ไทย-กัมพูชา ‘เพื่อนบ้าน’ ที่ไม่เคยลงรอยกัน
หากมองย้อนกลับไปทางประวัติศาสตร์ ปัญหาความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างไทย-เขมร มีมาอย่างยาวนานและฝังรากลึกผ่านความเป็นชาตินิยมของแต่ละประเทศ นับตั้งแต่การเขียนประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน เช่นตัวอย่างแบบเรียนประวัติศาสตร์ของประเทศกัมพูชา ที่มักกล่าวถึงสงครามกับไทยและมักลงท้ายด้วยข้อความที่ว่าไทยแย่งชิงดินแดนเขมร1 ส่วนไทยเราเองก็มีการบันทึกเนื้อหาทางประวัติศาสตร์บางส่วนที่ไม่สอดคล้องตรงกับหลักฐานอื่นที่ปรากฏ เช่น เหตุการณ์พระนเรศวรตีเมืองละแวก จับพระยาละแวกมาตัดคอและเอาเลือดมาล้างเท้า ซึ่งเป็นเรื่องเท็จ2
อย่างไรก็ดีปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-เขมร ที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางมากที่สุดและออกสู่สายตาของคนทั่วโลก คือประเด็นเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชาแล้ว และต่อมาในปี 2551 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ก็ประกาศขึ้นทะเบียนตามคำขอของกัมพูชาให้ ‘ตัวปราสาทเขาพระวิหาร’ เป็นมรดกโลก
ขณะที่ไทยก็ยื่นหนังสือคัดค้านการขึ้นทะเบียนดังกล่าว จนทำให้เกิดสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณพรมแดน เนื่องจากกัมพูชาส่งกำลังทหารเข้าประชิดพรมแดนบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ส่วนทางฝ่ายไทยก็ได้ส่งกำลังทหารเข้าในบริเวณพื้นที่ด้วยเช่นกัน และต่อมาปี 2553 ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตไทยจนเกิดการปะทะกันระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย จนทำให้มีทหารและพลเรือนของทั้ง 2 ประเทศบาดเจ็บและเสียชีวิต ในเวลาต่อมาจึงได้มีการเจรจาหยุดยิงระหว่างผู้บังคับบัญชาทหารในพื้นที่ของทั้ง 2 ฝ่าย3
สื่อสังคมออนไลน์ ‘สิ่งเร้า’ ความเกลียดชังและความรุนแรง
ปัจจุบันสื่อสังคมออนไลน์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการรับรู้ข่าวสารของผู้คน โดยเฉพาะข่าวสารจากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์และปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ทั้ง TikTok, Facebook, X และ YouTube ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปจากการปะทะกันบนพื้นที่จริงระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา จึงขยายพื้นที่เข้าสู่สังคมออนไลน์ระหว่างประชาชนคนธรรมดาทั่วไป
จะเห็นว่าตลอดห้วงเวลาบนโลกออนไลน์ เราจะพบเจอการปะทะกันของชาวเน็ตไทยกับกัมพูชาไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของการเคลมวัฒนธรรมที่มีเนื้อหาโต้ตอบกันไปมาอย่างรุนแรง จนดูราวจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะต่างฝ่ายต่างมองและมีความเชื่อกันคนละแบบ เช่น กรณีกุนขแมร์ มวยเขมรในซีเกมส์แทนกีฬามวยไทย หรือคนดังอย่าง ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล ศิลปินวง BLACKPINK และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ชาวโซเชียลฯ กัมพูชาบอกว่า มีเชื้อสายเขมร4
กระทั่งเกิดเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดหลายครั้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และมีการสั่งปิดจุดผ่านแดนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 4 แห่ง ได้แก่ ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี, ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ, ช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ และช่องสายตะกู จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจรวด BM-21 ของกัมพูชาได้ตกใส่บ้านเรือนประชาชน โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน และร้านสะดวกซื้อ5 และมีการนำเสนอเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทั้งไทยและต่างประเทศอย่างหลากหลายแง่มุม
