หากกล่าวถึงในแง่วิชาการทางกฎหมาย ‘หนี้’ ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งมีการกำหนดตั้งแต่บ่อเกิดแห่งหนี้ ผลแห่งหนี้ การชำระหนี้ และหนทางการระงับหนี้ โดยที่การศึกษากฎหมายก็จะมักชักชวนให้นักนิติศาสตร์ หมกมุ่นอยู่กับการพิจารณาการกระทำของผู้เป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้บนตรรกะของกฎหมายที่หนีไม่พ้นการตัดสินความถูกผิดตามข้อเท็จจริงต่างๆ ด้วยเหตุนี้ การศึกษากฎหมายจึงไม่ได้ให้ความสนใจชำเลืองมองไปที่เหตุปัจจัยล้อมรอบที่เกี่ยวข้องกับการผลักดันให้บุคคลต้องกลายเป็นลูกหนี้ จนอาจเป็นเหตุให้เกิดช่องโหว่ที่กฎหมายไม่สามารถครอบคลุมถึง นำไปสู่การเกิดหนี้ที่ไม่เป็นธรรม หนี้ภายใต้ข้อสัญญาที่บกพร่องหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่าทางเศรษฐกิจ
บทความชิ้นนี้ จะเป็นการลองนำพาการศึกษาวิเคราะห์กฎหมายหนี้ให้นอกเหนือบริบทระบบกฎหมายที่เป็นทางการ แต่จะเป็นการพิจารณาปัจจัยที่แฝงอยู่ล้อมรอบการกระบวนการก่อหนี้ของปัจเจกบุคคลว่ามีอยู่อย่างไรบ้าง เพื่อสะท้อนถึงข้อจำกัดของระบบกฎหมายที่ยังไม่สามารถรองรับความซับซ้อนของปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ผลักให้บุคคลตกอยู่ในภาวะหนี้สิน โดยเฉพาะในกรณีที่หนี้มิได้เกิดจากการเลือกโดยเสรี หรือเสรีภาพแห่งการทำสัญญา (Freedom of Contract) แต่เป็นผลผลิตทางเศรษฐกิจ สังคม และโอกาส
หนี้ในกระแสการพัฒนาเศรษฐกิจ
หนี้ย่อมเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ที่ถูกกระตุ้นจากระบอบเศรษฐกิจแบบตลาด (Market Economy) ที่แฝงฝัง (Embeddedness) ในระบบความสัมพันธ์ทางสังคม ตามความคิด คาร์ล โปลานยี (Karl Polanyi)1 นักสังคมวิทยาเศรษฐศาสตร์ที่มีผลงานสร้างชื่อคือ ‘The Great Transformation’ ความคิดดังกล่าวได้พูดถึง เงื่อนไขทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ถูกกำกับควบคุมจากปรากฏการณ์ทางการเมือง วัฒนธรรมและกิจกรรมต่างๆ ของผู้คนในสังคมโดยไม่สามารถแยกออกจากกันได้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างการสร้างหนี้หรือการกู้หนี้ยืมสินกันของปัจเจกบุคคลก็มาจากเงื่อนไขทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองที่ดำรงอยู่แวดล้อมชีวิตของมนุษย์
สังคมที่ระบบตลาดฝังรากลึกลงในระบบความสัมพันธ์ทางสังคม เงินที่เคยเป็นเพียงสื่อกลางการแลกเปลี่ยนหรือเครื่องวัดมูลค่าสินค้าและบริการ ก็ถูกทำให้กลายเป็นสินค้า นายทุนหรือผู้ที่สามารถครอบครองเงินตราได้จำนวนมากเงินตราถูกทำมาปล่อยกู้ เพื่อให้เจ้าของเงินแสวงหากำไรจากอัตราดอกเบี้ย และเวียนกลับมาเป็นเงินในมือของนายทุนที่เพิ่มขึ้นผ่านกระบวนการชำระหนี้ ทั้งในกรณีที่ลูกหนี้ไม่ปฏิบัติชำระหนี้ ยังสามารถบังคับเอาทรัพย์สินของลูกหนี้มาแทนได้ด้วย
ขณะเดียวกันระบอบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ที่เน้นตลาดเหนือรัฐ ลดกฎเกณฑ์กำกับที่มีผลต่อการเคลื่อนย้ายทุน ลดงบประมาณภาครัฐในการส่งเสริมสวัสดิการสังคม และแปรรูปกิจการรัฐและบริการสาธารณะให้เป็นของเอกชน ในงานของ อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ2 สะท้อนให้เห็นว่า เสรีนิยมใหม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับจุลภาคทางเศรษฐกิจในสังคม รัฐที่เปิดรับนโยบายเศรษฐกิจดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับระบบทุนนิยมที่แผ่ขยายอำนาจและอิทธิพลไปทั่วโลก ซึ่งมีศูนย์กลางคือสหรัฐอเมริกา โดยรัฐมักมุ่งพัฒนาที่เพ่งเล็งเฉพาะการเติบโตของตัวเลขทางเศรษฐกิจ เร่งรัดให้เกิดการไหลบ่าของทุนอย่างเสรี แต่กลับไม่ใส่ใจโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจที่แท้จริง พร้อมกับกระตุ้นการบริโภคที่ไม่มีเหตุผล สร้างระบบเศรษฐกิจผ่านภาคการเงินด้วยผลตอบแทนจากการเก็งกำไร ซึ่งได้นำพาให้หลาย ๆ ประเทศเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบฟองสบู่ที่เปราะบางและอ่อนไหวง่าย
ระบบเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและสร้างผลกระทบต่อชีวิตในทางเศรษฐกิจของปัจเจกบุคคลอย่างลึกซึ้ง ปฐมพงศ์ มโนหาญ3 และอรรถจักร สัตยานุรักษ์4 ได้พูดถึง สังคมของคนระดับรากหญ้าหรือในชนบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสลับซับซ้อนในทุกมิติภายใต้ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และการเผชิญหน้ากับสภาวะตึงเครียดภายใต้ผลกระทบความเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชน ย่อมผลักดันให้ปัจเจกบุคคลต้องต่อสู้เพื่อการขยับสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหนึ่งในวิธีการต่อสู้ที่สำคัญก็คือ การลงคะแนนเลือกผู้แทนราษฎรผ่านกระบวนการเลือกตั้ง
ด้านปฐมพงศ์กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของสังคมชนบทที่เริ่มจากยุคเศรษฐกิจชาวนา สู่การทำงานนอกภาคเกษตร ซึ่งส่งผลต่อระบบความสัมพันธ์ในสังคม จากเดิมที่อยู่ภายใต้การกำกับโดยจารีตของสังคมชาวนา เริ่มเกิดนายทุนอุปถัมภ์ และมีเครือข่ายการเงินนอกระบบของชาวบ้านที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ
อีกทั้งงานศึกษาของ อานุภาพ นุ่นสง5 ที่ได้นำเสนอเพิ่มเติมว่า การขยายตัวของการปลูกพืชพาณิชย์เพื่อการอยู่รอดในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ทำให้บางพื้นที่กลายเป็นแหล่งผลิตสินค้าขนาดใหญ่ เกษตรกรในฐานะปัจเจกบุคคลย่อมถูกบีบบังคับให้ต้องปรับตัว เสริมสร้างประสิทธิภาพ เพิ่มศักยภาพให้ตนเองไปถูกตัดขาดจากตลาด6 จึงตามมาด้วยกระบวนการสร้างหนี้ เช่น กรณีการก่อสร้างเส้นทางเส้นหลักตัดเข้าสู่ไร่ข้าวโพด ทำให้สามารถขนส่งผลผลิตจากไร่ออกสู่ถนนใหญ่ได้สะดวก ชาวบ้านจึงซื้อรถ ทั้งรถกระบะและรถมอเตอร์ไซค์เพื่อใช้ทุ่นแรงในการขนส่งข้าวโพดออกจากไร่ รถยนต์เหล่านี้นอกจากทำหน้าที่ลำเลียงผลผลิตแล้วยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการเดินทางแก่ชาวบ้านให้เชื่อมต่อกับโลก ภายนอกได้อย่างสะดวกรวดเร็วและง่ายดายอีกด้วย
หนี้ ภายใต้แรงบีบบังคับ การเอาชีวิตรอด
