วันนี้ (29 กันยายน 2568) ที่อาคารรัฐสภา ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขึ้นอภิปรายเป็นครั้งแรกในการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยเริ่มจากการชื่นชม สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ว่า อภิปรายข้อมูลที่มีรายละเอียด และเป็นประโยชน์กับรัฐบาลในการไปปฏิบัติต่อไป พร้อมกับกล่าวเห็นด้วยว่า ข้อตกลงในรายละเอียดกรณีภาษีตอบโต้ (Agreement on Reciprocal Tax) นั้น ยังไม่ชัดเจน เพราะรัฐบาลก่อนหน้ายังไปไม่ถึงขั้นตอนเจรจารายละเอียดทางเทคนิค ซึ่งรัฐบาลนี้จะทำให้ได้และทำให้สำเร็จภายใน 4 เดือนข้างหน้า
.
สำหรับเรื่องการสวมสิทธิแหล่งกำเนิด ศุภจีระบุว่ากระทรวงพาณิชย์ได้แก้ไขเรื่องนี้แล้ว โดยการออก Certificate of Origin หรือ C/O นั้น ขณะนี้มีความเข้มงวดมากขึ้น และมีระบบตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง ไปยังปลายทาง โดยปลายทางสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ขณะเดียวกันการปลอมแปลงถิ่นกำเนิดสินค้าผ่านการปลอมใบ C/O ก็พบว่า มีการทำ ‘ลายน้ำ’ ชัดเจน ปลอมแปลงได้ยาก และมีระบบป้องกันทางดิจิทัลเสริมเพิ่มเติม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังกล่าวด้วยว่า เรื่องผู้ประกอบการ SMEs กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการช่วยเหลือ 6 ด้าน ได้แก่ ขยายตลาดใหม่ โดยเจาะประเด็นว่าประเทศใด ต้องการอะไรมาก และเล็งเห็นศักยภาพในตลาดเอเชียใต้ว่า มีมูลค่าและมีความต้องการสินค้าที่ตรงกับการผลิตของประเทศไทย เช่นเดียวกับประเทศตะวันออกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา ซึ่งจะเน้นให้ SMEs ไทยมีความสามารถในการเปิดตลาดเหล่านี้ ผ่านทั้งกระทรวงพาณิชย์ และสมาคมต่างๆ ทางภาคเอกชน
ขณะเดียวกันในเรื่องการพัฒนาศักยภาพ กระทรวงพาณิชย์จะส่งเสริมเรื่องแพลตฟอร์มช่วยดูระบบบัญชี ระบบสินค้าคงคลัง ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในการให้ทุน SMEs 1 หมื่นบาทต่อราย ช่วยพัฒนาการทำธุรกิจให้ SMEs มีศักยภาพมากขึ้น และใช้เครื่องไม้เครื่องมือได้มากขึ้น รวมถึงจะพุ่งเป้าเน้นไปที่ธุรกิจเป้าหมาย คือธุรกิจอาหาร สุขภาพ ความงาม ธุรกิจสุขภาพ ธุรกิจครอบครัวขนาดเล็ก ค้าส่งค้าปลีก และการให้บริการผู้สูงอายุ
นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์จะเร่งลดค่าครองชีพโดยตรง ผ่านการทำมหกรรมธงฟ้า ที่จะทำเพิ่มเติมใน 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งประชาชนได้รับผลกระทบเรื่องการค้าชายแดน ขณะเดียวกันจะเพิ่มการลดค่าครองชีพในเรื่องที่จำเป็น เช่น ลดค่าใช้จ่ายสุขภาพ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลเอกชน ให้คนไข้รับทราบค่ายาก่อนโรงพยาบาลจ่ายยา และให้คนไข้สามารถมีทางเลือกในการซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกได้ ซึ่งในเรื่องนี้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้กว่า 3.4 หมื่นล้านบาทต่อปี
ศุภจียังพูดถึงสินค้าเกษตรว่า รัฐบาลเตรียมประเมินอุปสงค์-อุปทานล่วงหน้า โดยใช้ Data ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) คาดการณ์ล่วงหน้า และสื่อสารถึงเกษตรกร ถึงสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ในการประเมินอุปสงค์-อุปทานล่วงหน้าว่าเป็นอย่างไร เพื่อให้ประเมินตลาดได้แม่นยำมากขึ้น
ขณะเดียวกันในเรื่อง ‘ราคาข้าว’ ซึ่งหลายครั้ง ราคาข้าวต่ำมาก อยู่ที่ 5,000-6,000 บาทต่อเกวียน กระทรวงพาณิชย์มองว่า มีปัญหาโดยเฉพาะข้าวในภาคกลางที่ไม่มีวัฒนธรรมเก็บข้าวในยุ้ง แม้ปลูกแล้วยังไม่ได้คุณภาพก็ต้องเกี่ยว ก็จำเป็นต้องหาวิธีให้ความรู้ว่าจะทำอย่างไรในการจัดการสินค้าและผลิตภัณฑ์ในช่วงนั้น
อีกข้อคือเรื่องการผลักดันการส่งออก ที่ต้องไม่ละเลยลูกค้าเดิมและหาลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ ขณะเดียวกันต้องเพิ่มศักยภาพใหม่ผ่านการแปรรูป อีกส่วนคือการนำเข้า มีนโยบายในการลดการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และงดการนำเข้าสินค้าที่เกิดจากการเผาที่เป็นต้นตอของฝุ่นพิษ PM2.5
