เมื่อเราพูดถึงสิทธิและเสรีภาพที่พลเมืองพึงมีในสังคมที่เป็นประชาธิปไตย หลายคนคงนึกถึงเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการรวมกลุ่ม เสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง หรือสิทธิเสรีภาพในฐานะพลเมืองอื่นๆ ที่รัฐจำเป็นที่จะต้องคุ้มครอง แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีสิทธิเสรีภาพอีกอย่างหนึ่งเช่นกันที่มีความสำคัญไม่แพ้สิทธิอื่นๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด ซึ่งถือเสมือนเป็นสิ่งขั้นพื้นฐานที่สุดอันเป็นรากฐานสำคัญให้กับสิทธิเสรีภาพอื่นๆ นั้นคือ ‘เสรีภาพทางความคิด’ (Freedom of Thought) เสรีภาพนี้แม้ว่าจะสำคัญอย่างมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็มักจะถูกลืมเลือนและละเลย อาจเป็นเพราะว่าเสรีภาพนี้ดูเป็นเจตจำนงภายในที่ไม่สามารถมีสิ่งใดหรือผู้ใดก้าวล่วงหรือบังคับได้อยู่แล้ว อีกทั้งยังคงมีลักษณะที่เป็นนามธรรมสูงว่าสิ่งใดกันแน่คือ ‘ความคิด’ (Thought) และเหตุใดมันจึงควรได้รับความคุ้มครอง ยิ่งในอนาคตอันใกล้ที่จะถึงนี้ในวันที่เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นทุกวัน เรายังควรที่จะปล่อยปละเสรีภาพนี้อยู่หรือไม่

ในวันนี้ Rule of Law จะพามาทำความรู้จักกับเสรีภาพนี้ในเบื้องต้นด้วยกันว่า ความคิดว่าด้วยเสรีภาพทางความคิดนั้นมีที่มาอย่างไร ได้รับความคุ้มครองอย่างไร และความท้าทายของเสรีภาพทางความคิดในอนาคตอันใกล้

ที่มาของเสรีภาพทางความคิด

เสรีภาพทางความคิดนั้นได้ชื่อว่าเป็นความคิดพื้นฐานอันสำคัญในโลกตะวันตกมาอย่างยาวนาน เนื่องด้วยหลักการที่มองว่า ‘การที่มนุษย์มีเหตุผลนั้นทำให้ประเสริฐกว่าสิ่งอื่นๆ’ ดังที่จะเห็นได้จากการอนุกรมวิธาน (Taxonomy) ของอริสโตเติล เปรียบเปรยถึงความแตกต่างระหว่าง พืช-สัตว์-มนุษย์ ว่ามนุษย์นั้นอยู่เหนือกว่าสัตว์และพืช เพราะมีความสามารถในการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ รวมถึงความสามารถในการใช้เหตุผล1 ซึ่งความคิดรากฐานนี้เองเป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสิ่งอื่นๆ ตามความคิดของโลกตะวันตก และยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า การที่มนุษย์สามารถคิดไตร่ตรองถึงเหตุผลได้ เป็นรากฐานสำคัญของความเป็นมนุษย์

เสรีภาพทางความคิดได้ปรากฏขึ้นอย่างชัดแจ้งอีกครั้งหนึ่งในยุคสมัยใหม่ (Modern) ที่ผู้คนในโลกตะวันตกพยายามที่จะปลดแอกตนเองออกมาจากคริสตจักร ที่บังคับผู้คนให้เชื่อตามคำสอนของศาสนามากมาย รวมถึงการล่าแม่มดลงโทษคนที่เห็นต่างหรือมีความเห็นไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่โดยกล่าวหาว่า ผู้คนเหล่านั้นนอกรีต ความพัฒนาว่าด้วยวิทยาศาสตร์ทำให้กระแสความคิดเรื่อง ‘มนุษยนิยม’ ว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่มีเหตุผลในตัวเอง สามารถแสวงหาความสุขและความเชื่อในแบบที่ตนปรารถนาได้จึงปรากฏขึ้นมา ความคิดมนุษยนิยมนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการแยกเรื่องทางโลกออกจากเรื่องทางศาสนาลดอำนาจของศาสนจักร และให้ผู้คนมีเสรีภาพที่จะยึดถือในความเชื่อของตนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งความคิดว่าด้วยเสรีนิยมที่พยายามจะจำกัดอำนาจของรัฐผู้ปกครองให้มีอำนาจน้อยที่สุดเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงทำให้เกิดความคิดเรื่องของการคุ้มครองเสรีภาพทั้งในความคิดและการแสดงออกด้วย โดยทั้ง 2 เรื่องมักเป็นสิ่งที่ได้รับความคุ้มครองร่วมกันเพราะเป็นสิ่งที่เกื้อกูลต่อกัน2 กล่าวคือ “หากไร้เสรีภาพทางความคิดก็ไร้เสรีภาพในการแสดงออก และหากไร้เสรีภาพในการแสดงออกก็ไร้เสรีภาพทางความคิด” 

