ถ้าการไปเที่ยวนอกบ้านในช่วงปีใหม่นี้ ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกของคุณ และไหนๆ ก็ยังไม่มีแผนอะไรเป็นพิเศษ เวลาว่างๆ อย่างนี้ น่าจะเหมาะกับการนอนดูซีรี่ส์ให้ฉ่ำ ซึ่งสำหรับใครที่ยังคิดไม่ออกว่าเรื่องไหนถึงจะควรค่ากับเวลาพิเศษอย่างช่วงปลายปี ลองมาดูซีรี่ส์ในดวงใจของบรรดาผู้คนหลากอาชีพ ว่าพวกเขา/เธอ อยากแนะนำเรื่องอะไรกันบ้าง


Reply 1988

“สำหรับคนที่เก็บเรื่องนี้ไว้ในลิสต์ แต่ไม่เคยดู หรือไม่รู้จักเรื่องนี้เลยก็ตาม จงหยิบมาดูเดี๋ยวนี้ แล้วคุณจะหลงรักตัวละครทั้ง 5 คน 5 ครอบครัวจนไม่อยากให้มันจบลง แม้ว่าเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับชีวิต ความสัมพันธ์ที่แสนธรรมดา แต่การเล่าเรื่องที่เป็นธรรมชาตินั้น สามารถทำให้เราจดจ่อจนไม่อาจละสายตาไปจากจอได้เลย 

เหตุผลที่เราอยากแนะนำ เพราะคิดว่าซีรีย์เรื่องนี้น่าจะเข้ากับทุกคนได้ ย้ำว่า ‘ทุกคน’ จริงๆ เพราะทุกความทรงจำและความสัมพันธ์ที่เราเคยทำหล่นหายไปในช่วงหนึ่งของชีวิต ซีรีย์เรื่องนี้จะช่วยให้คุณรื้อฟื้นมันกลับมาอีกครั้ง มอบรอยยิ้มสุขปนเศร้า เคล้าน้ำตา รวมถึงความอบอุ่นที่หาจากไหนก็ไม่เท่าใน Reply 1988” 

Friends

“เราแนะนำซิทคอมเรื่อง Friends เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นซิทคอมในตำนานที่ใครยังไม่ได้ดูก็ควรต้องลองดู  เนื้อเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเพื่อน 6 คน ซึ่งชีวิตในนิวยอร์ก บริบทภายในเรื่องเหมือนเป็นเครื่องบันทึกป๊อปคัลเจอร์และค่านิยมของยุค 90s – 00s เอาไว้อย่างครบครัน ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม องค์ประกอบศิลป์ต่างๆ ภายในเรื่อง มันดีและน่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะคนที่หลงรักยุค 90s รับรองจะอบอุ่นหัวใจแน่ๆ”


Stranger​ Thing​s

“อีกหนึ่งเรื่องฮิตที่ใครๆ ก็พูดถึง สำหรับเราเรื่องราวของเด็กๆ จักรวาล​คู่ขนาน สัตว์​ประหลาด​ ดราวิเจี้ยนแอนด์​ดราก้อนเหมาะกับวันหยุดยาวของชาวไร้แพลนเที่ยวอย่างมากที่สุด เรื่องนี้พลิกล็อกกันน่าดูตลอดเวลา พิศวงแต่ก็อยู่บนพื้นฐาน​ของความเป็นไปได้​ทางวิทยาศาสตร์​, ความสัมพันธ์ มิตรภาพ​ระหว่างเพื่อน ครอบครัว ความรัก, ความบิดเบี้ยว​ของสังคมโลกผ่านสายตาและการแก้ไขปัญหา​ด้วยพลังหัวใจของกลุ่มเด็กขี้แพ้ 

ซีรี่ส์​ชุดนี้มีมา 3 ซีซั่นแล้วเราในฐานะ​คนดูเหมือนเห็น​เด็ก​ๆ ในเรื่องเติบโตไปพร้อมกับโลกคู่ขนาน​ของพวกเขาทั้งยังรักเขามากขึ้น เป็น​ซีรี่ส์​ที่เราสัญญา​กับตัวเอง​ว่าจะกลับมาดูอีก และคงจะดี ถ้าหยุด​ยาวนี้มีคนมาดูกับเรา คิกๆ”