ศุภจียังพูดถึงการหาพันธุ์ข้าวอื่น ที่สร้างมูลค่าเศรษฐกิจเพิ่มเติมมากขึ้น รวมถึงการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และการหาพืชมูลค่าสูงที่ทดแทนหรือเสริมพืชเดิม ขณะเดียวกันยังมีนโยบายในการรักษาเสถียรภาพข้าว โดยไม่เน้นดูในระยะสั้น แต่แก้ปัญหาระยะยาว ด้วยการปลูกพืชมูลค่าสูง เพื่อเสริมความต้องการตลาดโลก และยังยกตัวอย่างที่จังหวัดนครราชสีมา มีการเปลี่ยนจากผูกข้าวที่ได้รายได้ 4,800-5,000 บาทต่อไร่ต่อปี มาเปลี่ยนเป็นการผลิตสินค้าเกษตรอื่น สร้างมูลค่าเพิ่มได้ถึง 1.6 แสนบาทต่อไร่ต่อปี ซึ่งจะขยายไปอีก เพื่อปรับเปลี่ยนการผลิตให้ตรงต่อความต้องการ
สำหรับนโยบายเร่งด่วนในระยะ 4 เดือน ได้แก่ ลดต้นทุนการผลิต เริ่มจากช่วยเรื่องปุ๋ย โดยให้เกษตรกรรายละ 1,000 บาท เพื่อซื้อปุ๋ย ลดต้นทุนการผลิต รวมถึงการช่วยเรื่อง ‘สินเชื่อชะลอการขายในประเทศ’ โดยจะดูดซัพพลายไว้ ไม่ให้เกษตรกรขายเร็วเพราะไม่ได้ราคา ซึ่งขณะนี้สินเชื่อชะลอการขายอนุมัติแล้ว และชะลอการขายผลผลิตได้ประมาณ 3 ล้านตัน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการ และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรรายละ 1,000 บาท จะทำที่ 4.63 ล้านครัวเรือน ซึ่งมีการอนุมัติงบประมาณมาแล้วในรายละเอียดจะปฏิบัติต่อไป
ศุภจียังกล่าวอีกว่า เรื่องเร่งการส่งออกได้คุยกับประเทศจีน และมีโอกาสได้พบกับเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และยังพบผู้ค้าและตัวแทนการค้าจากจีนว่า จะผลักดันให้มีการค้าแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี ให้จีนซื้อข้าวจากประเทศไทยเพิ่มจาก 2.8 แสนตันเป็น 5 แสนตัน โอกาสฉลองความสัมพันธ์ 50 ปี ไทย-จีน ก็ขอให้ซื้อ 5 แสนตัน
นอกจากนี้จะมีการทำ MOU เพิ่มเติมกับประเทศญี่ปุ่น ให้ล็อกโควตาซื้อข้าวจากไทยที่ 3 แสนตันต่อปี เพราะญี่ปุ่นเพิ่งทำข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาว่า ต้องนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 75% ซึ่งอาจทำให้กระทบโควตาซื้อข้าวจากไทย ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ แม้เป็นประเทศไม่ใหญ่นัก แต่ซื้อข้าวไทยเป็นจำนวนมาก ต้องแก้ไขจากการซื้อเอกชนต่อเอกชน เป็นการซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ให้สามารถคำนวณปริมาณการส่งออกข้าวได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน จะเร่งจะขยายตลาดศักยภาพ โดยมีหลายประเทศที่ตั้งใจจะไปเปิดตลาดเพิ่ม เช่น ซาอุดีอาระเบีย ฮ่องกง และยุโรป
ศุภจีกล่าวอีกว่า ความตั้งใจอีกเรื่องซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วน คือการเข้าไปช่วย 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีผู้ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก ทั้งเรื่องเกษตรกรไม่สามารถส่งสินค้าข้ามไปขาย ผู้ประกอบการส่งออก ไม่สามารถส่งออกสินค้าได้ ผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยต้องมีตลาดใหม่มากขึ้น ซึ่งได้คุยกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการส่งสินค้าไปทั่วประเทศ โดยไม่คิดค่าส่ง มีเรื่องมหกรรมการค้าชายแดน และการหาตลาดใหม่ เพื่อช่วยผู้ประกอบการค้าชายแดน ให้ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนน้อยลง
“ทางรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ รวมถึงดิฉันในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีความตั้งใจ แม้จะอยู่แค่ 4 เดือน แต่มีความตั้งใจ และคาดว่าจะมีผลสัมฤทธิ์ให้ท่านได้เห็นบ้าง เป็น KPI ก็ขอให้ช่วยกันติดตาม
“และขอเชิญท่านสิทธิพล ซึ่งมีความรู้มาก มาพูดคุยกันเพื่อหาทางร่วมมือกัน ให้ทางเดินของเรา สามารถสร้างศักยภาพให้ประเทศไทยได้มั่นคงและยั่งยืน”
Tags: รัฐสภา, แถลงนโยบาย, ศุภจี