“ครม.ได้ยินเฉยๆ แต่ไม่ได้รับทราบ” รัฐมนตรีแรงงานถอนวาระขึ้น ‘ค่าแรงขั้นต่ำ’ ภายหลัง ‘เศรษฐา’ ทักท้วงตัวเลขต่ำเกินไป

วันนี้ (12 ธันวาคม 2566) นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีตอนหนึ่งว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รายงานเรื่องคณะกรรมการค่าจ้างซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคี ระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล ฝ่ายละ 5 คน และประชุมไปแล้วเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีการพิจารณาเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 2-16 บาทต่อวัน สูงสุดอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต 370 บาทต่อวัน กรุงเทพฯ และปริมณฑล 363 บาทต่อวัน และต่ำสุดอยู่ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 330 บาท

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานตั้งข้อสังเกตเรื่องสูตรการคำนวณค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งคณะอนุกรรมการค่าจ้างแต่ละจังหวัดเสนอ และคณะกรรมการค่าจ้างอนุมัติ โดยเป็นการใช้หลักการคำนวณในเรื่องค่าจ้างเดิม ค่าครองชีพ สภาพเศรษฐกิจของประเทศ และผลิตผลมวลรวม 5 ปีย้อนหลัง ทว่าในช่วงเวลาปี 2563-2564 ประเทศประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

“สองปีนั้นเป็นปีที่ประเทศถดถอยอย่างมาก การเอาสองปีนั้นมาคำนวณ ทำให้ได้ตัวเลขต่ำกว่าความเป็นจริง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงเห็นว่าน่าจะเอาออกไป” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุ

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีรับฟังเรื่องดังกล่าวและเห็นด้วยกับข้อสังเกตนั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจึงถามว่าจะเสนอให้รับทราบหรือไม่ อย่างไรก็ตาม พิพัฒน์เสนอว่าจะนำเรื่องดังกล่าวกลับไปทบทวนอีกครั้ง

“ครม.ได้ยินเฉยๆ แต่ยังไม่รับทราบ ส่วนจะทบทวนหรือไม่ เป็นบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้าง” ชัยกล่าวสรุป

ทั้งนี้ การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละปีมีหลักเกณฑ์ที่บังคับไว้กำหนดไว้ชัดเจน ตามมาตรา 87 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2560 โดยค่าแรงขั้นต่ำต้องคำนึงถึงฐานเดิมว่า ค่าจ้างเดิมได้เท่าไร และคำนึงถึงค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อว่าอยู่ที่เท่าไร

นอกจากนี้ ยังมีมาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจว่าจะจ่ายได้ไหม ผลิตภาพของแรงงาน ผลิตผลมวลรวมของประเทศ สภาพเศรษฐกิจของประเทศ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เศรษฐา ทวีสิน ให้สัมภาษณ์ว่า ‘ไม่เห็นด้วย’ กับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในอัตรา 2-16 บาท พร้อมกับระบุว่า เป็นการขึ้นค่าแรงที่น้อยเกินไป ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่สามารถซื้อไข่ได้ลูกหนึ่งด้วยซ้ำ ทำให้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใดสัดส่วนรัฐบาลในคณะกรรมการค่าจ้างซึ่งมีทั้งสิ้น 5 คน จึงไม่ได้ทักท้วงเรื่องดังกล่าวในที่ประชุม