Vagabond

“วันหยุดยาวแบบนี้ สำหรับใครอยากจะหาซีรี่ส์มันส์ๆ แอ็กชั่นๆ ดูสักเรื่อง พูดเลยว่าพลาดซีรี่ส์เรื่องนี้ไม่ได้ เนื้อเรื่องเข้มข้น ลุ้นระทึก ยิ่งกว่าระเบิดภูเขาเผากระท่อมกันอีกค่ะคุณผู้ชม เพราะเรื่องนี้มีถึงขั้นเผาเครื่องบิน คนตายยกลำกันไปเลย แถมผูกปมผู้อยู่เบื้องหลังอีกมากมาย ตอนนี้ซีซั่น 1 ออกมาแล้ว 16 ตอน ดำเนินเรื่องออกมาได้อย่างสุดทุกตอน แถมไม่ได้มีแต่ฉากแอ็คชั่นๆ เท่านั้น ความซึ้ง ความดราม่า เขาก็มาเต็ม แถมยังแอบมีเลิฟไลน์น่ารักๆให้ดูอีกต่างหาก

อีกอย่างหนึ่ง การออกแบบคาแรคเตอร์ตัวละครก็ตีโจทย์ออกมาได้ดีมาก เอฟเฟ็กต์ทุกอย่างทำออกมาได้น่าประทับใจ บอกได้คำเดียวว่าสมแล้วกับการทุ่มทุนของซีรี่ส์เรื่องนี้ ผู้ชมไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ”

Living With Yourself

“ซีรีส์คอเมดี้ พล็อตไซไฟโรแมนติกแบบฉบับคนขี้แพ้ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ ไมลส์ อิลเลียตต์ (รับทบโดย พอล รัดต์ Paul Rudd ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากับบทบาท Ant-Man) คนทำงานครีเอทีฟซึ่งชีวิตอยู่ในช่วงขาลง ทั้งเรื่องงานก็ดูท่าจะหมดไฟ คิดอะไรก็ตีบตัน หรือเรื่องความสัมพันธ์ก็เป็นคนห่วยๆ ในชีวิตคู่ แค่เซ็ตอัพตัวละครพระเอกมาแบบนี้ก็ถือว่าเจ็บแสบมากพอที่คนทำงานแบบเราจะอินตามได้ไม่ยาก 

ซีรีส์มาด้วยพล็อตไซไฟแต่เรียบง่าย ท้าทายจินตนาการของคนดูว่าถ้าคุณสามารถโคลนนิ่งตัวเองอีกคนในเวอร์ชั่นที่ทำได้ดีกว่าทุกประการ แล้วคุณคนเดิมที่ห่วยๆ จะทนดูตัวเองอีกคนในเวอร์ชั่นที่มีวินัยมากกว่า ทำงานได้ดีกว่า มนุษย์สัมพันธ์ดีกว่า มีคนรอบข้างยอมรับในผลงานมากกว่า และคนๆ นั้นกำลังใช้ชีวิตแทนที่ที่เป็นของคุณอย่างลื่นไหลไร้ที่ติ ในแบบที่คุณไม่เคยทำได้มาก่อน คุณจะรู้สึกอย่างไร คุณจะโอเคกับมันจริงๆ หรือเปล่า

ในวันที่เหนื่อยยาก คิดงานไม่ออก รู้สึกว่าตัวเองห่วย ทำอะไรมาทั้งปี แล้วรู้สึกว่าก็ไม่ได้ภูมิใจในตัวเองสักเท่าไหร่ เราอยากชวนให้หาเวลาอยู่กับตัวเองสักพัก แล้วลองเปิดใจดู Living With Yourself สักครั้ง ซีรีส์นี้ความยาว 8 ตอน ตอนละแค่ 25 นาที ตลกร้าย บทคม แต่ก็ซ่อนความขมเอาไว้ลึกๆ ดูแล้วเพลินมาก เป็นซีรีย์ที่ดูช่วงสิ้นปีนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีเลยทีเดียว”