การพิจารณาการเกิดขึ้นของหนี้ที่มิใช่เพียงการกู้ยืมมาเพื่อจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน หรือการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวของลูกหนี้ ในงานเรื่องปรัชญาว่าด้วยหนี้ (Philosophy of Debt)7 ของ อเล็กซานเดอร์ ดักลาส (Alexander Douglas) ช่วยให้เข้าใจได้ว่า หนี้อาจเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีสถานะด้อยทางสังคมและเศรษฐกิจ ทั้งยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเอาชีวิตรอด ณ ช่วงเวลาวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต เช่น สงคราม ภัยแล้ง โรคระบาด ฯลฯ ดักลาส มองย้อนไปว่า ‘หนี้’ ในยุคโบราณ เมื่อสังคมเผชิญกับช่วงวิกฤตดังกล่าว ลูกหนี้ส่วนใหญ่ที่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรจำเป็นต้องหวังพึ่งพาการกู้ยืมเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยสุดโหด สะท้อนภาพของการขูดรีดคนจนด้วยการบีบบังคับให้พวกเขาต้องกู้ยืมเงิน เพื่อความอยู่รอด จนนำพาไปสู่การสูญเสียทรัพย์สิน การขายสมาชิกครอบครัวให้ตกเป็นทาสรูปแบบต่างๆ ของเจ้าของเงิน เพราะการชำระหนี้เต็มจำนวนเป็นเรื่องที่อยู่บนภาระผูกพันทางศีลธรรมอย่างหนึ่ง
ข้ามมายังห้วงเวลาปัจจุบัน การปล่อยกู้กินดอกเบี้ย ด้านหนึ่งอาจเป็นกรณีที่ผู้มีเงินทุนหนานำเงินออมที่ไม่ได้ใช้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์โดยผู้อื่นไม่ให้เงินจมอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งความเลวร้ายก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน จากกรณีที่คนรวยปล่อยเงินให้คนจนกู้ยืม โดยที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะจนลงกว่าเดิม เพราะไม่สามารถชำระหนี้ได้ ถูกยึดทรัพย์สิน ฯลฯ แต่ทว่าสุดท้าย สำหรับผู้ที่ยากจนข้นแค้นไม่มีทางเลือกอาจต้องยอมรับเงื่อนไขในข้อสัญญาเงินกู้ด้วยความสิ้นหวัง
การต่อสู้เอาตัวรอดในภาวะที่มนุษย์ต้องพึ่งพาตนเองและบนความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจย่อมเชื่อมโยงโดยตรงกับกระบวนการสร้างหนี้ งานของ สจวร์ต รัทเทอร์ฟอร์ด (Stuart Rutherford)8 ที่ส่วนหนึ่งของงานเสนอว่า กระบวนการสร้างหนี้ของปัจเจกบุคคลที่ไม่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นส่วนหนึ่งของการใช้บริการ ‘การออม’ โดยเรียกว่าเป็น การออมแบบผ่อนส่ง (Saving Down)9 หรือการออมเงินล่วงหน้าโดยใช้เงินออมในอนาคตเป็นหลักประกัน ซึ่งเกิดจากความต้องการเงินก้อนบนความจำเป็น 3 เรื่อง ได้แก่10 หนึ่ง เหตุการณ์ตามวงจรชีวิต เช่น การแต่งงานที่ต้องมีสินสอด ค่าใช้จ่ายในการคลอดลูก ส่งเสียลูก ๆ เข้าเรียน งานเลี้ยงฉลองปีใหม่ ฯลฯ11 สอง เหตุฉุกเฉิน เช่น กรณีเจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ หรือสภาวะวิกฤตต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม อุทกภัย อัคคีภัย วาตภัย หรือเหตุฉุกเฉินอื่น ๆ ที่ทำให้คนจำเป็นต้องใช้เงินสดมากกว่าเงินที่มีปกติในครัวเรือน และสาม การสร้างโอกาส ยกระดับสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม เงินก้อนยังจำเป็นสำหรับการลงทุน ริเริ่มธุรกิจ ซื้อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้
ในงานรัทเทอร์ฟอร์ดเสนอข้อมูลเพิ่มเติมว่า คนจนบางคนชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลถ้าเขาสามารถจ่ายสินบนเพื่อให้ได้งานประจำ หรือจ่ายให้ใครสักคนได้ย้ายเข้าไปในเมือง หรือไปต่างประเทศเพื่อทำงานหารายได้ ส่งลูกเรียนระดับสูงให้มีหน้าที่การงานที่ดี ก็เป็นอีกหนทางในการทำให้สถานภาพดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา
หนี้กับการสร้างตัวตน
