกรายงานฉบับนี้ หลังจากได้สอบถามฮันฟ์ชตาเองเกิล และบริดเจ็ต ฮิตเลอร์ (Bridget Hitler) พี่สะใภ้ของฮิตเลอร์ รายงานฉบับดังกล่าวกลายเป็นข้อมูลสำหรับนักการเมืองหัวแถวของสหรัฐอเมริกาในการศึกษาด้านจิตวิทยาของผู้นำเผด็จการเยอรมัน ที่ดึงเอายุโรปและสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงคราม

ฮิตเลอร์ชื่นชอบหนังตลกของยิวและดนตรียิปซี

ในรายงานยังระบุถึงรสนิยมของฮิตเลอร์บางอย่างที่คนอาจจะประหลาดใจ เช่น ชอบดนตรียิปซีและหนังตลกของชาวยิว นอกจากนั้น เฮนรี ฟีลด์ยังบันทึกเกี่ยวกับเรื่องเพศและพฤติกรรมทางเพศของฮิตเลอร์ด้วย โดยเขาสรุปเอาในตอนท้ายว่า ฮิตเลอร์เป็นไบเซ็กชวล เคยมีเพศสัมพันธ์กับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ชอบกิจกรรมทางเพศที่รุนแรง หรือซาโด-มาโซคิสม์

จากคำบอกเล่าของฮันฟ์ชตาเองเกิล ทำให้ฟีลด์ยังเชื่อด้วยว่า ฮิตเลอร์โหยหาความรักจากผู้หญิงอยู่ตลอดเวลา เอวา บราวน์ (Eva Braun) เคยใช้ชีวิตร่วมกับฮิตเลอร์ตลอดช่วงเวลาหลายปี แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งสองนั้นไม่ปรากฏข้อมูลชัดเจน จากปากคำของฮันฟ์ชตาเองเกิลในปี 1942 ก็ไม่มีคำตอบต่อเรื่องนี้

ในช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเวียนนาก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฮันฟ์ชตาเองเกิลเชื่อว่าฮิตเลอร์น่าจะยังไม่มีเพศสัมพันธ์แบบคนรักเพศเดียวกัน และเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัว หลงตัวเอง แสวงหาสัมพันธ์รักจากผู้หญิง จนบางครั้งถึงกับแสดงออกด้วยอารมณ์บ้าคลั่ง “พฤติกรรมทางเพศของฮิตเลอร์เป็นอะไรที่ไม่ปกติธรรมดา” ฟีลด์บันทึกความเห็นของเขาลงในรายงาน

 

จุดเริ่มต้นรักร่วมเพศของ ‘ว่าที่ผู้นำ’

อย่างช้าที่สุด พฤติกรรมรักเพศเดียวกันของฮิตเลอร์น่าจะเกิดขึ้นที่เรือนจำลันด์สแบร์ก ที่ซึ่งเขาถูกคุมขังตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1923 หลังจากก่อการปฏิวัติไม่สำเร็จ และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแอร์นสต์ เริห์ม (Ernst Röhm) ผู้บังคับบัญชากองพันพายุ (SA – Sturmabteilung) ในเวลาต่อมา ฮิตเลอร์ยังมีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มคนอื่นที่ต้องขังอยู่ในเรือนจำลันด์สแบร์ก นั่นคือ รูดอล์ฟ เฮสส์ (Rudolf Hess) ที่ต่อมาได้รับตำแหน่ง ‘ผู้ช่วยผู้นำ’ เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชมฮิตเลอร์ และใกล้ชิดสนิทสนมมากระหว่างต้องขังอยู่ในเรือนจำด้วยกัน

“โดยเฉพาะหนุ่มเฮสส์คนนี้ ที่เขาประหวัดคิดถึงอยู่ตลอดเวลา” เป็นข้อความบันทึกของฟีลด์ ฮิตเลอร์เคยเรียกขานหนุ่มคนนี้ในช่วงเวลานั้นว่า “เฮสเซิร์ลของฉัน’

นับตั้งแต่ปี 1930 ฮิตเลอร์เริ่มไหวตัวว่าเรื่องราวในอดีตอาจย้อนกลับมาทำร้ายเขา เขาจึงเริ่มถอยห่างจากความสัมพันธ์ และบ่อยครั้งก็ตอบโต้ใครที่คิดจะเปิดเผยเรื่องของเขาด้วยท่าทีที่เยือกเย็น กระทั่งถึงเวลาคิดบัญชี วันที่ 30 มิถุนายน 1934 ฮิตเลอร์ไม่เพียงแต่สั่งการให้คนไปฆ่าแอร์นสต์ เริห์มเท่านั้น หากยังสั่งให้ตามเก็บทุกคนในสังคมคนรักเพศเดียวกันในมิวนิกที่ร่วมรับรู้ความลับ

