วันที่ 9 สิงหาคม ของปีนี้ Slipknot วงเมทัลระบือนามแห่งสหรัฐอเมริกา จะปล่อยสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ชื่อ We Are Not Your Kind ออกมาให้สาวกได้อุดหนุนกันตามช่องทางต่างๆ ทั้ง CD, แผ่นเสียง, Streaming พร้อมทัวร์คอนเสิร์ตทั่วยุโรปกับอเมริกา เชื้อเชิญแฟนคลับออกมาโยกหัวกันอย่างเมามันถึงสิ้นปี

นึกแล้วก็ตกใจเหมือนกันว่าวงร็อคฉายา ‘9 หน้ากากนรก’ ที่กำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 1995 จากการรวมตัวของเหล่าคนดนตรีในแวดวงเมทัลซีนที่ Iowa จะมีอายุยืนยาวมาถึง 24 ปีแล้ว แถมยังคงรักษาความนิยมระดับแนวหน้าไว้ได้ด้วย ขณะที่วงร่วมยุคสมัยนูเมทัลครองเมืองที่โด่งดังมาด้วยกันต่างแยกย้ายล้มตาย ความนิยมตก หายตัวไปจากวงการกันเยอะ

Slipknot ยังยืนหยัดอยู่ในกระแสธารดนตรีโลกได้อย่างสง่าผ่าเผยถึงวันนี้ หากถามว่าเพราะอะไร เมื่อผู้เขียนลองนึกเหตผลดูก็พอจะพบเจอ ‘คำตอบ’ สำหรับคำถามนี้ได้เหมือนกัน

หน้าปกอัลบั้มใหม่ We Are Not Your Kind ที่จะออกปีนี้ (ภาพ – FB Slipknot)

 

ย้อนไปเมื่อปี 1999 ยุคสมัยที่ดนตรีร็อกสไตล์ Nu-Metal ครองโลกและชาร์ตเพลงต่างๆ วงเมทัลที่มีกิมมิคประหลาด ใส่ชุดฟอร์มสีส้มพร้อมหน้ากากสุดสยอง แถมมีสมาชิกมากถึง 9 คน (แบ่งเป็น 2 วงยังได้) ยื่นนามบัตรเปิดตัวแก่คอเพลงสายโลหะนรกได้รู้จักด้วยสตูดิโออัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวง ‘Slipknot’  พวกเขาแจ้งเกิดในเวลาไม่นานด้วยบทเพลงสไตล์เมทัลสุดปั่นป่วน, เสียงหวดกลองกับเพอร์คัสชั่นที่โหมกระหน่ำดั่งปืนกล, กีต้าร์คู่ที่สอดประสานริฟฟ์กันได้อย่างเข้าขา, เสียงสำรอกที่โหดลากไส้ พร้อมเนื้อเพลงก่นด่าโลกและสังคมอันแสนเน่าเฟะโดนใจวัยรุ่นวัยขบถอย่างแรง

ชื่อของ Slipknot เข้าไปอยู่ในใจแฟนเพลงร็อกอย่างง่ายดายด้วยบทเพลงและลีลาแสดงสดอันบ้าคลั่ง เดือดดาล ก่อนจะออกอัลบั้มตอกย้ำความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่ Iowa (2001), Vol. 3: The Subliminal Verses (2004), All Hope Is Gone (2008), .5: The Gray Chapter (2014) และ We Are Not Your Kind ที่จะออกในเดือนสิงหาคมปีนี้ โดยปล่อย 2 เพลงอย่าง All Out Life กับ Unsainted มาเรียกน้ำย่อย แล้วก็ได้กระแสตอบรับที่ดีจากแฟนเพลงแบบอบอุ่น รวมถึงหน้ากากที่เปลี่ยนทุกอัลบั้ม สร้างความฮือฮาได้เสมอ

แน่นอนว่า 24 ปีบนเส้นทางดนตรีโลก Slipknot ไม่ได้เดินผ่านทางที่โรยกลีบกุหลาบทุกครั้ง พวกเขาทำยอดขายอัลบั้มได้กว่า 30 ล้านชุดทั่วโลก, ได้รางวัลแกรมมี่ประดับบารมีเมื่อปี 2006 กระนั้นสมาชิกทั้ง 9 ก็ต้องเจออุปสรรค, การสูญเสีย และความขัดแย้งเหมือนวงอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอกับทุกวง แต่ก็ไม่ใช่กับทุกวงที่ผ่านมันมาได้

การเดินทางสายวิบากของ Slipknot (ที่เป็นเรื่องภายในของวง) เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2010 เมื่อพวกเขาสูญเสีย ‘พอล เกรย์’ มือเบสผู้ร่วมก่อตั้งวงจากอาการโอเวอร์โดส เรื่องนี้เข้าใจได้ว่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ก็มีดราม่าเมื่อภรรยาของเจ้าตัวออกมาแสดงความผิดหวังที่สมาชิกวงคนหนึ่งไม่ให้ความช่วยเหลืออะไรเลยทั้งที่อยู่ใกล้ๆ ตอนวันเกิดเหตุ แต่เรื่องก็จบลงในระยะสั้นๆ และแพทย์ที่ให้ยาแก่ พอล เกรย์ จนเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดก็ถูกดำเนินคดีไป ส่วนวงก็โพสต์ข้อความอาลัย รำลึกถึงเพื่อนคนนี้ทุกปีเมื่อถึงวันครบรอบการจากไปของมือเบสผู้ร่วมสร้างวง