การก่อหนี้สิน อาจเกี่ยวข้องกับกรณีการสร้างตัวตนของปัจเจกบุคคล กล่าวคือ หนี้ยังเป็นประเด็นเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ที่ถูกใช้เพื่อประกอบการตัดสินในการกระทำต่าง ในชีวิตประจำวัน การสร้างตัวตน การสร้างอัตลักษณ์ให้เป็นที่ยอมรับในสังคม ตลอดจากการแสวงหาความสุขจากการบรรลุเป้าหมายในชีวิตที่สังคมโดยรอบมีส่วนในการปลุกเร้าอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างสำคัญปรากฏในงานศึกษาของ รอนนี โคเฮน (Ronnie Cohen) และแชนนอน โอไบรน์ (Shannon O’Byrne)12 ที่ศึกษาให้เห็นถึงประเด็นอิทธิพลหรือปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อ อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนอเมริกัน ในการตัดสินใจเข้าทำสัญญาเงินกู้เพื่อซื้อบ้านที่ดิน ก่อนเกิดวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ (Subprime crisis)13 งานศึกษานี้ได้อ้างถึงกระแส ‘American Dream’ ที่มีต่ออารมณ์ความรู้สึกของอเมริกันชนกับความฝันในการมีบ้านเป็นของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การได้รับประโยชน์จากสวัสดิการต่างๆ การเป็นที่ยอมรับ การมีชีวิตที่ดีขึ้น การเป็นพลเมืองอเมริกันที่สมบูรณ์แบบ14 แต่อีกด้านหนึ่ง อารมณ์ความรู้สึกก็ส่งกระทบต่อเรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยง การเข้าทำสัญญามีปัญหาที่ถูกมองข้ามโดยเฉพาะเรื่องความสมมาตรของข้อมูล กล่าวคือ ข้อมูลระหว่างผู้กู้กับผู้ให้กู้นั้นต่างกัน ธนาคารผู้ให้กู้ ก็พยายามปล่อยสินเชื่อให้ได้มากที่สุด เพื่อหวังว่าจะได้เก็บดอกเบี้ยได้15
ขณะที่กฎหมายสัญญากลับไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปจัดการกับการทำสัญญาที่ถูกยอมรับว่า เป็นไปตามหลักเสรีภาพในการทำสัญญาของปัจเจกบุคคลได้ และโดยทั่วไป พัฒนาการของระบบกฎหมายจะพยายามปลดเปลื้องให้กฎหมายปลอดจากสิ่งที่อยู่บนฐานอารมณ์ความรู้สึก แต่ต้องเป็นไปตามหลักการและเหตุผลเท่านั้น กฎหมายจะไม่สนใจ และพร้อมจะลงโทษทันทีสำหรับบุคคลที่กระทำการใดๆ แบบไม่มีเหตุผล ไม่ยั้งคิด16 ดังนั้น ด้วยกฎหมายสัญญาที่เป็นอยู่ การกู้ยืมเงินที่ไม่มีการปฏิบัติตามสัญญา ชดใช้คืนภายหลัง จึงเป็นสิ่งที่สมควรแก่การถูกลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นการถูกยึดทรัพย์สินบังคับขายทอดตลาด เสียประวัติการเป็นลูกหนี้ที่ดีเป็นต้น
นอกจากนี้ในบริบทของระบบทุนนิยมยุคใหม่ ความปรารถนาในการขยับฐานะทางสังคมได้กลายมาเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ผลักดันให้บุคคลเข้าสู่กระบวนการก่อหนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ งานศึกษาของ Christoph Sorg ชี้ให้เห็นว่า ภายใต้โครงสร้างของ ‘เศรษฐกิจแห่งหนี้’ (Debt Economy) ปัจเจกบุคคลถูกกระตุ้นให้ ‘ลงทุนในตนเอง’ ไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืมเพื่อการศึกษา ประกอบอาชีพ หรือแม้แต่สร้างภาพลักษณ์ เพื่อยกระดับตนเองให้เป็นทุนมนุษย์ (Buman Capital) ที่มีศักยภาพในการแข่งขันและไต่เต้าสถานะในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่17
กระบวนการดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นโดยลำพัง แต่ดำรงอยู่ภายใต้กรอบคิดที่ทำให้ ‘หนี้’ กลายเป็นทั้งเครื่องมือและหลักฐานแห่งความมุ่งมั่นในตนเอง กล่าวคือ การกู้ยืมเงินถูกทำให้เข้าใจว่าเป็นการเสี่ยงที่ ‘จำเป็น’ เพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคล และในขณะเดียวกัน ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการบริหารหนี้ยังถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดศักยภาพ ความรับผิดชอบ และคุณค่าของบุคคลในสายตาระบบ18 Sorg ให้ข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจแบบนี้ไม่ได้เพียงส่งเสริมความทะเยอทะยานของบุคคลเท่านั้น แต่ยังแฝงไว้ด้วยความเสี่ยงทางโครงสร้าง กล่าวคือ แม้หนี้จะดูเป็นการลงทุนในอนาคต แต่ก็อาจกลายเป็นเครื่องมือของการควบคุม กีดกัน และสร้างความไม่เท่าเทียมทางสังคมในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทรัพยากรจำกัดซึ่งต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยสูง ความไม่มั่นคงทางรายได้ และการขาดหลักประกันทางสังคม19
ดังนั้นความต้องการในการขยับสถานะทางสังคมจึงไม่ได้เป็นเพียงเป้าหมายส่วนบุคคล แต่ยังเป็นกลไกที่ระบบเศรษฐกิจร่วมสมัยใช้ในการผลักให้ผู้คนเข้าสู่หนี้อย่างเป็นระบบ ซึ่งต้องการการวิเคราะห์อย่างวิพากษ์และเชื่อมโยงกับโครงสร้างอำนาจและอุดมการณ์ที่อยู่เบื้องหลัง
บทสรุป
การศึกษาว่าด้วย ‘หนี้’ ในบทความนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของการทำความเข้าใจหนี้เฉพาะในกรอบกฎหมายที่เป็นทางการ ซึ่งมักพิจารณาบนฐานของความสมัครใจ เสรีภาพในการทำสัญญา และหลักการรับผิดส่วนบุคคล โดยละเลยเงื่อนไขเชิงโครงสร้างที่ผลักให้บุคคลกลายเป็นลูกหนี้ ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่ฝังรากลึกในสังคม วัฒนธรรมบริโภคนิยมที่เร้าแรงปรารถนาในการขยับสถานะ หรือภาวะการดำรงชีวิตที่เปราะบางในบริบทที่ขาดระบบสวัสดิการ
จากการทบทวนแนวคิดของ Polanyi, Douglas, Rutherford รวมถึงการวิเคราะห์จากงานของ Christoph Sorg บทความนี้สะท้อนว่า หนี้มิใช่เพียงเรื่องของกฎหมาย แต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่สัมพันธ์กับอำนาจ ความไม่เท่าเทียม และการต่อสู้เพื่ออยู่รอดในระบบทุนนิยมสมัยใหม่ ความปรารถนาในการพัฒนาตนเอง การมีชีวิตที่ดีขึ้น หรือแม้แต่การแสดงตนให้เป็นที่ยอมรับ ล้วนถูกกลไกของตลาดแปลงเป็นภาระหนี้ที่บุคคลต้องแบกรับโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นหากจะสร้างความเข้าใจที่ครอบคลุมและเท่าทันต่อปรากฏการณ์ ‘หนี้’ อย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องเคลื่อนออกจากกรอบความเข้าใจแบบนิติศาสตร์ดั้งเดิม และเปิดรับมุมมองเชิงวิพากษ์ที่ตระหนักถึงบริบททางโครงสร้าง อารมณ์ความรู้สึก และพลวัตทางอำนาจ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการก่อหนี้ในโลกปัจจุบัน
อ้างอิง
1 คาร์ล โปลานยี, เมื่อโลกพลิกผัน : การปฏิวัติอุตสาหกรรม จุดกำเนิดการเมืองและเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน, แปลโดย ภัควดี
วีระภาสพงษ์, (นนทบุรี : ฟ้าเดียวกัน, 2559)
21996), วารสารสังคมศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ, 43(2) กรกฎาคม – ธันวาคม 2556, 124 – 156.