เสรีภาพทางความคิดได้รับการคุ้มครองอย่างไร

ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพของมนุษยชนนั้นได้รับการสั่นคลอนถึงขีดสุดเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวนั้นได้เกิดเหตุการณ์อันเลวร้ายมากมายที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่ว่าจะเป็นการสังหารด้วยอาวุธอันโหดเหี้ยม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การจับกุมผู้เห็นต่าง การที่รัฐสถาปนาตนเองเป็นรัฐตำรวจ (Police State) เพื่อสอดส่องและควบคุมความประพฤติของผู้คนว่า มีใครบ้างที่เห็นต่างไปจากผู้มีอำนาจ รวมถึงการสร้างโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ให้เชิดชูผู้นำรวมทั้งการปลูกฝังความเกลียดชังแก่มนุษย์ด้วยกันในฐานะศัตรู

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง กลุ่มประเทศต่างๆ ทั่วโลกจึงได้ตกลงร่วมกันในการสร้างสิทธิขั้นพื้นฐานในแก่มนุษย์ทุกคน เพื่อเป็นหลักประกันขั้นต่ำและให้ทุกประเทศจำเป็นต้องคุ้มครองสิทธินั้น โดยได้ประกาศใช้ปฏิญาณสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights: UDHR) ในปี 2491 ขึ้นมา ซึ่งในปฏิญาณดังกล่าวได้คุ้มครองให้มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพในความคิด มโนธรรม และศาสนาของตน3 ซึ่งต่อมาได้รับความคุ้มครองให้ชัดเจนมากขึ้นในกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ข้อที่ 184 ซึ่งสิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิอันสัมบูรณ์ (Absolute Right) อันผู้ใดก็ไม่สามารถล่วงเกินได้ทุกกรณี ซึ่งเป็นสิทธิที่ติดตัวมาแต่เกิด และสามารถใช้สิทธิดังกล่าวในการปฏิเสธป้องกันมิให้ผู้อื่นมารุกล้ำสิ่งอันเป็นเจตจำนงภายในของตนได้ เป็นเสมือนปราการอันสำคัญที่ห้ามมิให้ผู้ใดก้าวล่วงเป็นอันขาด

จากที่กล่าวมาจึงทำให้เห็นได้ว่า หลักว่าด้วยเสรีภาพทางความคิด ควบคู่ไปกับเสรีภาพในมโนธรรม และการนับถือศาสนาได้ถูกคุ้มครองไว้ในกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่มนุษย์ทุกคนโดยทั่วกันว่ามนุษย์ทุกคนได้รับความคุ้มครองโดยสมบูรณ์ในเสรีภาพทางความคิด มโนธรรม และการนับถือศาสนาของตน โดยการคุ้มครองดังกล่าวมีสาระสำคัญว่า5

1. มนุษยชนมีสิทธิที่จะยึดถือความคิดหรือความเชื่อใดเป็นการส่วนตัวได้

2. ความคิดและความเชื่อที่มนุษยชนยึดถือนั้นต้องเป็นอิสระและปลอดจากการถูกครอบงำบงการ

3. มนุษยชนต้องไม่ถูกลงโทษ เพราะเพียงแค่มีการยึดถือความเชื่อหรือความคิดหนึ่งใด

ความท้าทายของเสรีภาพทางความคิด

จะเห็นได้ว่าแม้มีการบัญญัติถึงเสรีภาพทางความคิดไว้ในกฎหมายอันเป็นหลักสิทธิมนุษยชนสากล รวมถึงกฎหมายในระดับรัฐธรรมนูญของหลายๆ ประเทศก็ตาม แต่เสรีภาพทางความคิดก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายและยังคงยากต่อการตีความคุ้มครองและบังคับใช้ อย่างเช่นประเด็นว่าเมื่อไรถึงจะกล่าวได้ว่าเสรีภาพทางความคิดของตนนั้นถูกรุกล้ำแทรกแซง (Violated) เส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพทางความคิดกับเสรีภาพในการแสดงออกนั้นอยู่ตรงไหน เมื่อไรจึงจะสามารถกล่าวได้ว่าความคิดนั้นถูกครอบงำและบงการ (Manipulate)

