วันนี้ (7 สิงหาคม 2025) โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งประธานาธิบดี (Executive Order) ขึ้นภาษีนำเข้าอินเดียรวมทั้งสิ้น 50% โต้การซื้อน้ำมันจากรัสเซียที่ก่อสงคราม นับเป็นตัวเลขสูงสุดในมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และมีผลบังคับภายใน 21 วันข้างหน้า หรือ 27 สิงหาคมที่กำลังจะถึงนี้
หลังจาก สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) ผู้แทนของสหรัฐฯ ในนามทรัมป์ เดินหน้าไปมอสโกเพื่อพบปะ วลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ผู้นำรัสเซีย โดยทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า การเจรจามีประสิทธิภาพอย่างมาก แต่ในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ประณามการรุกรานของรัสเซียในยูเครนว่า บ่อนทำลายความมั่นคงแห่งชาติ และนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ประเทศควรมีมาตรการเข้มงวดเพื่อแก้ไขสถานการณ์รุนแรงระดับชาติ โดยหนึ่งในเหตุการณ์ที่ถูกมองว่า ขัดต่อแนวทางของสหรัฐฯ คือกรณีอินเดียนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย
“อินเดียกำลังสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำมันของรัสเซียทั้งทางตรงและทางอ้อม สหรัฐฯ เห็นถึงความจำเป็นและความเหมาะสมอย่างยิ่งที่ต้องเก็บภาษีนำเข้าอินเดียเพิ่มอีก 25%” แถลงการณ์จากทำเนียบขาวระบุ
จากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลให้อินเดียกลายเป็นประเทศที่เผชิญอัตราภาษีสูงที่สุด รวมทั้งสิ้นจากอัตราเดิมเป็น 50% โดยมาตรการภาษี 25% ชุดแรก มีผลบังคับใช้ในวันที่ 8 สิงหาคมนี้ ขณะที่ภาษีต้านรัสเซียระลอก 2 อีก 25% จะเริ่มบังคับใช้ในอีก 21 วันข้างหน้า หรือ 27 สิงหาคมที่จะถึงนี้
สำหรับท่าทีของอินเดียในปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศโพสต์แถลงการณ์ปฏิเสธว่า การนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียเป็นไปเพราะวัตถุประสงค์ทางการค้า และตอบสนองความต้องการด้านความมั่นคงทางพลังงานของประชากร 1.4 ล้านคนในประเทศ
“นี่จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งที่สหรัฐฯ เลือกเก็บภาษีศุลกากรกับอินเดีย เพราะการกระทำที่หลายประเทศทำก็เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ” แถลงการณ์ยังระบุว่า อินเดียทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ
ในช่วงต้นสัปดาห์ ทรัมป์ย้ำประเด็นภาษีใน Truth Social โดยอ้างว่า อินเดียกำลังช่วยเหลือรัสเซียในสงครามกับยูเครน ด้วยการซื้อน้ำมันในปริมาณมหาศาล และขายต่อเพื่อหวังผลกำไร โดยไม่สนใจว่า คนยูเครนจะถูกสังหารด้วยน้ำมือของรัสเซีย
น่าสนใจอย่างยิ่งว่า ล่าสุดเมื่อสื่อมวลชนถามทรัมป์ว่า สหรัฐฯ คิดจะขึ้นภาษีเช่นนี้กับจีนหรือไม่ ซึ่งเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย แต่ไม่ปรากฏรายชื่อในแถลงการณ์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตอบว่า สถานการณ์ดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้น แต่ยังบอกไม่ได้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า เขาวางแผนจะทำเช่นนี้กับอีก 2-3 ประเทศ ซึ่งจีนอาจเป็นหนึ่งในนั้น
ทั้งนี้บทวิเคราะห์จาก Al Jazeera มองความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดีย 2 พันธมิตรมหาอำนาจแห่งอินโดแปซิฟิกว่า ตกต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เพราะปัจจัยต่างๆ ทั้งความไม่ลงรอยด้านการค้าจากมาตรการภาษี, ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของอินเดีย-รัสเซียเป็นทุนเดิม, การเจรจาสงบศึกอินเดีย-ปากีสถานในแคชเมียร์, ความสัมพันธ์ที่เพิ่มมากขึ้นของสหรัฐฯ-ปากีสถาน และนโยบายเนรเทศคนต่างชาติของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์เชื่อว่า อินเดียจะไม่หยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซีย เพื่อเอาใจทรัมป์และสหรัฐฯ เนื่องจากนโยบายต่างประเทศ 2 ขา ที่เป็นหัวใจสำคัญของการต่างประเทศอินเดียตั้งแต่หลังสงครามเย็นคือ เข้าหาสหรัฐฯ ในด้านความมั่นคง แต่ทำการค้ากับรัสเซีย
ไมเคิล กูเกลแมน (Michael Kugelman) ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียใต้ที่ Wilson Center มองว่า ทรัมป์พยายามกดดันให้อินเดียละทิ้งแนวทางการต่างประเทศข้างต้น หลังมีความพยายามผูกสัมพันธ์กับรัสเซียและ BRICS มากขึ้นในระยะหลัง ซึ่งมีภาพลักษณ์ต้านสหรัฐฯ แต่อินเดียจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น และอาจทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น
อ้างอิง
https://edition.cnn.com/2025/08/06/politics/india-tariffs-trump-russian-oil
https://www.bbc.com/news/articles/c1dxr1g4y7yo
Tags: รัสเซีย, อินเดีย, ทรัมป์, เอเชียใต้, น้ำมัน, สหรัฐฯ, รัสเซีย-ยูเครน, สหรัฐอเมริกา, โดนัลด์ ทรัมป์