สืบเนื่องจากกรณีที่อัยการสั่งฟ้อง วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ในคดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาต่อบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF จากการที่เลขาธิการมูลนิธิชีววิถีเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปลาหมอคางดำบนเวทีวิชาการสาธารณะในหัวข้อ ‘หายนะสิ่งแวดล้อม กรณีปลาหมอคางดำ’ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 โดยเวทีดังกล่าวเปิดเผยข้อมูลการระบาดของปลาหมอคางดำว่า มีความเชื่อมโยงกับศูนย์วิจัยและปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำจืดยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามของ CPF
หลังจากทราบข่าวว่าถูกฟ้อง วิฑูรย์ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เขาไม่คิดว่าอัยการจะสั่งฟ้องจากการขึ้นเวทีสาธารณะ เนื่องจากเป็นการเปิดเผยข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยปัจจุบันศาลจังหวัดนนทบุรีอนุญาตให้ประกันตัวเลขาธิการมูลนิธิชีววิถีในคดีหมิ่นประมาท CPF 2 คดี รวมเป็นเงิน 6 หมื่นบาท และนัดหมายสอบคำให้การจำเลยวันที่ 22 ตุลาคม 2568
The Momentum พูดคุยกับวิฑูรย์ในช่วงค่ำของวันที่ 11 กันยายน 2568 หรือ 1 วันหลังจากที่อัยการสั่งฟ้องในคดีหมิ่นประมาท CPF กรณีปลาหมอคางดำ โดยเขายังคงยืนยันว่า ไม่คิดว่าอัยการจะสั่งฟ้อง เนื่องจากการขึ้นเวทีสาธารณะเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 นั้น เป็นการเปิดเผยข้อมูลเชิงวิชาการที่มีหลากหลายองค์กรเข้าร่วม และการพูดคุยมีเนื้อหาเป็นไปในเชิงการหาทางออกของปัญหาปลาหมอคางดำ การเยียวยา และการปฏิรูปเรื่องความปลอดภัยทางชีวภาพ ซึ่งเป็นการทำหน้าที่แทนหน่วยงานที่ควรจะเป็นหลักในการแก้ปัญหา แต่กลับทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพอย่างหน่วยงานภาครัฐ เขาจึงไม่คิดว่าจะถูกดำเนินคดี
“พูดกันตามตรง หน่วยงานภาครัฐเพิกเฉยทั้งๆ ที่การค้นหาความจริง การเยียวยา การแก้ปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำ พอเขาไม่ทำ BIOTHAI ก็เลยเข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้เพราะเป็นวัตถุประสงค์ขององค์กรอยู่แล้ว เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจนเขาก็เหมือนจะมีข้อสรุปว่า ต้นตอการระบาดของปลาหมอคางดำมาจากที่ไหน แต่กลายเป็นว่าการทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลปลาหมอคางดำของ BIOTHAI กลับทำให้องค์กรถูกฟ้องร้อง” วิฑูรย์กล่าว
เลขาธิการมูลนิธิชีววิถียกตัวการทำงานของภาครัฐที่ล้มเหลวในการจัดการปัญหาปลาหมอคางดำคือ กรณีที่ ประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการให้กรมประมงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเข้าและสาเหตุการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยให้สรุปผลภายใน 7 วัน แต่นับตั้งแต่วันสั่งการคือวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ผ่านมาแล้ว 1 ปีกับอีก 1 เดือน ยังไม่ได้ข้อสรุป ที่สำคัญคือ หน่วยงานไม่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อสืบหาต้นตอการระบาดของปลาหมอคางดำ โดยวิฑูรย์ระบุว่า หน่วยงานดังกล่าวอ้างว่า ปลาหมอคางดำเป็นคดีที่เข้าไปอยู่ในชั้นศาลแล้ว