Love, Death & Robots

“ถ้าคุณคือคนที่เพื่อนแนะนำซีรีส์ให้ทีไร แต่ก็ไม่เคยได้ดูสักที เพราะซีรีส์เรื่องนั้นมีหลายตอนแถมยังมีหลายซีซั่นอีก เราขอแนะนำ Love, Death & Robots ซึ่งเป็นซีรีย์จบในตอน มันเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบดูอะไรนานๆ หรือมีเวลาน้อยแต่ก็ยังอยากดู ความเจ๋งของเรื่องนี้เป็นเหมือนเป็นโชว์เคสจากทีมแอนิเมชั่นหลายค่ายที่มาโชว์เทคนิคการสร้างที่น่าสนใจ แปลกตา และไม่ซ้ำกันเลย

บางเรื่องให้ความรู้สึกว่าเหมือนเรากำลังดูงานศิลปะ หรือบางเรื่องสมจริง จนเราคิดว่าใช้คนจริงแสดงอยู่ ส่วนเนื้อเรื่องแต่ละตอนนั้นทั้งตลกร้าย เสียดสีสังคม ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ธีมที่เป็นชื่อของซีรีส์ที่มีความรัก ความตาย และหุ่นยนต์ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตอนที่อยากแนะนำที่สุดคือ Zima Blue บทเรียบง่าย แต่นุ่มลึก ใครจะคิดว่าแอนิเมชั่นสั้นๆ จบในตอน แล้วยังจะตกตะกอนชีวิตได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นแอนิเมชั่น แต่เนื้อหาอาจจะไม่เหมาะสำหรับดูกันทั้งครอบครัวสักเท่าไหร่”

True Detective

“การดูซีรีย์เรื่องนี้คงเปรียบเหมือนการนั่งฟังคุณลุงแก่ๆ คนหนึ่ง เล่าเรื่องคดีสืบสวนที่ใช้เวลากว่า 17 ปี แต่ยังคงปิดไม่ได้ให้ฟังอย่างใจเย็น สุขุม เต็มไปด้วยรายละเอียดต่างๆ ของการสืบสวนคดีมากมาย แต่ฉากบู๊ ฉากแอคชั่นอาจไม่ได้มีเยอะมาก เพราะแกบอกว่าการเป็นตำรวจนักสืบจริงๆ มันไม่ได้บู๊เยอะขนาดนั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่มีแล้ว แกเล่าถึงตรงนี้ได้ทั้งมันและดิบเหลือเกิน 

แม้ว่าระหว่างทางแกอาจแวะไปเล่าเรื่องอื่นบ้าง อย่างเรื่องชีวิต เรื่องปรัชญา เรื่องปัญหาสังคม แต่เราก็ยังคงอยากฟังแกเล่าต่ออยู่ดี อาจเพราะไม่ใช่ในฐานะตำรวจมือเก๋า แต่เป็นในฐานะคนๆ หนึ่งที่ผ่านชีวิต ผ่านโลกใบนี้ที่ทั้งหดหู่ และน่าเศร้ามาอย่างโชกโชน”

His Dark Materials

“ชื่อของ His Dark Materials อาจจะไม่คุ้นหูนัก แต่ถ้าบอกว่า ซีรีส์เรื่องนี้เคยสร้างเป็นหนังมาแล้ว เมื่อ 10 กว่าก่อนปี ในชื่อ The Golden Compass หลายคนคงร้อง อ๋อ! ซึ่งมันสร้างมาจากหนังสือชุดไตรภาคธุลีปริศนาซึ่งเกิดขึ้นบนโลกในยุคที่มีความเฉพาะตัว คือ มีวิธิคิดแบบยุคกลาง เป็นคริสตจักรกับนักวิทยาศาสตร์ 

