“This generation is so touchy!”
ประโยคสั้นๆ ที่ จีน นักบำบัดทางเพศ พูดกับ โอทิส ลูกชายวัย 16 ปีของเธอในตอนแรกของซีรีส์เรื่อง Sex Education หลังจากจีนพยายามให้คำแนะนำเรื่องเพศกับ อดัม เพื่อนร่วมชั้นของลูกชายด้วยความหวังดี แต่กลายเป็นว่าความหวังดีนั้นกลับจี้ใจดำอดัมโดยไม่ตั้งใจ และสร้างความอึดอัดใจให้กับตัวโอทิสที่หลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องเซ็กซ์ในระดับที่ทนฟังไม่ได้
แต่กลายเป็นว่าตัวละครที่แทบจะปิดหูเวลาคนพูดเรื่องบนเตียงและไม่เคยมีประสบการณ์แม้แต่การช่วยตัวเองได้สำเร็จอย่างโอทิส กลับต้องจับพลัดจับผลูมาจับมือกับ เมฟ สาวแสบประจำโรงเรียนที่เห็นช่องทางการทำเงินจากการให้โอทิสเป็นที่ปรึกษาเรื่องเพศและความสัมพันธ์กับคนในโรงเรียน เพราะเห็นแววว่าคำพูดของเขาสามารถช่วยเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองที่คนวัยเดียวกันมีต่อเรื่องความสัมพันธ์และเรื่องเซ็กซ์ได้ โดยมี เอริก เพื่อนเกย์สุดซี้ของโอทิสชูธงสนับสนุนคลินิกเซ็กซ์อย่างเต็มที่
เมื่อเดินเครื่องเปิดธุรกิจลับๆ กันแบบนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือสารพัดความว้าวุ่นของความสัมพันธ์และความรักวัยเรียนของวัยรุ่นที่เดินทางไปไกลกว่าประเด็นว่า เราควรรักนวลสงวนตัวจริงไหม การคุมกำเนิดสำคัญกับเซ็กซ์ในวัยเรียนอย่างไร หรือเด็กวัยนี้พร้อมแค่ไหนที่เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ เพราะ Sex Education ทำให้เห็นว่าเซ็กซ์คือส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์และเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้จะเข้าใจกัน ไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ประกอบกันเป็นความรู้สึกรัก-ชอบของคนสองคน
แม้ชื่อเรื่อง พล็อตเรื่อง รวมถึงฉากแรกที่เปิดมาด้วยการขย่มกันจะทำให้ Sex Education ถูกแปะป้ายจากคนที่ยังไม่ได้ดูทั้งเรื่องว่าต้องเป็นซีรีส์ที่ให้น้ำหนักกับเรื่องเซ็กซ์และมีเรื่องนี้เป็นจุดขาย แต่ถ้าได้ดูแล้วจะเห็นว่า หัวใจของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่การสอนว่าเพศสัมพันธ์คืออะไรและชาย-หญิงควรจะป้องกันอย่างไรซึ่งเป็นแนวคิดที่มักจะถูกผูกโยงอยู่กับคำว่า เพศศึกษา เพราะสิ่งสำคัญที่เรียกว่าเป็นหัวใจของเรื่องคือการพูดคุยเพื่อสื่อสารกัน ซึ่งไม่ใช่แค่การพูดคุยกับคู่รักหรือคู่นอนเพื่อให้ปรับจูนความต้องการได้ตรงกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปิดใจกับครอบครัว และการพูดคุยกับตัวเองเพื่อให้เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นมากขึ้น
การเลือกและเลี่ยงที่จะไม่คุยกันอย่างเปิดใจเป็นสถานการณ์ที่นำไปสู่หลายปมปัญหาในเรื่องนี้ ซึ่งครอบคลุมไปถึงปัญหาภายในครอบครัวด้วย ซึ่งสิ่งที่ Sex Education ทำได้ดีคือการสร้างบรรยากาศของแต่ละครอบครัวได้อย่างชัดเจน โดยใช้ทั้งการแคสต์นักแสดงที่เหมาะสม ดูแล้วเชื่อว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ใช้บทสนทนาที่ไม่ได้ยืดยาวแต่ทำให้คนดูคิดตามได้ยาวกว่านั้น ไปจนถึงพร็อพที่เห็นในฉากที่เสริมให้บุคลิกและบรรยากาศของแต่ละบ้านชัดเจน แบบไม่จงใจเกินไปจนกลายเป็นความประดิษฐ์
รายละเอียดเหล่านี้จึงนำไปสู่การสร้างตัวละครที่มีมิติ และทำให้ตัวละครที่เคยน่ารำคาญกลายเป็นตัวละครที่คนดูรัก ตัวละครที่คนดูยี้ในตอนแรกก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นตัวละครที่คนดูต้องเอาใจช่วยจนถึงตอนจบของซีซัน หรือตัวละครที่เคยน่าหมั่นไส้ในความมั่นใจก็ซ่อนความวิตกกังวลไว้จนอยากจะย้อนไปขอโทษที่เคยเบ้ปากใส่ กระทั่งตัวละครที่เป็นกูรูในเรื่องเพศและความสัมพันธ์อย่างจีน ที่บอกกับลูกชายของตัวเองว่า “You’re 16. You’re not supposed to know the answers to anything.” ซึ่งเป็นคำพูดที่ใช้อธิบายความสับสนว้าวุ่นของทุกตัวละครวัยรุ่นในเรื่องนี้ได้อย่างดี แต่จีนเองก็ยังมีสถานการณ์ที่เตือนให้รู้ว่า ตัวเธอเองก็ไม่ได้มีคำตอบให้กับทุกเรื่องเช่นกัน
ในตอนแรกของซีรีส์เรื่องนี้ คำพูดที่จีนพูดต่อจากประโยคที่อยู่ในบรรทัดแรกก็คือ “Information is empowering.”
และข้อมูลที่ว่านี้ก็ไม่ได้อยู่ในกูเกิล แต่มาจากการพูดคุยและสื่อสารกัน
Tags: Netflix, เพศศึกษา, Sex Education