3 ปฐมพงศ์ มโนหาญ, การเมืองเรื่องการเลือกตั้งบนวิถีความเปลี่ยนแปลงของสังคมชนบท (ปี พ.ศ.2520 – 2554): กรณีศึกษา ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย, (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555).
4 สัตยานุรักษ์ อรรถจักร์, “ความเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็น “เมือง” ของสังคมชนบท : กระบวนการเคลื่อนไปสู่ ‘ประชาธิปไตย’”, วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี, 6(2) (ธันวาคม 22, 2014), 93 –120.
5 อานุภาพ นุ่นสง, ความเปลี่ยนแปลงในชนบทภาคเหนือ : ศึกษาการจัดการสมบัติชุมชนของ “ชุมชน” และ “หย่อมบ้าน” อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2500 – 2550 (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555).
6 สัตยานุรักษ์ อรรถจักร์, เรื่องเดียวกัน, 114.
7 Alexander X. Douglas, The Philosophy of Debt, (London: Routledge, 2016)
8 สจวร์ต รัทเทอร์ฟอร์ด, การเงินคนจน, แปลโดยสฤนี อาชวานันทกุล, (ซอลท์ พับลิชชิ่ง: กรุงเทพฯ, 2563).
9 เรื่องเดียวกัน, 45 – 46.
10 เรื่องเดียวกัน, 27.
11 เรื่องเดียวกัน, 28.
12 Cohen, R., & O’Byrne, S., Burning down the house: law, emotion, and the subprime mortgage crisis. Real Property, Trust and Estate Law Journal, 45(4), 677-730.
13 วิกฤติครั้งนี้เริ่มจากการที่ภาวะฟองสบู่ในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกาแตก และการผิดชำระหนี้ของสินเชื่อซับไพรม์และสินเชื่อดอกเบี้ยลอยตัว ที่เริ่มต้นขึ้นในช่วง พ.ศ. 2548 – พ.ศ. 2549 ผู้กู้ยืมนั้นกู้ยืมสินเชื่อที่เกินกำลังโดยคิดว่าตนจะสามารถปรับโครงสร้างเงินกู้ได้โดยง่าย เพราะในตลาดการเงินนั้นมีมาตรฐานการปล่อยกู้ที่ต่ำลง ผู้ปล่อยกู้เสนอข้อจูงใจในการกู้ยืม เช่นเงื่อนไขเบื้องต้นง่าย ๆ และแนวโน้มราคาบ้านที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ทว่าการปรับโครงสร้างเงินกู้กลับเป็นไปได้ยากขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มสูงขึ้นและราคาบ้านเริ่มต่ำลงในปี พ.ศ. 2549 – พ.ศ. 2550 ในหลายพื้นที่ในสหรัฐ การผิดชำระหนี้และการยึดทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อหมดเงื่อนไขเบื้องต้นอย่างง่าย ราคาบ้านไม่สูงขึ้นอย่างที่คิด และอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเริ่มสูงขึ้น การยึดทรัพย์สินในสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2549และทำให้ปัญหาทางการเงินนั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วทั่วโลกในปี พ.ศ. 2550 – พ.ศ. 2551 ใน Justin Lahart, “Egg Cracks Differ In Housing, Finance Shells,” 24 December 2007, The Wall Street Journal, https://www.wsj.com/articles/SB119845906460548071 (Retrieve on 26 February 2024)
14 Cohen, R., & O’Byrne, S., ibid, 685.
15 Ibid, 711.
16 Ibid, 717.
17 Christoph Sorg, Social Movements and the Politics of Debt: Transnational Resistance against Debt on Three Continents (Amsterdam: Amsterdam University Press, 2022), 34.
18 Ibid, 34–35
19 Ibid, 35–36
Tags: หนี้, ทุนนิยม, ตลาด, กฎหมาย การลงทุน, กฎหมายหนี้