จากการสำรวจการรายงานข่าวเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชาบนสื่อสังคมออนไลน์ พบว่า อินฟลูเอนเซอร์ AI และการรายงานข่าวของสำนักข่าวในไทย มีการสื่อสารข่าวสารอย่างเร้าอารมณ์ และกระตุ้นให้ผู้ชมเลือกฝ่ายหรือสร้างความเกลียดชังต่อชาวกัมพูชา รวมถึงบางแพลตฟอร์มยังมีการจำลองภาพสถานการณ์ความรุนแรง โดยไม่ได้อิงอยู่กับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น กรณีอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังซึ่งมียอดผู้ติดตามกว่า 6.2 ล้านคน โพสต์ข้อความว่า “ไล่เก็บพวกเหมนที่อยู่ไทยดีกว่า” ที่ได้รับยอดกดถูกใจมากกว่า 1 แสนครั้ง ก่อนจะถูกลบไปในภายหลัง6 กรณีข่าวเด็กมีนบุรีทำร้ายร่างกายชาวเขมรจนสลบ หรือกรณีประกาศบุกล่าชาวเขมรในประเทศไทย7
จากปรากฏการณ์ดังกล่าว เป็นภาพสะท้อนเพียงบางส่วนของการปลุกเร้าทางอารมณ์ของผู้รับชมไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ซึ่งหากไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการรับชม หรือขณะรับชมไม่มีบุคคลคอยให้คำแนะนำที่ดี ก็อาจก่อให้เกิดรอยแผลและนำไปสู่ความโกรธ ความเกลียดชังกันระหว่างไทยคนและคนเขมรได้ และอาจนำไปสู่ความรุนแรงและกระทำความผิดทางกฎหมายได้ในอนาคต
อาชญากรรมจากความเกลียดชัง (Hate Crime) ในสังคมไทย
สำหรับประเทศไทย อาชญากรรมจากความเกลียดชังยังไม่มีการให้คำจำกัดความ หรือบัญญัติให้เป็นการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญาไว้โดยตรงเหมือนกับในต่างประเทศ อย่างเช่นในสหรัฐอเมริกาที่มองว่า อาชญากรรมจากความเกลียดชัง คือการกระทำความผิดที่มีเหตุจูงใจจากความมีอคติ ที่มักจะเกิดจากความแตกต่างทางเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา ความเชื่อ เพศ รสนิยมทางเพศ หรือความพิการ โดยผู้ที่กระทำความผิดจะถูกดำเนินคดีอาญา เช่น การคุกคาม ข่มขู่ ทำลายทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกาย การฆาตกรรม
ส่วนเหตุการณ์จากความเกลียดชัง (Hate Incident) เป็นเพียงการแสดงออกซึ่งความเกลียดชัง แต่การกระทำนั้นยังไม่เข้าข่ายเป็นความผิดทางอาญา จึงไม่ถือเป็นอาชญากรรม เพราะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในเรื่องของสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เช่น การเรียกขานชื่อด้วยถ้อยคำที่ดูถูกด้วยการตั้งฉายา การแสดงข้อความที่มีเนื้อหาแสดงความเกลียดชัง ที่ไม่ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายหรือทรัพย์สิน8
ในสังคมไทยเรามักจะพบเจอกับเหตุการณ์จากความเกลียดชัง ผ่านการใช้ประทุษวาจา (Hate Speech) ทั้งการโจมตีด้วยคำพูด การคุกคาม การดูถูกดูหมิ่น หรือแม้แต่การล้อเลียนหรือทำให้ขบขัน ซึ่งการรับรู้ข่าวสารในลักษณะของการปลุกเร้าอารมณ์ผ่านสื่อออนไลน์ด้วยถ้อยคำต่างๆ เป็นประจำนั้น จึงอาจนำไปสู่การยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังหรือการใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นได้ด้วย
และหากมีการก่ออาชญากรรมจากความรู้สึกโกรธหรือความเกลียดชังขึ้น แม้ไทยเราจะไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับ Hate Crime โดยตรง แต่ยังคงสามารถลงโทษผู้กระทำความผิดในการใส่ร้ายผู้อื่นหรือทำร้ายผู้อื่นได้ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งจากการศึกษาการก่ออาชญากรรมในประเทศไทยที่เกิดจากความเกลียดชัง อาจแบ่งประเภทออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
- พวกที่ทำเพื่อความสนุกสนาน (Thrill-Seeking Crimes) คือบุคคลที่ทำเพื่อความสนุกและแสวงหาการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนฝูง ซึ่งมักพบในบุคคลที่อายุน้อย