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกรมประมงก็เงียบไป โดยอ้างเหตุผลว่า เรื่องปลาหมอคางดำได้เข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว ทั้งๆ ที่เหตุผลที่ชาวบ้านต้องไปพึ่งพากระบวนการศาล ต้องไปฟ้องร้องคดีกันเองก็เพราะหน่วยงานเหล่านี้ไม่ดำเนินการ บอกว่าจะตั้งกรรมการสอบสวน 7 วัน แล้วจะเปิดเผยผลสอบสวนแต่กลับเงียบไป”
ปลายปี 2553 CPF นำเข้าลูกปลาหมอคางดำจำนวน 2,000 ตัว จากประเทศกานา เพื่อการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ โดยได้รับอนุญาตจากกรมประมง หลังจากนั้นในปี 2555 พบปลาหมอคางดำระบาดในตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวกับที่ต้้งของศูนย์วิจัย CPF อย่างไรก็ตามภายหลังการระบาดขยายวงกว้างและส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมง CPF ปฏิเสธว่าเป็นต้นตอการระบาด โดยอ้างว่า ปลาหมอคางดำที่นำเข้ามามีสุขภาพไม่แข็งแรงจึงทยอยตายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องยุติการวิจัยและทำลายปลาที่เหลือรอดทั้งหมดในช่วงต้นปี 2554
กระนั้น หลายภาคส่วนรวมถึงภาคประชาชนต้องการให้ CPF ออกมาแสดงความรับผิดชอบกับมูลค่าความเสียหาย ตัวแทนผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมงจากจังหวัดสมุทรสงครามกว่า 1,400 คน ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำอย่างหนักจึงยื่นฟ้อง CPF และกรรมการบริหาร 9 คน ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ในคดีสิ่งแวดล้อมเพื่อเรียกค่าเสียหายแบบกลุ่มเป็นเงิน 2,400 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ทว่าหลังจากนั้น 1 วัน วิฑูรย์ได้รับหมายเรียกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติในคดีหมิ่นประมาทบริษัท CPF
“เหมือนเป็นการฟ้องแก้เกี้ยวหรือไม่ ถ้าชาวบ้านเขาไม่ไปฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหายดีไม่ดีอาจจะไม่มีการฟ้องเราหรือไม่” วิฑูรย์ตั้งข้อสังเกต
“ข้อมูลที่เขาใช้ฟ้องก็เป็นข้อมูลที่มีการเผยแพร่ในสื่อสาธารณะ แต่การฟ้องร้องกลับมุ่งเป้าฟ้องเฉพาะ BIOTHAI แน่นอนว่าเป็นเพราะมูลนิธิฯ ทำหน้าที่ค้นหาข้อมูลที่เป็นวิชาการ เข้าไปสืบสวนในพื้นที่ และได้เปิดเผยจิ๊กซอว์สำคัญจากการประมวลข้อมูล ซึ่งทำให้คนมองเห็นว่าการระบาดของปลาหมอคางดำเชื่อมโยงกับการนำเข้าปลาหมอคางดำของบริษัทเอกชน มีศูนย์กลางการระบาดที่เชื่อมโยงกับฟาร์มยี่สาร ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีการฟ้องร้องเฉพาะ BIOTHAI”
วิฑูรย์ตั้งข้อสังเกตต่อการความเคลื่อนไหวในการฟ้องร้องคดีว่า เป็นการ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเชิงยุทธศาสตร์เพื่อปิดปากการมีส่วนร่วมของประชาชนในประเด็นสาธารณะหรือไม่ โดยเขาระบุว่า การฟ้องร้องตนในฐานะผู้ขับเคลื่อนประเด็นปลาหมอคางดำทำให้การเปิดเผยข้อมูลการทำลายสิ่งแวดล้อมเกิดอุปสรรค เนื่องจากไม่สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้ เพราะความกังวลว่าอาจถูกฟ้องร้องเป็นคดีซ้ำซ้อน แม้จะเป็นข้อมูลที่ประชาชนควรได้ทราบรายละเอียดก็ตาม ในขณะเดียวกันเมื่อตกเป็นจำเลยในคดีที่โดนบริษัทเอกชนฟ้องร้อง ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสู้คดีก็อาจจะต้องเก็บไว้ไม่เปิดเผย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังกระทบไปถึง ‘พยาน’ สำคัญ ที่สามารถให้ข้อมูลวงในเกี่ยวกับต้นตอวิกฤตปลาหมอคางดำได้ เนื่องจากพวกเขาเริ่มถูก ‘คุกคาม’ จนต้องถอยห่างจากการเป็นพยานไป
