วันนี้ (15 สิงหาคม 2566) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ออกแถลงการณ์กรณีที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาแฉเรื่องแสนสิริซื้อที่ดินย่านทองหล่อ (Khun by YOO) โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายว่า แสนสิริและบริษัทย่อยของแสนสิริ กรรมการและผู้บริหาร ไม่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ใดๆ กับบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ซึ่งเป็นผู้ขายที่ดินแปลงดังกล่าว โดยแสนสิริซื้อที่ดินย่านทองหล่อในปี 2559 ในราคา 1 ล้านบาทต่อตารางวา จากบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสมเทียบเคียงกับราคาตลาด

ขณะเดียวกัน การกล่าวอ้างว่า แสนสิริควรจะซื้อที่ดินแค่ราคา 565 ล้านบาท หรือตารางวาละ 6.5 แสนบาท เป็นการพูดที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะไม่มีเจ้าของที่ดินรายใดในย่านทองหล่อจะขายที่ดินด้วยราคานี้

แถลงการณ์ของแสนสิริยังระบุด้วยว่า บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ซื้อที่ดินแปลงนี้มาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งเป็นธรรมดาที่เจ้าของที่ดินจะต้องขายที่ดินที่มีกำไร และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมขายในราคาตารางวาละ 6.5 แสนบาท ที่ต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก ขณะเดียวกัน บริษัท อาณาวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของแสนสิริ ไม่เคยให้กู้ยืมเงินแก่ บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด

ทั้งนี้ มีหลักฐานที่อยู่ในสัญญาจำนองฉบับกรมที่ดินว่า การจำนองดังกล่าวเป็นการจำนองเพื่อประกันการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ดินของผู้ขาย เพื่อให้ผู้ขายปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วน ซึ่งรวมถึงการดำเนินการเคลียร์ผู้เช่าในที่ดินเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยปลอดจากภาระผูกพันใดๆ และเมื่อผู้ขายดำเนินการครบถ้วนเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นแสนสิริจึงดำเนินการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าว และจัดทำเป็นโครงการอาคารชุดที่มีการขายและโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้า

ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ในระหว่างพิจารณาดำเนินคดีทางกฎหมายต่อผู้กระทำบิดเบือนข้อมูลและทำให้ชื่อเสียงของแสนสิริเสียหาย ทั้งนี้ ยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดสามารถตรวจสอบได้

สำหรับประเด็นดังกล่าว ชูวิทย์ออกมาเปิดเผยในการแถลงข่าว ‘แฉเพื่อชาติ’ ว่า แสนสิริ ซึ่งมี เศรษฐา ทวีสิน เป็นผู้บริหาร ได้ให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและแม่บ้าน เข้าไปถือหุ้นในบริษัทนอมินี และยื่นกู้กับบริษัทลูกของแสนสิริ คือบริษัท อ. 1,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทนอมินีนี้ยังขายที่ดินให้กับบริษัทลูกของแสนสิริในราคา 565 ล้านบาท ซึ่งอาจแปลความได้ว่า บริษัทแสนสิรินำเงินของผู้ถือหุ้นไปซื้อที่ดินจากกลุ่มนอมินีอย่างไม่เป็นธรรม และกินส่วนต่างกว่า 435 ล้านบาท ซึ่งแสนสิริชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทกังกล่าว และบริษัทดังกล่าวไม่ใช่บริษัทนอมินี

Tags: ,