- พวกทำเพื่อป้องกันหรือโต้กลับ หรือ Reactive (Defensive) Crimes คือพวกที่เห็นอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคามต่อตนเอง เมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่ตนมีอคติหรือเกลียดชังมาปรากฏต่อหน้าก็จะรู้สึกโกรธและเข้าทำร้ายสิ่งนั้น ซึ่งอาจจะไม่ใช่การคุกคามทางกายภาพ แต่เป็นการคุกคามต่อจิตใจ โดยลักษณะของบุคคลประเภทนี้พบในหลายมูลเหตุจูงใจอย่างเช่น เชื้อชาติและศาสนา
- พวกปฏิบัติตามหน้าที่ (Mission Crimes) คือพบในพวกที่ลักษณะของความผูกพันที่มีต่อสถาบันชั่วคราวของตนเอง เช่น สถาบันการศึกษา ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ตัดสินใจกระทำความผิด โดยรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของรุ่นน้องที่ต้องเชื่อฟังรุ่นพี่ รักษาศักดิ์ศรีของสถาบันการศึกษา การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของสถาบันการศึกษา
- กลุ่มพวกที่ได้ยินเรื่องเล่าลือว่า มีผู้ทำร้ายคนในกลุ่มเดียวกับตนเอง เมื่อได้ยินเสียงเล่าลือหรือข่าวลือจึงลงมือประกอบอาชญากรรม ในลักษณะการแก้แค้นทดแทนคนในกลุ่มเดียวกันกับผู้กระทำความผิดเป็นการเอาคืน (Retaliatory Crimes)9
สุดท้ายเมื่อความเกลียดชัง (อาจ) กลายเป็นอาชญากรรม
จากปมปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่มีมาอย่างยาวนานนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ได้สั่งสมความไม่พอใจให้เกิดขึ้นภายในจิตใจแก่คนทั้ง 2 ประเทศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และอาจนำไปสู่การมีอคติทางเชื้อชาติจากรุ่นสู่รุ่น
การสื่อสารในยุคปัจจุบันที่สะดวกและรวดเร็ว ได้กลายเป็นสิ่งเร้าที่มีอิทธิพลสามารถกระตุ้นความไม่พอใจ ความโกรธ ความเกลียดชังกับผู้คน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่มีวุฒิภาวะไม่มากพอ หรือวัยผู้ใหญ่ที่ใช้วิจารณญาณในการเสพสื่ออย่างไม่ระมัดระวัง ก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกร่วมอย่างไร้เหตุผลและนำมาซึ่งการก่ออาชญากรรม จากความเกลียดชังระหว่างประชาชนชาวไทยกับชาวกัมพูชาได้
1 รศ.ดร. ศานติ ภักดีคำ. (5 มิถุนายน 2568). “ไทย” ในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา ความเป็นชาตินิยมในแบบเรียน?. https://www.silpa-mag.com/history/article_39654
2 ไทยพีบีเอส. ความขัดแย้งจากรุ่นสู่รุ่น “สยาม-ละแวก” ประวัติศาสตร์บาดแผล คมมีดความทรงจำ. https://www.youtube.com/watch?v=aV6SJ7DBePE
3 ปิยชาติ สึงตี.(28 มกราคม 2559). ลำดับเหตุการณ์สำคัญข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร. https://lek-prapai.org/home/view.php?id=72
4 ศศิธร อักษรวิลัย, ศิชา รุ่งโรจน์ธนกุล.(15พฤศจิกายน 2567).ประชาไท. ทำไมชาวเน็ตไทย-กัมพูชาตีกันฉ่ำ ? วิเคราะห์รากปัญหา ดรามาแย่งชิงวัฒนธรรม. https://prachatai.com/journal/2024/11/111388
5 The Matter.(24 กรกฎาคม 2568). วันที่ความขัดแย้งมาถึงจุดสูงสุด สรุปสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงตอนนี้. https://thematter.co/brief/recap/thai-cambodia-clash/246995
6 ปวีณา นิลบุตร. (25 กรกฎาคม 2568). “อินฟลูเอนเซอร์” และ “เอไอ” มีส่วนกระตุ้นอารมณ์คนไทย เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างไร. บีบีซีไทย. https://www.bbc.com/thai/articles/cj0m0d7gm88o
7 อมรินทร์ทีวี. (25 กรกฎาคม 2568). เด็กมีนบุรีเดือด ไล่เก็บยอดคนเขมร.https://www.youtube.com/watch?v=4ZqisD5bvN4
8 สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส. (1 กันยายน 2565). ข้อควรรู้เกี่ยวกับอาชญากรรมจากความเกลียดชัง (Hate Crime). https://thaiconsulatela.thaiembassy.org/th/content/hate-crime?cate=613b1e8740487106353c9fb2
9 ลดาวัลย์ ใยมณี. (2562). การกระทำความผิดทางอาญากับอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง (HATE CRIME) ในประเทศไทย. วิทยานิพนธ์ตามหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยาและงานยุติธรรม ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.