 พอล เกรย์ มือเบสผู้ล่วงลับ (ภาพ – FB Slipknot)

ต่อมาในปี 2013 วงประกาศแยกทางกับ ‘โจอี้ จอร์ดิสัน’ มือกลองหน้ากากคาบูกิผู้เป็นรองหัวหน้าวง ขวัญใจแฟนเพลงและไอดอลของมือหวดกลองทั่วโลก โดย คอรีย์ เทย์เลอร์ นักร้องนำเสียงโหดชี้แจงว่าเป็นเพราะทัศนคติที่ไม่ตรงกันในช่วงหลัง แต่ โจอี้ ก็ตอบโต้ทำนองว่าโดนสมาชิกบีบให้ออกจากวงผ่านทางอีเมล์ และถูกกล่าวหาว่าติดยาจนไม่มีสมาธิทำงาน (โจอี้ มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาทบริเวณสันหลังอันเป็นผลจากการตีกลองแบบหนักหน่วงมานาน จนต้องทำกายภาพบำบัดและใช้ยาระงับอาการปวด) แน่นอนว่าการที่ต่างคนต่างพูดในมุมของตัวเองก็ทำให้แฟนเพลงไม่รู้ว่าฝั่งไหนพูดจริง ฝั่งไหนโกหก แต่ที่สุดแล้ววงก็เลือกทำงานต่อไปโดยไม่มีมือกลองหมายเลข #1 พร้อมหาคนใหม่มาแทน ส่วน โจอี้ ก็ไปทำวงใหม่อย่าง Vimic กับ Sinsaenum แต่ก็ไม่ดังเท่าวงที่เขาปั้นมากับมือ

กระทั่งดราม่าหนล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา วงแถลงแยกทาง ‘คริส เฟห์น’ มือเพอร์คัสชั่นหน้ากากจมูกยาวที่อยู่กันมาตั้งแต่แรกเริ่มอีกคน โดยต้นเรื่องคือ คริส สังเกตเห็นว่าสมาชิกทั้งสองคนอย่าง คอรีย์ เทย์เลอร์ นักร้องกับ ชอว์น คราฮาน มือเพอร์คัสชั่นหัวหน้าวง (เปิดชื่อกันโต้งๆ เลย) แอบเปิดบริษัทใหม่ที่ใช้ดูแลบัญชีรายได้ของวงในรัฐอื่นๆ โดยไม่บอกกล่าวและไม่จ่ายส่วนแบ่งให้กับเขา  แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น คริส ก็ถูกอัปเปหิออกจากวงไปโดย Slipknot ชี้แจงว่าพวกเขาผิดหวังที่ คริส ฟ้องเพื่อนร่วมวงทั้งที่ควรเอาเวลาไปใส่ใจกับการทำอัลบั้มใหม่ We Are Not Your Kind และทัวร์คอนเสิร์ตที่จะมาถึงมากกว่า

เรื่องการฟ้องร้องระหว่าง คริส กับวง Slipknot ยังดำเนินต่อไป แต่สิ่งที่ทำเอา คริส และแฟนคลับไม่ชอบใจนักคือการที่วงให้ผู้จัดการออกมาเปิดเผยต่อสื่อว่า คริส เป็นแค่ ‘ลูกจ้าง’ ไม่ใช่เจ้าของหรือสมาชิกวงเหมือนคนอื่น ข่าวนี้ทำเอาสาวก The Maggots (ชื่อเรียกแฟนคลับของ Slipknot) ที่ติดตามกันมานานรับไม่ได้และตราหน้าวงเป็นพวกหน้าเงิน เห็นเงินสำคัญกว่ามิตรภาพไปโดยปริยาย เข้าไปรุมถล่มคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กของ Slipknot แบบหนักหน่วง แต่สุดท้ายวงก็ไม่สนใจเสียงต่อต้าน ทำงานกันต่อโดยปล่อยเพลง Unsainted ที่เปิดตัวสมาชิกวงคนใหม่มาหวดเพอร์คัสชั่นแทน คริส เฟห์น ออกมากลบกระแส ทำให้แฟนเพลงที่ด่าวงในทีแรก เปลี่ยนประเด็นมานั่งเดากันว่าไอ้เด็กใหม่นี่มันใครกัน ก่อนที่ ชอว์น จะบอกสื่อว่าฟังเพลงไปเหอะ สมาชิกใหม่นั้นจะเป็นใคร ไม่ใช่ธุระของพวกเอ็ง (ฮา)

