เคยเข้าห้องปกครองกันไหมคะ?
เคยเข้าห้องปกครองด้วยสาเหตุอะไรกันบ้าง? ผมยาวเกินมาหลายมิลลิเมตรจากที่โรงเรียนกำหนด? ผูกโบว์สีน้ำเงิน สีขาว หรือสีน้ำตาลแทนที่จะเป็นสีดำสนิทตามที่โรงเรียนบอก? หรือใส่ถุงเท้าที่มีพื้นดำๆ กันเปื้อน แทนที่จะใส่ถุงเท้าสีขาวล้วนตามที่กฎระเบียบบอกมา? เหตุผลเหล่านั้นว่างี่เง่าแล้ว ฉันยังมีเหตุผลสุดงี่เง่าของฉันมาส่งเข้าประกวดด้วยอีกเรื่องหนึ่ง
ฉันเข้าห้องปกครองตอน ม.6 เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านั้นฉันไม่เคยถูกเรียกเข้าพบอาจารย์ฝ่ายปกครองด้วยเหตุผลเรื่องระเบียบวินัย เพราะฉันเชื่องเชื่อต่อระบบมาโดยตลอด จึงไม่มีเหตุร้ายแรงอันใดที่ต้องเข้าปกครองมาก่อน จนกระทั่งวันนั้นมาถึง
วันนั้นที่ว่าเป็นวันที่มีคนส่งจดหมายมาที่ห้องปกครองโรงเรียนมัธยมของฉันใจความบอกกล่าวว่า “ฉันไปมีอะไรกับผู้ชายคนหนึ่ง” ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้ง การบอกกล่าวความเป็นจริงหรืออะไรก็ตาม ฉันในปัจจุบันที่โตพอ ก็เชื่อว่าโรงเรียนไม่ได้มีหน้าที่มาตัดสินชีวิตเรื่องเพศของใครนอกจากให้คำแนะนำเรื่องเซ็กซ์ที่ปลอดภัยหรือถามไถ่ว่านั่นเป็นเซ็กซ์ที่ถูกละเมิดหรือไม่ ต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ละเมิดหรือเปล่า
ฉันในปัจจุบันที่โตพอ ก็เชื่อว่าโรงเรียนไม่ได้มีหน้าที่มาตัดสินชีวิตเรื่องเพศของใครนอกจากให้คำแนะนำเรื่องเซ็กซ์ที่ปลอดภัย
แต่สิ่งที่โรงเรียนของฉันดำเนินการต่อฉันไม่ใช่เช่นนั้น ฉันถูกประกาศเรียกผ่านเสียงตามสายของโรงเรียนให้เข้าพบอาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครองโดยเร็วที่สุด เพื่อสอบสวน เพื่อเค้นความจริง ฉันถูกตะคอก ฉันถูกตำหนิว่าไปมีอะไรกับผู้ชาย ฉันคอตก ฉันเศร้า ฉันรู้สึกรังเกียจตัวเองและฉันร้องไห้
การเข้าห้องปกครองครั้งแรกเป็นฉันและอาจารย์ฝ่ายปกครองหนึ่งท่านเท่านั้น แต่ครั้งต่อๆ มามีอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ฝ่ายปกครองประจำคณะสี อาจารย์ประจำภาค ฯลฯ สารพัดอาจารย์ที่อาจารย์ฝ่ายปกครองเห็นสมควรว่าควรมารับรู้พฤติกรรมของฉัน
ฉันเด็กเกินกว่าจะยกมือถามอาจารย์ด้วยความสุภาพและมีเหตุผลว่า “เซ็กซ์ผิดตรงไหน?” หรือ “เซ็กซ์ที่ผิดคือเซ็กซ์ที่ไม่ป้องกันและ/หรือเซ็กซ์ที่มีการละเมิดหรือเปล่า?” และ “ฉันผิดตรงไหน ถ้าตรงไหนที่ฉันผิดเลวร้าย ขอให้สอนสั่งแนะนำฉันไปในทางที่ถูกมากกว่าตำหนิดุด่าฉันได้หรือไม่?”