จากที่เคยดูมาหลายเว่อร์ชั่น ต้องขอบอกว่าเวอร์ชั่นซีรีส์นี้ ดัดแปลงเนื้อหาจากหนังสือออกมาได้ทุกรายละเอียด ส่วนที่ชอบมากคือ การสร้างตัวละครให้โดดเด่น โดยเฉพาะตัวร้ายที่มีมิติ ลึกซึ้ง จนเราหลงรัก และงานภาพก็สวยงามมาก โดยตัวซีรีส์ใช้ยุค Roaring Twenties เป็นต้นแบบในการเนรมิตองค์ประกอบศิลป์ภายในเรื่อง มันเลยเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่น่าติดตามและน่าหลงไหล มีเสน่ห์เฉพาะตัวซึ่งหาได้ยาก”

Queer Eye We’re in japan! – Queer eye 

“นี่เป็นรายการที่หลายคนปล่อยผ่าน เพราะดูเผินๆ อาจจะคล้ายรายการ makeover ทั่วไป แต่เราอยากชวนทุกคนเปิดใจให้ 5 พิธีกรหนุ่ม The Fab Five เพราะนอกจากการแปลงโฉม เปลี่ยนลุค แต่งบ้านแล้ว รายการนี้จะพาเราไปเจอกับผู้คนหลากหลายทางเพศทั้ง lgbtq และ straight 

รายการจะนำเสนอเรื่องราวชีวิตของแต่ละคน สะท้อนการเติบโตและต่อสู้ในชีวิต โดยเฉพาะในซีซั่น we’re in japan คุณจะได้เห็นบริบทเรื่องเพศในญี่ปุ่น ซึ่งบอกเล่าวัฒนธรรมที่แฝงความกดดันไว้ เช่น ผู้หญิงที่รู้สึก ‘ยอมแพ้ต่อการเป็นผู้หญิง’ เกย์ที่เป็นตัวเองมากกว่าเมื่ออยู่ในสังคมตะวันตก ฯลฯ ประเด็นเหล่านี้เมื่อจับคู่กับการ empower แบบ The Fab Five ที่จะทำให้เราได้ทั้งสาระ เสียงหัวเราะ และแรงบันดาลใจดีๆ ไปพร้อมกันเลย”

Mindhunter 

“ถ้าคุณชื่นชอบงาน text-based หรือซีรี่ส์แนวจิตวิทยา สืบสวนสอบสวน ขอย้ำเลยว่า ต้องดู! เพราะสิ่งที่น่าสนใจและทำออกมาได้ดีมากๆ เลยคือ บทสนทนาในเรื่องที่ยืดยาว แต่ดูเป็นธรรมชาติมากๆ ยอมรับว่าบทมีความแข็งแรง เห็นถึงการหาข้อมูลที่แน่น เพื่อรองรับเหตุและผลของเรื่อง รวมทั้งนักแสดงทุกคนที่ทำการบ้านมาอย่างดี โดยเฉพาะคนที่รับบทเป็นฆาตกร  ทั้งภาษา กิริยาท่าทาง action – reaction โดยเฉพาะฉากที่ต้องพูดคุยกับพระเอกและคู่หูของเขา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ FBI ผู้รับผิดชอบโครงการวิเคราะห์พฤติกรรมของฆาตรต่อเนื่องด้วยการบันทึกเทปสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว (ส่วนใหญ่ก็ 2 ต่อ1 เพราะไปกันเป็นคู่อะเนอะ) 

นอกจากจะได้ลุ้นจนตัวแข็งไปพร้อมๆ กับพวกพระเอกแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ยังทำให้เราเปิดใจมากขึ้น  โดยที่ไม่ไปตัดสินว่าที่เขาฆ่าคนนั้น เพราะเขาชั่ว เขาเลวมาโดยกำเนิด แต่เป็นการฟัง และพยายามทำความเข้าใจว่าเขาคิดอะไร เขาเจออะไรมาบ้าง และอะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นแรงผลักดันให้เขาเริ่มก่อคดีอาชญากรรม เหมือนประโยคในเรื่องที่ Holden Ford หนึ่งในตัวเอกของเรื่องบอกว่า “How do we get ahead of crazy if we don’t know how crazy thinks ?””