หลังจากเริห์มเสียชีวิต ฮันฟ์ชตาเองเกิลเพิ่งมีโอกาสรับรู้ว่า ชื่อเล่นของรูดอล์ฟ เฮสส์ภายใต้กลุ่มนาซีที่เป็นคนรักเพศเดียวกันก็คือ ‘ฟรอยไลน์ (นางสาว) อันนา’ นอกจากนั้นยังเป็นที่รับรู้โดยทั่วไปอีกว่า แต่ก่อนเฮสส์เคยไปร่วมงานเต้นรำด้วยเครื่องแต่งกายผู้หญิง ถึงกระนั้น หลักฐานที่ยืนยันว่าเฮสส์เป็นเกย์หรือไม่นั้นก็ไม่เคยมีปรากฏ หลังจากพ้นโทษออกจากเรือนจำเพียงไม่นาน เฮสส์เข้าพิธีแต่งงานกับภรรยา ซึ่งฮันฟ์ชตาเองเกิลเชื่อว่าเป็นคำแนะนำแกมบังคับของฮิตเลอร์

ภายหลังเริห์มถูกฆ่า ฮันฟ์ชตาเองเกิลรับรู้ข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ จากแวดวงคนรักเพศเดียวกันที่เป็นนาซี และทำให้เขาเริ่มเห็นภาพฮิตเลอร์เป็นซาโดมาโซคิสต์ หรือคนนิยมความรุนแรงทางเพศ

 

แรงขับเคลื่อนจากเซ็กซ์ที่ล้มเหลว

ต้นปี 1933 ก่อนที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์จะคุมบังเหียนอำนาจ เขามีที่พำนักอยู่ที่โรงแรมไคเซอร์โฮฟ ในกรุงเบอร์ลิน และมีโสเภณีแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนสม่ำเสมอ ฮิตเลอร์ไม่เคยอยู่กับผู้หญิงคนไหนคนเดียวตามลำพัง ทุกครั้งมักจะมีผู้หญิงสองคน หรือไม่ก็ผู้หญิงหนึ่งคนและผู้ชายหนึ่งคน เรื่องที่อ้างถึงว่า ฮิตเลอร์มักจะพกแส้และใช้มันเพื่อปลดปล่อยทางเพศนั้น สำหรับฮันฟ์ชตาเองเกิลแล้ว เขาเชื่อว่านั่นคือสิ่งทดแทนความไร้สมรรถภาพทางเพศของฮิตเลอร์เอง

ฮันฟ์ชตาเองเกิลยังเชื่ออีกว่า แม้ฮิตเลอร์จะชอบหรือหมกมุ่นกับเรื่องเซ็กซ์ก็ตาม แต่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงจริงๆ สักครั้ง และความล้มเหลวในเรื่องเพศและผู้หญิงนี่เอง ที่เป็นแรงผลักดันให้ฮิตเลอร์พยายามถีบตัวออกห่างจากชีวิตจริง

เฮนรี ฟีลด์ได้ข้อสรุปจากคำบอกเล่าของฮันฟ์ชตาเองเกิลว่า ชีวิตเซ็กซ์ของฮิตเลอร์ไม่ต่างอะไรกับการเมืองของเขา เขาเป็นได้ทั้งเกย์ ชายแท้ ซ้ายและขวาจัด เป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย – ขณะที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ตัวจริงนั้นยากที่จะมีใครวิเคราะห์ แต่ก็มีข้อเท็จจริงบางอย่างที่บ่งชี้ว่า นอกจากเขาจะไม่ไยดีกับสถานภาพทางเพศของตนเองแล้ว เขายังสับสนกับมันอีกด้วย

อย่างไรก็ดี นักประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบันหลายคนไม่เห็นด้วยกับรายงานเกี่ยวกับชีวิตเซ็กซ์ของฮิตเลอร์ รวมถึงฝ่ายที่ปรึกษาของอดีตประธานาธิบดีแฟรงคลิน รูสต์เวลต์ (Franklin Roosevelt) ด้วยเช่นกัน ที่มองว่ามันไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรมากมาย จึงมีคำสั่งระงับการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับฮิตเลอร์ไปในปี 1944

ดังนั้นข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศของฮิตเลอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายงานฉบับนี้ จึงไม่ได้รับการยอมรับว่ามีผลผูกพันกับฮิตเลอร์ได้

หากเมื่อถูกนำออกมาเผยแพร่แล้ว มันก็ทำหน้าที่เพียงสนองตอบความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนในยุคนี้เท่านั้น  

 

อ้างอิง:

Tags: , , , , ,