ฉันเข้าๆ ออกห้องปกครองด้วยเรื่องการไปมีอะไรกับผู้ชาย (คนเดิม คนเดียว คนนั้น) อยู่หลายครั้ง ทุกครั้งวนซ้ำที่ฉันถูกตำหนิไปในเชิงว่าใจง่าย ไม่รักนวลสงวนตัว รู้ไหมว่าพ่อแม่จะเสียใจแค่ไหน จบลงด้วยการที่ฉันร้องไห้ทุกครั้ง รังเกียจตัวเองทุกครั้ง และอยากไปโรงเรียนน้อยลงๆ ทุกที
ในหัวฉันวนเวียนแค่ว่าเซ็กซ์คือบาปที่ร้ายแรงที่สุดและฉันทำให้โรงเรียนผิดหวัง ฉันทำร้ายจิตใจพ่อแม่ การเข้าห้องปกครองก่อนครั้งสุดท้าย อาจารย์ฝ่ายปกครองสรุปว่าฉันต้องโดนทัณฑ์บนละอาจถูกพักการเรียน วิธีเดียวที่ฉันจะไม่ถูกพักการเรียนคือต้องเชิญผู้ปกครองมาพบกับอาจารย์ฝ่ายปกครอง
ฉันหัวใจสลาย เพราะในหัวมันถูกตีตราซ้ำๆ ไว้แล้วว่าเป็นผู้หญิงใจแตก ทำพ่อแม่เสียใจ แต่ถ้าฉันโดนพักการเรียนโดยไม่บอกพ่อแม่ พ่อแม่จะเสียใจยิ่งกว่า
ฉันจึงเข้าไปหาแม่ด้วยน้ำตานองหน้า “แม่ หนูจะโดนพักการเรียน”
แม่ถามฉันว่าเพราะอะไร
ฉันอึกอัก
ฉันไม่ตอบ
ฉันร้องไห้
แม่ทำท่าจะร้องไห้ตาม
“แม่ หนูไปมีอะไรกับผู้ชายมา”
ฉันก้มหน้า น้ำตาร่วงเผาะๆ เตรียมโดนตบเต็มแรง หรืออะไรก็ได้ที่สาสมกับความใจแตกของฉัน
“หนูใช้ถุงยางหรือเปล่า”
…
แม่ถามแค่นั้น
ฉันร้องไห้โฮหนักกว่าเดิม
แม่กอดฉันแน่นที่สุดในชีวิต
ฉันกอดแม่ตอบแน่นพอๆ กันและฉันรักแม่ของฉันมากขึ้นอีกเท่าหนึ่งของที่รักมาทั้งชีวิต
ฉันเชื่อว่าผู้ใหญ่และสังคมที่เปิดกว้างควรเข้าใจเสียทีว่าเซ็กซ์ไม่ใช่อาชญากรรม แต่การปล่อยให้เด็กลองผิดลองถูกเรื่องเซ็กซ์ด้วยตัวเองโดยปราศจากความรู้ความเข้าใจนั่นแหละที่อาจเป็นอาชญากรรมได้ ฉันดีใจที่แม่ของฉันไม่ได้ตัดสินฉันด้วยคุณค่าทางพรหมจรรย์ที่ฉันมี แม่ตัดสินฉันจากการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องเรื่องการมีเซ็กซ์ การมีเซ็กซ์ที่ปลอดภัย และการไม่ถูกละเมิด
แม่ไปพบอาจารย์ฝ่ายปกครองในเช้าวันต่อมา อาจารย์รีบแจ้งให้แม่ฟังว่าฉันทำอะไรผิดบาป ไม่ว่าอาจารย์จะคาดหวังอะไรจากแม่ฉัน แม่ฉันขอบคุณอาจารย์ และแม่บอกว่าแม่ดีใจที่ลูกสาวของแม่มีเซ็กซ์และใส่ถุงยาง
เรื่องจึงจบลงตรงที่ฉันไม่โดนพักการเรียน แต่ถูกทำทัณฑ์บน ต้องมาสอบซ่อมตอนปิดเทอมด้วยการเก็บขยะ กวาดลานวัด ฝึกระเบียบแถวกับเพื่อนๆ ที่มีปัญหาด้านระเบียบวินัยคนอื่นๆ
ทุกคนคุยกันว่าทำไมต้องมาสอบซ่อมคะแนนลักษณะนิสัยครั้งนี้ ทุกคนเล่าวีรกรรมสุดแสบของตัวเองเป็นคุ้งเป็นแคว ฉันเพียงอมยิ้มน้อยๆ พูดกับตัวเองในใจว่า “พวกมึง กูมีลักษณะนิสัยที่เป็นอาชญากรรมต่อกฎระเบียบคือมีเซ็กซ์ว่ะ”
จากนั้นฉันไม่เชื่อว่าโรงเรียนมีหน้าที่ตัดสินเด็กนักเรียนคนไหนแค่เพียงเพราะเขามีเซ็กซ์ โรงเรียนหรือครูฝ่ายปกครองอาจสามารถชี้หน้าฉันได้อย่างสนิทใจว่านี่คือความเลวร้ายของปัจเจกบุคคลอย่างฉันเพียงผู้เดียว และลอยตัวเองจากปัญหาเชิงโครงสร้างมากมายที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอนและความไม่เข้าใจเรื่องเพศ เพียงเพราะฉันมีเพศสัมพันธ์ ขณะนี้และขณะนั้นฉันดีใจที่ฉันใส่ถุงยาง แต่ถ้าฉันไม่ได้บอกให้ผู้ชายคนนั้นใส่ถุงยางล่ะ? ถ้าฉันถูกผลักไปถึงจุดที่อาจถูกใคร ๆ ตราหน้าว่าเป็น “แม่ใจยักษ์” ล่ะ?