“พยานที่ออกมาให้ข้อมูลวิกฤตปลาหมอคางดำถูกคุกคามอย่างหนักเลย มีการเอารถตำรวจไปจอดไว้ในพื้นที่บ้านของเขาตอนกลางคืน แล้วมีคนในรถ 4-5 คน พวกเขาเดือดร้อนมาก ทาง BIOTHAI ก็ต้องช่วยกันหาทางออก ไปให้กำลังใจจนถึงค้นกล้องวงจรปิดว่าเป็นใคร ผลก็คือเป็นตำรวจ
“ตำรวจเขาบอกว่าเป็นเพื่อนกับพยานของเรา อ้างว่าจะมาขอพบเพื่อคุยด้วย แต่พยานบอกว่า เขาไม่รู้จัก”
สิ่งที่น่าสนใจ คือการสั่งฟ้องคดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาบริษัท CPF ของอัยการ เกิดขึ้นในช่วงกระแสการพูดถึงวิกฤตปลาหมอคางดำลดลงมากกว่าช่วงก่อนหน้านี้ โดยวิฑูรย์เชื่อว่า เป็นกลยุทธหนึ่งที่บริษัทเอกชนเลือกใช้ เนื่องจากย้อนกลับไปก่อนที่ชาวบ้านจะฟ้อง CPF เรียกร้องค่าเสียหายมีข่าวว่าตนจะถูกบริษัทเอกชนดำเนินคดีเช่นกัน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีหมายศาล กระทั่งชาวบ้านเดินหน้าฟ้องร้องแล้วจึงมีหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันถัดมา
“ทำแบบนี้เพื่อเล็งผลลัพธ์อะไรหรือไม่ เพื่อเป็นการยับยั้งการฟ้องร้องของชาวบ้านหรือเปล่า” เลขาธิการมูลนิธิชีววิถีตั้งคำถาม
“และเมื่อรับหมายมาแล้ว เขาก็ใช้เวลาอีกเป็นปีกว่าจะมีคำสั่งฟ้อง และตอนที่ฟ้องกระแสความตื่นตัวของประชาชนกับเรื่องปลาหมอคางดำ มันก็แทบจะถูกลืมเลือนไปแล้ว เว้นเสียแต่ชาวบ้านในพื้นที่ที่ยังคงเจอปัญหาอยู่”
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวคือ การให้ข้อมูลว่า การสั่งฟ้องหมิ่นประมาทกับการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะครั้งนี้ไม่ใช่ SLAPP ในบทความหลายสื่อ ซึ่งวิฑูรย์เชื่อว่าข้อมูลที่ลงในสื่อมี ‘แหล่งที่มาเดียวกัน’ ทำให้บริษัทเอกชนซึ่งควรเป็นเป้าหมายของการตรวจสอบของสาธารณชนลอยนวล และกลับกลายเป็นอีกฝ่ายให้ข้อมูลเท็จ
“ผมรู้สึกเศร้านะ เราเข้ามาเปิดเผยปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่ ต่อสู้เพื่อค้นหาหลักฐานที่ภาครัฐควรจะทำแต่กลับละเลย แต่สื่อกลับไม่นำเสนอเหตุผลจากฝั่งของผู้ถูกฟ้อง และนำเสนอข้อมูลด้านเดียว มันสะท้อนถึงเบื้องหลังตัวปัญหาที่ทำให้เกิดการระบาดของปลาหมอคางดำด้วย”
เลขาธิการมูลนิธิชีววิถีทิ้งท้ายว่า แม้กระแสจะเงียบลงแล้ว แต่วิกฤตปลาหมอคางดำยังคงอยู่และเป็นปัญหากับคนในพื้นที่ระบาดมากยิ่งขึ้น ในขณะที่งบประมาณที่ภาครัฐสนับสนุนเพื่อแก้ปัญหาการระบาดและเยียวยาเกษตรกร รวมถึงชาวประมงที่ได้รับผลกระทบไม่ต่อเนื่อง และงบประมาณแต่ละก้อนถูกใช้จนหมดแล้ว แต่การระบาดยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ
“งบกลาง 97.8 ล้านบาท ที่สำนักงบประมาณจัดสรรให้กรมประมงใช้แก้ปัญหาหมอคางดำระหว่างปี 2567-2570 หมดแล้ว แต่หลายพื้นที่ยังมีการระบาด หนำซ้ำยังขยายวงการระบาดไปยังพื้นที่ที่เราไม่คิดว่า มันจะไปแล้ว วิกฤตปลาหมอคางดำยังไม่จบ”
Tags: มูลนิธิชีววิถี, วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ, BIOTHAI, ปลาหมอคางดำ