 คอรีย์ เทย์เลอร์  : ภาพ REUTERS/Mario Anzuoni

อย่างไรก็ดี แม้วงจะมีดราม่าขนาดหนักแต่ Slipknot ยังรักษาชื่อเสียงกับความนิยมไว้อยู่ระดับแถวหน้าเสมอ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาเลือกที่จะ ‘เงียบ’ กับปัญหาต่างๆ ชี้แจงเท่าที่จำเป็นโดยอ้างว่าเป็นเรื่องของฝ่ายกฏหมาย แล้วหันไปทำงานเพลงกันอย่างเดียว ยกตัวอย่างซิงเกิลล่าสุด Unsainted แม้จะถูกปล่อยออกมาหลังดราม่าเรื่องของ คริส เฟห์น แต่ก็ได้รับการตอบรับจากคนฟังอย่างถล่มทลายไม่เปลี่ยน ยอดวิวใน Youtube ปัจจุบันปาเข้าไป 20 กว่าล้านวิวแล้ว กลบเรื่องดราม่าพี่เพอร์คัสชั่นจมูกยาวไปได้เสียฉิบ (อย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง)

ตัดมาที่เรื่องเพลง แม้อัลบั้มชุดหลังๆ ของ Slipknot จะไม่หนักหน่วงรุนแรงเท่า 2 ชุดแรกที่แฟนคลับชื่นชอบ (ซึ่งก็ตามวัยของนักดนตรีด้วย) แต่มองกันแบบไม่ลำเอียง Slipknot ยังคงรักษาโทนเพลงและมาตรฐานของพวกเขาไว้ได้แบบน่าพอใจ เนื้อเพลงยังคงก่นด่าสังคมแบบที่เป็นมา ส่วนดนตรีถึงจะเบาลงบ้างแต่ก็ยังดุเดือดชวนโยกหัวได้ คอรีย์ เทย์เลอร์ ในวัย 45 ปี ก็ยังร้องเพลงเสียงคลีนสลับกับสำรอกได้อย่างสาแก่ใจ มาตรฐานไม่ตก รวมถึงการแสดงสดที่ยังสนุกสุดมัน กระชากวัยแบบไม่น่าเชื่อว่าแต่ละคนอายุใกล้แตะเลข 5 แล้ว

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือวงนี้ใช้สื่อโซเชียล มีเดีย โปรโมทวงและผลงานได้เก่งมาก หากจำกันได้ก่อนออกอัลบั้ม .5: The Gray Chapter ปี 2014 วงได้สมาชิกใหม่ 2 คนมาแทนตำแหน่งเบสของ พอล เกรย์ กับกลองของ โจอี้ จอร์ดิสัน ทว่าแทนที่จะประกาศเปิดตัวเป็นทางการ พวกเขาปล่อยให้มันเป็นปริศนาชวนแฟนเพลงไปคาดเดากันเองว่าเป็นใคร กระทั่งถึงวันปล่อย MV เพลง The Devil In I วงก็ให้แฟนเพลงเห็น 2 สมาชิกใหม่ สวมหน้ากากปรากฏตัวใน MV  จนมีแฟนเพลงแอบสังเกตเห็นรอยสักของมือเบสจนรู้ว่าเขาคือ ‘อเลสซานโดร เวนตูเรลล่า’ ส่วนมือกลองคือ ‘เจย์ ไวน์เบิร์ก’ ที่กวนบาทากว่านั้นคือ 2-3 เดือนต่อมา ก็มีภาพหลุดที่ระบุชื่อของ 2 คนนี้ออกมาทางโซเชียล มีเดีย เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่แฟนเพลงคาดเดานั้นถูกต้อง ก่อนที่ คอรีย์ จะเกิดอารมณ์หัวร้อนว่าใครทำชื่อ 2 คนนี้หลุดออกสื่อวะ (แฟนเพลงบอก – ก็พวกแกนั่นแหละ ฮาๆ)

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ชี้ชัดว่า Slipknot คือวงที่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงและดราม่าต่างๆได้ดี พวกเขาก้าวข้ามผ่านยุคสมัย นูเมทัล ที่ตายไปแล้วได้อย่างสง่างามด้วยการมุ่งมั่นทำเพลงในแบบที่ตัวเอง ‘เชื่อ’ ต่อไป โดยมาตรฐานไม่ตกหล่นไปจากเดิมนัก (ขณะที่วงร่วมยุคนูเมทัลทั้ง Limp Bizkit, Papa Roach, Coal Chambers และวงอื่นๆ ถึงจะยังอยู่แต่แทบไม่เป็นที่พูดถึงในปัจจุบันแล้ว) ใช้ผลงานเพลงตอบโต้ข่าวแย่ๆ ทั้งหมด แถมยังรักษาฐานแฟนเพลงของตัวเองไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนเดิม รวมถึงแฟนเพลงชาวไทยที่อยากให้พวกเขากลับมาเล่นคอนเสิร์ต Live in Bangkok อีกสักทีหลังหายไปนานมากตั้งแต่มาเปิดฟลอร์นรกเมื่อปี 2004 ที่ลานแอคทีฟ สแควร์ เมืองทองธานี

ต้องยอมรับโดยสดุดีว่า ‘กาลเวลา’ หรือ ‘ดราม่า’ ก็ฆ่าพี่คอรีย์ และชาวคณะ Slipknot ไม่ได้จริงๆ

 

ภาพ: www.facebook.com/slipknot/

Tags: ,