ถ้าวันนั้นฉันท้อง แล้วฉันเลือกเก็บเด็กไว้ อย่างดีที่สุดฉันจะต้องถูกพักการเรียน เสียโอกาสทางการศึกษาไปเป็นปีๆ หรืออย่างร้ายต้องถูกเชิญออกจากโรงเรียน (ใช่ เพียงเพราะฉันกำลังจะเป็นแม่คน) แต่ถ้าฉันเลือกยุติการตั้งครรภ์ไม่เก็บเด็กไว้ ฉันจะกลายเป็นเพียงแม่ใจยักษ์ เป็นอีเลว เป็นอีชั่วของสังคม อีกคนหนึ่ง
ถ้าฉันปล่อยให้ลูกเติบโตมาอย่างไม่มีคุณภาพฉันก็จะกลายเป็นแม่ที่ไม่ดี แม่ที่ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูก ฉันอยากรู้ว่าในสังคมที่เราไม่ได้เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้ทางเลือกที่จะเอากันอย่างปลอดภัย หรือตีตราเด็กที่มีเซ็กซ์ว่าเป็นอาชญากรรม แล้วโยนความเลวร้ายทุกอย่างให้เป็นความเลวร้ายส่วนบุคคล เรียกตัวเองว่าเป็นสังคมศีลธรรมสูงส่งและคาดหวังว่าทุกคนจะไม่เอากันได้จริงหรือ?
ครูฝ่ายปกครองอาจสามารถชี้หน้าฉันได้อย่างสนิทใจว่านี่คือความเลวร้ายของปัจเจกบุคคล และลอยตัวเองจากปัญหาเชิงโครงสร้างมากมาย
ฉันเชื่อว่าเราทุกคนมีสิทธิที่จะรับผิดชอบเนื้อตัวร่างกายของตัวเองมากกว่ารับผิดชอบมาตรฐานทางศีลธรรมของสังคมหรือใครก็ตามที่พยายามยัดเยียดและตัดสินเรา แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผู้หญิงควรมีสิทธิที่จะได้รับรู้ทางเลือกทุกๆ ทางเลือกของตัวเอง ผู้หญิงควรได้เรียนรู้ตั้งแต่ก่อนประจำเดือนจะเดินทางมาถึงว่าเธอมีสิทธิที่จะเป็นแม่ถ้าเธอพร้อมหรือไม่เป็นแม่ก็ได้ถ้าเธอไม่พร้อม เธอมีสิทธิที่จะรู้ว่าเธอสามารถมีเซ็กซ์ที่ปลอดภัยด้วยการป้องกันแบบต่าง ๆ เธอมีสิทธิที่จะเข้าใจว่าเซ็กซ์ที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบคืออะไร เธอควรจะได้รู้ว่าเธอมีสิทธิที่จะปฏิเสธเซ็กซ์ที่ไม่เปิดโอกาสให้เธอป้องกันตัวเอง เธอควรจะรู้ว่าเธอมีสิทธิเรียกร้องให้คนที่เธอจะเอาด้วยสวมถุงยางอนามัย เธอควรจะมีสิทธิเข้าถึงทรัพยากรด้านสุขภาวะทางเพศพื้นฐาน มีอีกสารพัดสิทธิของเธอที่ขาดหายไปด้วยคำตัดสินจากสังคมง่าย ๆ ถ้าเธอตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ว่า ‘แม่ใจยักษ์’ (หรือกรณีฉันที่ยังไม่ตั้งครรภ์ คือ ไม่รักนวลสงวนตัว)
ในสังคมที่ศีลธรรมสูงส่งเสียดฟ้า เป็นสังคมเดียวกับสังคมที่โรงเรียนยังตีตรานักเรียนที่มีเซ็กซ์ว่าสมควรโดนทัณฑ์บน สมควรโดนพักการเรียน เป็นสังคมเดียวกับที่ผู้หญิงโดนประณามต่อหน้าครูหลายคน แต่ผู้ชายจะเป็นใครก็ได้ เป็นจู๋นิรนามที่ไม่ถูกกล่าวถึง ไม่ต้องถูกตำหนิ ไม่มีโทษใดๆ เป็นสังคมเดียวกับที่การสอนเรื่องเพศศึกษายังวนเวียนอยู่กับการข่มขู่ให้กลัวด้วยการเอาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาฉายซ้ำๆ ให้เด็กดู เป็นสังคมเดียวกับที่รัฐยังมีมาตรฐานด้านสุขภาวะ บริการสาธารณะที่เข้าไม่ถึงประชาชน
สังคมนี้มันจึงไม่มีพ่อใจยักษ์ โรงเรียนใจยักษ์ มีแต่แม่ใจยักษ์ที่แบกจิ๋มและลูกในท้องเพื่อรองรับมาตรฐานศีลธรรมสูงส่งต่อไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ฉันดีใจที่ตัวเองมีเซ็กซ์ที่ปลอดภัย และเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐานในการมีเซ็กซ์ที่ปลอดภัย แต่ฉันไม่แน่ใจว่าต้องมีผู้หญิงอีกกี่คนที่เข้าไม่ถึงทางเลือกเหล่านี้ และจะกลายเป็นเพียง ‘แม่ใจยักษ์’ ที่โดนรุมประณามอีกคนหนึ่ง ก่อนจะจางหายไปจากสังคมอันดีงามเหลือเกินแห่งนี้
Tags: เซ็กซ์, sex, เพศศึกษา, ศีลธรรมทางเพศ, การศึกษา, เพศสัมพันธ์