คำถามเหล่านี้ดูจะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของเทคโนโลยีอัจฉริยะ แพลตฟอร์มออนไลน์ และรวมถึงปัญญาประดิษฐ์ ที่ทำให้ข้อมูล พฤติกรรม การแสดงออก และปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ของเราในโลกของเทคโนโลยีนั้นถูกนำไปวิเคราะห์และประเมินผลมากขึ้นว่า เราเป็นคนอย่างไร เราชอบและดูท่าทางว่าจะชอบอะไร เรามีแนวคิดทางการเมืองแบบใด จะเสนอเนื้อหาและความต้องการให้แก่เราได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีเหล่านั้นอยู่ในความครอบครองและบงการของบริษัทเอกชนที่เป็นไปเพื่อผลิตสินค้า บริการ และสร้างกำไรนั้นยิ่งทำให้ตั้งคำถามได้ว่า ความคิดของเรากำลังถูกสอดส่องและทำให้กลายเป็นสินค้าในยุคของ ‘ทุนนิยมสอดแนม’ (Surveillance Capitalism) หรือไม่6

การที่แพลตฟอร์มนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการเมืองโดยอิงอาศัยจากข้อมูลพฤติกรรมของเราที่ปรากฏในโลกออนไลน์ และให้เรามุ่งเสพข่าวเฉพาะสิ่งที่เรามีแนวโน้มที่จะเห็นด้วย ทำให้เรามีแนวโน้มที่จะฟังความจากฝั่งที่เราชื่นชอบ และได้รับข้อมูลที่เป็นโทษแก่ฝั่งตรงข้าม ข่าวสารที่แพลตฟอร์มนำเสนอให้เราอย่าง ‘ฟองสบู่’ (Filter Bubble) นี้นั้นถือว่ามีอิทธิพลที่จะทำให้ความคิดของเราปราศจากความอิสระและถูกครอบงำบงการหรือไม่7

มีคำถามอีกมากมายเต็มไปหมดกับเสรีภาพทางความคิดและความท้าทายที่กำลังคืบคลานเข้ามาจากเทคโนโลยีสมัยใหม่มากมาย หากเราไม่พินิจพิเคราะห์และให้ความสำคัญกับคำถามเหล่านี้ให้ดี เสรีภาพทางความคิดในฐานะสิทธิอันสมบูรณ์ของมนุษยชนอาจเป็นเพียงแค่เรื่องในอดีตหรือเป็นเพียงสิทธิอันปรัมปราที่ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญและถูกลืมเลือน และเมื่อถึงเวลาดังกล่าว ความหมายของการเป็นมนุษย์ก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เรายากจะจินตนาการถึงและหายไปกับกระแสธารแห่งความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในท้ายที่สุด


1 ศุภวิทย์ ถาวรบุตร, ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ (กรุงเทพ: ยิปซีกรุ๊ป, 2563), 64-65.

2 John Stuart Mill, On Liberty (London: J.W.Parker, 1859), 10.

3 UDHR ข้อที่ 18 ความว่า “มนุษย์ทุกคนล้วนมีเสรีภาพในความคิด มโนธรรม และศาสนา สิทธิดังกล่าวนี้รวมถึงสิทธิที่จะเปลี่ยนแปลงศาสนาหรือความเชื่อ และสามารถใช้เสรีภาพนี้ได้ทั้งในทางปัจเจกและในกลุ่มชน ไม่ว่าจะในที่สาธารณะหรือส่วนตัว เพื่อแสดงถึงความเชื่อและศาสนา ในการสอน ปณิบัตรฝึกตน ประกอบกิจ หรือในการสงวนไว้”

4 ICCPR ข้อที่ 18 ความว่า “ 1. บุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิในเสรีภาพทางความคิด มโนธรรมและศาสนา สิทธินี้ย่อมรวมถึงเสรีภาพในการมีหรือรับถือศาสนา หรือมีความเชื่อตามคตินิยมของตน และเสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา หรือความเชื่อของตนโดยการสักการบูชา การปฏิบัติ การประกอบพิธีกรรมการสอน ไม่ว่าจะโดยลำพังตัวเอง หรือในชุมชนร่วมกับผู้อื่น และไม่ว่าต่อสาธารณชน หรือเป็นการส่วนตัว 2. บุคคลจะถูกบีบบังคับให้เสื่อมเสียเสถียรภาพในการมีหรือนับถือศาสนาหรือตามความเชื่อคตินิยมของตนมิได้ 3. เสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา หรือความเชื่อของบุคคลอาจอยู่ภายใต้บังคับแห่งข้อจำกัดเฉพาะที่บัญญัติโดยกฎหมาย และตามความจำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย สุขอนามัย หรือศีลธรรมของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นมูลฐานของบุคคลอื่น”

5 Susie Alegre, Freedom to Think: The long struggle to liberate our minds (London: Atlantic Books, 2022), 27.

6 ดู Shoshana Zuboff, The Age of Surveillance Capitalism: The Fight For A Human Future At the New Frontier of Power (London: Profile Books, 2019).

7  ดู Eli Pariser, The Filter Bubble: How the New Personalized Web Is Changing What We Read and How We Think (New York: The Penguin Press, 2011).

Tags: , ,